วานนี้ (19 ม.ค.) ที่รัฐสภา นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะทนายความของนายครรชิต ทับสุวรรณ ส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกตำรวจออกหมายจับ ในคดียิงนายอุดร ไกรวัตนุสสรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า ตั้งแต่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับ นายครรชิต ก็ไปพบในวันรุ่งขึ้นทันที ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็มีข่าวออกมาว่า พนักงานสืบสวนสอบสวนได้มีหนังสือมาถึงประธานสภาฯ เพื่อขอตัวนายครรชิตไปดำเนินคดี ซึ่งนายครรชิต ก็รอหนังสือดังกล่าวอยู่ เพราะพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และพิสูจน์ตัวเองอยู่แล้ว แต่จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่มีหนังสือใดๆ ส่งมาที่สภาฯ
ดังนั้น นายครรชิต จึงได้ทำหนังสือถึงประธานสภาฯ เพื่อขอสละการใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง ต่อจากนี้ก็คงจะรอกระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อส่งหนังสือมาที่สภาฯแล้ว ประธานสภาฯบรรจุเข้าวาระ และรอเพียงการอนุมัติของสภาฯเท่านั้น ซึ่งตนเชื่อว่า ทางสภาฯ คงจะอนุมัติ และสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ก็พร้อมที่จะยกมือเพื่อให้นายครรชิตได้สละเอกสิทธิ์ เพราะถือเป็นหลักของพรรคอยู่แล้ว
ด้านนายครรชิต กล่าวว่า ที่ผ่านมาสื่อหลายๆสื่อ รายงานข่าวของตนคลาดเคลื่อนกับความเป็นจริงตลอด โดยเฉพาะการรายงานว่าตนไม่ยอมที่จะส่งหลักฐานอย่าง รถยนต์ และปืนไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งตนไม่เคยพูดว่าไม่ส่ง แต่พูดว่าเป็นเรื่องของทนายของตน ซึ่งก็เป็นการลงข่าวตนแบบเสื่อมเสียมาอย่างต่อเนื่อง และยังมีการพาดพิงไปถึงบุคคลที่ 3 ด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุใดเมื่อมีการพาดพิงถึงบุคคลที่ 3 นายครรชิต ถึงไม่ออกมาแถลงข่าว นายครรชิต กล่าวว่า ถ้าตนออกมาพูดจะลงให้หรือ เพราะที่ผ่านมาก็ลงแต่เรื่องที่ไม่จริงตลอด แต่ตนไม่คิดที่จะฟ้องร้องสื่อ เพราะให้อภัยสื่ออยู่แล้ว
นายครรชิต ยังกล่าวต่อว่า การขอสละเอกสิทธิคุ้มครองนั้น การบรรจุเป็นวาระก็ถือว่าเป็นสิทธิของสภาฯ และตนไม่สามารถไปก้าวล่วงได้ แต่ส่วนตัวพร้อมที่จะพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกเมื่ออยู่แล้ว
รายงานข่าวแจ้งว่า การประชุมพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา พรรคมีมติให้นายครรชิต ทำหนังสือถึงประธานสภาฯ เพื่อขอสละการใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้น นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ก็ประกาศว่า ได้ยุติการเป็นทนายความให้กับนายครรชิตแล้ว
