เมื่อเวลา 08.30 น. วานนี้ ( 5 ม.ค.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม กล่าวก่อนเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีของประเทศลาว ว่า นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ได้เลื่อนกำหนดการมาตลอด เนื่องจากติดภารกิจสำคัญของประเทศ จึงถือเป็นประเทศแรกในอาเซียน ที่ตนได้ไปเยี่ยม และถือเป็นประเทศพี่ ประเทศน้องกัน สำหรับจุดประสงค์การเดินทางในครั้งนี้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพ และกระทรวงกลาโหมทั้ง 2 ประเทศ ที่ดียิ่งอยู่แล้ว และถือเป็นตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างชาติ
นอกจากนี้ จะมีการหารือในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไทยไทย –ลาว ( จีบีซี) ครั้งที่ 19 ที่ได้มีการยกเลิกไปในปีที่แล้ว โดยจะจัดให้มีการประชุมในปีนี้ เพียงแต่รอการรับรองจากคณะรัฐมนตรี เนื่องจากปัญหาเรื่องเขตแดนที่เราได้ดำเนินการกันมาเสร็จสิ้นไปแล้ว 98 % เหลืออีก 2 % เท่านั้น ซึ่งน่าจะจัดการให้เสร็จในครั้งนี้ ก็จะมีการพูดคุยในเรื่องนี้ด้วย
ในส่วนพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ที่มีประเทศไทย ลาว กัมพูชา ร่วมกันอยู่นั้น เป็นพื้นที่ที่มีประโยชน์ และเคยพูดกันไว้ก่อนหน้านี้ คงต้องมาตกลงกันอีกครั้งว่า ต้องเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม 3 ชาติ เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการท่องเที่ยว สร้างสนามกอล์ฟ 3 สนาม จากไทยไปลาว จากลาวไปกัมพูชา และจากกัมพูชามาไทย ซึ่งการเดินทางไปเยือนครั้งนี้จะวางแผนในเรื่องการพัฒนาพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งต่อไปจะทำให้สร้างงานให้คนในท้องถิ่นได้มาก
ทั้งนี้จะมีการหารือถึงปัญหาการทำงานร่วมกัน ระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เช่น การลาดตระเวนร่วม ในลุ่มน้ำโขง การลักลอบเข้าเมือง ยาเสพติด ปล้นสะดม ให้สามารถแก้ปัญหาด้วยกันได้
นอกจากนี้จะติดตามในเรื่องโครงการช่วยเหลือเกี่ยวกับการศึกษา โดยจะเข้าพบ รมว.ศึกษาธิการของลาวด้วย และจะมีการพูดคุยถึงโครงการพระราชดำริ ที่สมเด็จพระเทพฯให้การสนับสนุนช่วยเหลือนักศึกษาลาวไว้
ส่วนกรณีสังหารลูกเรือจีน 13 ศพในลุ่มแม่น้ำโขงนั้น จีนให้ความไว้วางใจการสอบสวนของไทย โดยให้เป็นเรื่องของศาลไทย เป็นผู้พิจารณา ทางประเทศจีนจะขอรับทราบเป็นครั้งคราวเท่านั้น ส่วนการลาดตระเวนได้ให้ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติเข้าไปดำเนินการในเรื่องของนโยบาย และให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่ประสานงานร่วมในการรักษาความ ปลอดภัยในพื้นที่ที่รับผิดชอบ
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการ ตั้งคณะทำงานร่วมไทย –กัมพูชา ในการพิจารณาการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลกว่า ขณะนี้ทางกองทัพไทยได้ส่งเรื่องมายังสำนักนโยบายและแผนของกระทรวงกลาโหม ร่างคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชา และเสนอเข้าไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)แล้ว หากผ่านการอนุมัติจาก ครม. และนายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งคณะทำงานเมื่อใด เราจะได้ร่วมกันดำเนินการต่อไปในเรื่องรายละเอียด คิดว่าอย่างเร็วที่สุดน่าจะเข้า ครม.ได้ในวันที่ 10 ม.ค
