ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ปธ.สภาอุตสาหกรรมเชียงใหม่เตรียมเสนอรัฐบาล แก้ปัญหาจัดการน้ำยกระบบ ระบุถึงเวลาต้องสนใจเรื่องน้ำจริงจัง ชี้ทำแล้วช่วยแก้ปัญหาระยะยาวทั้งน้ำแล้ง-น้ำท่วมแถมสร้างความยั่งยืนให้ภาคเกษตรกรรมด้วย พร้อมเล็งถามรัฐบาลเรื่องมาตรการช่วยเหลือ หลังขึ้นค่าแรง 300 บาท-แผนบริหารจัดการศูนย์ประชุมฯ เชียงใหม่
นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงการนำเสนอแนวทางการพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ที่จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 14 ม.ค.นี้ว่า ขณะนี้ภาคเอกชนหลายๆ ฝ่ายในจังหวัดเชียงใหม่ได้เตรียมประเด็นต่างๆ ที่จะนำเสนอในการประชุมแล้ว
ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่จะนำเสนอเรื่องการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม เนื่องจากเห็นว่าที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาเกี่ยวกับน้ำมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความแห้งแล้ง การขาดแคลนน้ำและปัญหาอุทกภัย ซึ่งกระทบต่อภาคการเกษตรที่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในระบบเศรษฐกิจของประเทศ
นายองอาจระบุว่า การที่ประเทศไทยไม่มีระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ทำให้เมื่อมีน้ำปริมาณมากก็ไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ในยามที่น้ำขาดแคลนได้ อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดปัญหาอุทกภัยอย่างเช่นในปีที่ผ่านมา ดังนั้น ภาครัฐจึงจำเป็นจะต้องหันมาพิจารณาเรื่องของการบริหารจัดการน้ำใหม่โดยดูในภาพรวมทั้งหมด ทั้งการกักเก็บและการป้องกันความเสียหายจากน้ำ ไม่ได้เน้นเฉพาะการแก้ไขปัญหาภาวะแห้งแล้งหรืออุทกภัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ผ่านมารัฐลงทุนในการพัฒนาด้านอื่นๆ ไปเป็นจำนวนมากแล้ว จึงควรที่จะหันมาให้ความสำคัญกับการจัดการน้ำบ้าง
ทั้งนี้ การนำเสนอประเด็นเรื่องการบริหารจัดการน้ำในครั้งนี้ ไม่ได้เรียกร้องว่าจังหวัดเชียงใหม่จะต้องสร้างแก้มลิงรับน้ำตรงจุดไหน หรือว่าในภาคเหนือควรจะมีเขื่อนหรือไม่ แต่ต้องการให้ภาครัฐนำเรื่องการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบมาพิจารณาดำเนินการ เพราะหากระบบการบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำได้แล้ว ยังจะช่วยป้องกันหรือบรรเทาความเสียหายในกรณีที่เกิดอุทกภัยได้อีกด้วย รวมทั้งการมีระบบบริหารจัดการน้ำที่ดียังจะเป็นการสนับสนุนให้ภาคการเกษตร ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญส่วนหนึ่งของประเทศมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
นายองอาจกล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่เตรียมที่จะสอบถามทางรัฐบาล ประกอบไปด้วยเรื่องการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทที่จะเริ่มต้นในเดือน เม.ย.นี้ โดยในเชิงนโยบายแล้วภาคอุตสาหกรรมเห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรง เนื่องจากต้องยอมรับว่าที่แรงงานบางส่วนได้รับผลกระทบจากกค่าแรงที่ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและการดำรงชีวิต อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำนั้นจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการบางส่วนอย่างมากด้วยเช่นกัน จึงต้องการให้รัฐบาลชี้แจงนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับการให้การสนับสนุนหรือความช่วยเหลือต่อกลุ่มผู้ประกอบการในด้านต่างๆ ด้วยว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
ขณะเดียวกัน ยังเตรียมที่จะสอบถามความชัดเจน เกี่ยวกับการดำเนินการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่ ซึ่งจะแล้วเสร็จในปีนี้ด้วยว่าจะมีแผนการจัดการอย่างไร เนื่องจากจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าจะบริหารจัดการศูนย์ประชุมฯ อย่างไร มีเพียงความคืบหน้าด้านการก่อสร้างเท่านั้น ซึ่งภาคเอกชนของจังหวัดเชียงใหม่เป็นห่วงว่าหากไม่มีการวางแผนบริหารจัดการที่ดีแล้ว ศูนย์ประชุมฯ ดังกล่าวอาจถูกใช้งานอย่างไม่คุ้มค่า หรือไม่สามารถบริหารจัดการในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพได้ ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับศูนย์กระจายสินค้าเกษตรภาคเหนือและอุทยานหลวงราชพฤกษ์ เป็นต้น