**เผยหนังสือสละสิทธิ์ เขียนวันที่ 15 ม.ค.
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับหนังสือที่นายครรชิต ยื่นต่อประธานสภา ระบุวันที่ 15 มกราคม 2555 เรื่อง ขอสละสิทธิ์คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 131 มีใจความว่า
ตามที่ปรากฏข่าวจากสื่อต่างๆว่าพนักงานสอบสวนจากกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร มีความประสงค์เรียกตัวข้าพเจ้า ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปทำการสอบสวนในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา โดยมีข่าวว่าพนักงานสอบสวนจะทำหนังสือถึงท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขออนุญาตสภาผู้แทนราษฎรนำตัวข้าพเจ้าไปทำการสอบสวน
แต่จนบัดนี้ ก็ยังไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนทำหนังสือมาแล้วหรือยัง ข่าวที่ออกไปจึงทำให้ดูเหมือนว่า ข้าพเจ้าไม่ให้ความร่วมมือในกาะบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลดีแก่สังคมโดยรวม
ด้วยเหตุดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงขอประทานกราบเรียนต่อท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้บรรจุญัตติ เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติให้นำตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (นายครรชิต ทับสุวรรณ) ไปทำการสอบสวนในคดีอาญา และข้าพเจ้าขอสละสิทธิ์คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 131
**เฉลิมชี้ไม่มีผลเป็นเรื่องสภาฯ
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตนเคยแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ไปแล้วว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจขอตัวนายครรชิตนั้น ต้องทำสำนวนสรุปให้เรียบร้อยก่อนที่จะมาขอตัวนายครรชิตส่งไปให้อัยการไต่สวน ซึ่งเอกสิทธิ์นั้นไม่ใช่สิทธิเฉพาะคน แต่เป็นหลักตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การขอสละเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง เป็นสิทธิส่วนตัว และหลักคิดของนายครรชิต ที่จะแสดงความจำนงได้ แต่ก็อยู่ที่ประธานสภาฯว่า จะบรรจุเป็นระเบียบวาระเมื่อไร และจะต้องรอฟังเสียงส่วนใหญ่ของสภาฯ ว่าจะอนุมัติหรือไม่
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมจะยกมือเพื่อให้นายครรชิตได้สละเอกสิทธิ์ เพราะถือเป็นหลักของพรรคนั้น ตนคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวเฉพาะกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกในสภาฯ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ และนายครรชิต ตัดสินใจขอสละเอกสิทธิ์ เป็นเพราะต้องการสะท้อนมายังพรรคเพื่อไทย เนื่องจากสมาชิกของพรรคเพื่อไทยหลายๆ คน ก็มีคดีความติดตัวหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนขอไม่แสดงความคิดเห็นต่อกรณีนี้
**เผยสำนวนคดีน่าเสร็จสัปดาห์หน้า
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ตนได้บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาไว้แล้วว่า ต้องสรุปสำนวนให้ได้ก่อน ซึ่งตนคิดว่าภายในสัปดาห์หน้า สำนวนดคีก็คงจะเสร็จสิ้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคิดเห็นส่วนตัวที่ นายครรชิต ขอสละเอกสิทธิ์ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ต้องขอดูข้อเท็จจริงจากหลายๆ ฝ่าย เช่น หลักฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงต้องเป็นไปตามหลักของกฎหมาย ซึ่งในอดีต นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช. ก็เคยขอขอสละเอกสิทธิ์เช่นกัน แต่เสียงส่วนใหญ่ในสภาฯ ก็ไม่ให้ไป แต่ในกรณีนี้ ไม่รู้ว่าจะเหมือนกันหรือไม่
--------------
ดังนั้น นายครรชิต จึงได้ทำหนังสือถึงประธานสภาฯ เพื่อขอสละการใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง ต่อจากนี้ก็คงจะรอกระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อส่งหนังสือมาที่สภาฯแล้ว ประธานสภาฯบรรจุเข้าวาระ และรอเพียงการอนุมัติของสภาฯเท่านั้น ซึ่งตนเชื่อว่า ทางสภาฯ คงจะอนุมัติ และสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ก็พร้อมที่จะยกมือเพื่อให้นายครรชิตได้สละเอกสิทธิ์ เพราะถือเป็นหลักของพรรคอยู่แล้ว
ด้านนายครรชิต กล่าวว่า ที่ผ่านมาสื่อหลายๆสื่อ รายงานข่าวของตนคลาดเคลื่อนกับความเป็นจริงตลอด โดยเฉพาะการรายงานว่าตนไม่ยอมที่จะส่งหลักฐานอย่าง รถยนต์ และปืนไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งตนไม่เคยพูดว่าไม่ส่ง แต่พูดว่าเป็นเรื่องของทนายของตน ซึ่งก็เป็นการลงข่าวตนแบบเสื่อมเสียมาอย่างต่อเนื่อง และยังมีการพาดพิงไปถึงบุคคลที่ 3 ด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุใดเมื่อมีการพาดพิงถึงบุคคลที่ 3 นายครรชิต ถึงไม่ออกมาแถลงข่าว นายครรชิต กล่าวว่า ถ้าตนออกมาพูดจะลงให้หรือ เพราะที่ผ่านมาก็ลงแต่เรื่องที่ไม่จริงตลอด แต่ตนไม่คิดที่จะฟ้องร้องสื่อ เพราะให้อภัยสื่ออยู่แล้ว
นายครรชิต ยังกล่าวต่อว่า การขอสละเอกสิทธิคุ้มครองนั้น การบรรจุเป็นวาระก็ถือว่าเป็นสิทธิของสภาฯ และตนไม่สามารถไปก้าวล่วงได้ แต่ส่วนตัวพร้อมที่จะพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกเมื่ออยู่แล้ว
รายงานข่าวแจ้งว่า การประชุมพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา พรรคมีมติให้นายครรชิต ทำหนังสือถึงประธานสภาฯ เพื่อขอสละการใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้น นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ก็ประกาศว่า ได้ยุติการเป็นทนายความให้กับนายครรชิตแล้ว