รวมทั้งสอบถามถึงความเป็นไปได้ในการให้ท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ เพราะที่ผ่านมาไม่มีการสอบถามความเห็นหรือความต้องการจากภาคเอกชนใน จ.เชียงใหม่เท่าที่ควร
นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงการนำเสนอแนวทางการพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ที่จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 14 ม.ค.นี้ว่า ขณะนี้ภาคเอกชนหลายๆ ฝ่ายในจังหวัดเชียงใหม่ได้เตรียมประเด็นต่างๆ ที่จะนำเสนอในการประชุมแล้ว
ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่จะนำเสนอเรื่องการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม เนื่องจากเห็นว่าที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาเกี่ยวกับน้ำมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความแห้งแล้ง การขาดแคลนน้ำและปัญหาอุทกภัย ซึ่งกระทบต่อภาคการเกษตรที่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในระบบเศรษฐกิจของประเทศ
นายองอาจระบุว่า การที่ประเทศไทยไม่มีระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ทำให้เมื่อมีน้ำปริมาณมากก็ไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ในยามที่น้ำขาดแคลนได้ อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดปัญหาอุทกภัยอย่างเช่นในปีที่ผ่านมา ดังนั้น ภาครัฐจึงจำเป็นจะต้องหันมาพิจารณาเรื่องของการบริหารจัดการน้ำใหม่โดยดูในภาพรวมทั้งหมด ทั้งการกักเก็บและการป้องกันความเสียหายจากน้ำ ไม่ได้เน้นเฉพาะการแก้ไขปัญหาภาวะแห้งแล้งหรืออุทกภัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ผ่านมารัฐลงทุนในการพัฒนาด้านอื่นๆ ไปเป็นจำนวนมากแล้ว จึงควรที่จะหันมาให้ความสำคัญกับการจัดการน้ำบ้าง
ทั้งนี้ การนำเสนอประเด็นเรื่องการบริหารจัดการน้ำในครั้งนี้ ไม่ได้เรียกร้องว่าจังหวัดเชียงใหม่จะต้องสร้างแก้มลิงรับน้ำตรงจุดไหน หรือว่าในภาคเหนือควรจะมีเขื่อนหรือไม่ แต่ต้องการให้ภาครัฐนำเรื่องการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบมาพิจารณาดำเนินการ เพราะหากระบบการบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำได้แล้ว ยังจะช่วยป้องกันหรือบรรเทาความเสียหายในกรณีที่เกิดอุทกภัยได้อีกด้วย รวมทั้งการมีระบบบริหารจัดการน้ำที่ดียังจะเป็นการสนับสนุนให้ภาคการเกษตร ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญส่วนหนึ่งของประเทศมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
นายองอาจกล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่เตรียมที่จะสอบถามทางรัฐบาล ประกอบไปด้วยเรื่องการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทที่จะเริ่มต้นในเดือน เม.ย.นี้ โดยในเชิงนโยบายแล้วภาคอุตสาหกรรมเห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรง เนื่องจากต้องยอมรับว่าที่แรงงานบางส่วนได้รับผลกระทบจากกค่าแรงที่ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและการดำรงชีวิต อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำนั้นจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการบางส่วนอย่างมากด้วยเช่นกัน จึงต้องการให้รัฐบาลชี้แจงนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับการให้การสนับสนุนหรือความช่วยเหลือต่อกลุ่มผู้ประกอบการในด้านต่างๆ ด้วยว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
ขณะเดียวกัน ยังเตรียมที่จะสอบถามความชัดเจน เกี่ยวกับการดำเนินการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่ ซึ่งจะแล้วเสร็จในปีนี้ด้วยว่าจะมีแผนการจัดการอย่างไร เนื่องจากจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าจะบริหารจัดการศูนย์ประชุมฯ อย่างไร มีเพียงความคืบหน้าด้านการก่อสร้างเท่านั้น ซึ่งภาคเอกชนของจังหวัดเชียงใหม่เป็นห่วงว่าหากไม่มีการวางแผนบริหารจัดการที่ดีแล้ว ศูนย์ประชุมฯ ดังกล่าวอาจถูกใช้งานอย่างไม่คุ้มค่า หรือไม่สามารถบริหารจัดการในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพได้ ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับศูนย์กระจายสินค้าเกษตรภาคเหนือและอุทยานหลวงราชพฤกษ์ เป็นต้น
รวมทั้งสอบถามถึงความเป็นไปได้ในการให้ท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ เพราะที่ผ่านมาไม่มีการสอบถามความเห็นหรือความต้องการจากภาคเอกชนใน จ.เชียงใหม่เท่าที่ควร