**เผยหนังสือสละสิทธิ์ เขียนวันที่ 15 ม.ค.
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับหนังสือที่นายครรชิต ยื่นต่อประธานสภา ระบุวันที่ 15 มกราคม 2555 เรื่อง ขอสละสิทธิ์คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 131 มีใจความว่า
ตามที่ปรากฏข่าวจากสื่อต่างๆว่าพนักงานสอบสวนจากกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร มีความประสงค์เรียกตัวข้าพเจ้า ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปทำการสอบสวนในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา โดยมีข่าวว่าพนักงานสอบสวนจะทำหนังสือถึงท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขออนุญาตสภาผู้แทนราษฎรนำตัวข้าพเจ้าไปทำการสอบสวน
แต่จนบัดนี้ ก็ยังไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนทำหนังสือมาแล้วหรือยัง ข่าวที่ออกไปจึงทำให้ดูเหมือนว่า ข้าพเจ้าไม่ให้ความร่วมมือในกาะบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลดีแก่สังคมโดยรวม
ด้วยเหตุดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงขอประทานกราบเรียนต่อท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้บรรจุญัตติ เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติให้นำตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (นายครรชิต ทับสุวรรณ) ไปทำการสอบสวนในคดีอาญา และข้าพเจ้าขอสละสิทธิ์คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 131
**เฉลิมชี้ไม่มีผลเป็นเรื่องสภาฯ
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตนเคยแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ไปแล้วว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจขอตัวนายครรชิตนั้น ต้องทำสำนวนสรุปให้เรียบร้อยก่อนที่จะมาขอตัวนายครรชิตส่งไปให้อัยการไต่สวน ซึ่งเอกสิทธิ์นั้นไม่ใช่สิทธิเฉพาะคน แต่เป็นหลักตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การขอสละเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง เป็นสิทธิส่วนตัว และหลักคิดของนายครรชิต ที่จะแสดงความจำนงได้ แต่ก็อยู่ที่ประธานสภาฯว่า จะบรรจุเป็นระเบียบวาระเมื่อไร และจะต้องรอฟังเสียงส่วนใหญ่ของสภาฯ ว่าจะอนุมัติหรือไม่
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมจะยกมือเพื่อให้นายครรชิตได้สละเอกสิทธิ์ เพราะถือเป็นหลักของพรรคนั้น ตนคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวเฉพาะกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกในสภาฯ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ และนายครรชิต ตัดสินใจขอสละเอกสิทธิ์ เป็นเพราะต้องการสะท้อนมายังพรรคเพื่อไทย เนื่องจากสมาชิกของพรรคเพื่อไทยหลายๆ คน ก็มีคดีความติดตัวหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนขอไม่แสดงความคิดเห็นต่อกรณีนี้
**เผยสำนวนคดีน่าเสร็จสัปดาห์หน้า
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ตนได้บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาไว้แล้วว่า ต้องสรุปสำนวนให้ได้ก่อน ซึ่งตนคิดว่าภายในสัปดาห์หน้า สำนวนดคีก็คงจะเสร็จสิ้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคิดเห็นส่วนตัวที่ นายครรชิต ขอสละเอกสิทธิ์ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ต้องขอดูข้อเท็จจริงจากหลายๆ ฝ่าย เช่น หลักฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงต้องเป็นไปตามหลักของกฎหมาย ซึ่งในอดีต นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช. ก็เคยขอขอสละเอกสิทธิ์เช่นกัน แต่เสียงส่วนใหญ่ในสภาฯ ก็ไม่ให้ไป แต่ในกรณีนี้ ไม่รู้ว่าจะเหมือนกันหรือไม่
--------------