สำหรับ คณะทำงานมีทั้งหมด19 คน ประกอบด้วย 16 คน มาจากกระทรวงกลาโหม ตำรวจ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงต่างประเทศ ผู้ว่าราชการจังหวัด และ 3 คน เป็นนักกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายตามแนวชายแดน ส่วนที่ประชาชนในพื้นที่ไม่ต้องการให้ถอนทหารนั้น คงต้องคุยกันในเดือน ก.พ. เพราะนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.อุบลราชธานี
"ผมจะกราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรี ไปที่กองกำลังสุรนารี เพื่อตรวจเยี่ยม รวมถึงประชาชนที่ผามออีแดง ให้ท่านไปยืนตรงนั้น ให้เห็นกันไปเลยว่า ตรงนั้นเป็นแผ่นดินไทย นายกรัฐมนตรีไทย ไปยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้ และประชาชนจะเข้าใจเองว่า ดินแดนทุกส่วนเป็นของไทย ส่วนการทำความเข้าใจกับ ประชาชนในพื้นที่ ทางกองกำลังสุรนารี โดย พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 จะเป็นผู้ชี้แจงว่า เราไม่ได้เสีย แต่การที่เราต้องปรับกำลัง และทดแทนกำลังนั้น เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งศาลยุติธรรม ที่ให้สองประเทศปฏิบัติ ถ้าประเทศหนึ่งประเทศใดไม่ปฏิบัติ ก็จะมีปัญหา สำหรับประเทศไทยเราเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ คิดว่าทางรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และ แม่ทัพภาคที่ 2 คงอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ถึงขั้นตอนการทำงานที่ถูกต้องในการที่จะอยู่ร่วมกัน โดยต้องสร้างความเข้าใจในช่วงนี้ ขณะนี้ยังพูดอะไรก่อนที่สถานการณ์หรือเหตุการณ์จะมีการพัฒนาหรือเกิดขึ้น" รมว.กลาโหม กล่าว
เมื่อถามว่า มีการคาดว่าศาลโลก จะตัดสินตามคำร้องของกัมพูชา ที่ให้มีการตีความคำตัดสินในปี 2505 ในช่วง 2 เดือนนี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ยืนยันว่ายังไม่ถึงขั้นตอนนั้น เพราะทางศาลโลกยังต้องให้เราส่งข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษรส่งไปให้อีกใน เดือน พ.ค.-มิ.ย. นี้ เพราะฉะนั้น การตัดสินก่อนส่งเอกสารไม่น่าจะเกิดขึ้น โดยกระทรวงต่างประเทศ จะเป็นผู้ส่งข้อมูลหลังเดือนก.พ. เพราะฉะนั้นจะไม่เกิดขึ้นในเดือนก.พ.นี้แน่นอน เมื่อถามว่าถ้าเราไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลก จะส่งผลกระทบอย่างไร พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ก็เป็นเด็กเกเร จะมีผลต่อการตัดสินของศาลโลกด้วย
นอกจากนี้ จะมีการหารือในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไทยไทย –ลาว ( จีบีซี) ครั้งที่ 19 ที่ได้มีการยกเลิกไปในปีที่แล้ว โดยจะจัดให้มีการประชุมในปีนี้ เพียงแต่รอการรับรองจากคณะรัฐมนตรี เนื่องจากปัญหาเรื่องเขตแดนที่เราได้ดำเนินการกันมาเสร็จสิ้นไปแล้ว 98 % เหลืออีก 2 % เท่านั้น ซึ่งน่าจะจัดการให้เสร็จในครั้งนี้ ก็จะมีการพูดคุยในเรื่องนี้ด้วย
ในส่วนพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ที่มีประเทศไทย ลาว กัมพูชา ร่วมกันอยู่นั้น เป็นพื้นที่ที่มีประโยชน์ และเคยพูดกันไว้ก่อนหน้านี้ คงต้องมาตกลงกันอีกครั้งว่า ต้องเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม 3 ชาติ เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการท่องเที่ยว สร้างสนามกอล์ฟ 3 สนาม จากไทยไปลาว จากลาวไปกัมพูชา และจากกัมพูชามาไทย ซึ่งการเดินทางไปเยือนครั้งนี้จะวางแผนในเรื่องการพัฒนาพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งต่อไปจะทำให้สร้างงานให้คนในท้องถิ่นได้มาก
ทั้งนี้จะมีการหารือถึงปัญหาการทำงานร่วมกัน ระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เช่น การลาดตระเวนร่วม ในลุ่มน้ำโขง การลักลอบเข้าเมือง ยาเสพติด ปล้นสะดม ให้สามารถแก้ปัญหาด้วยกันได้
นอกจากนี้จะติดตามในเรื่องโครงการช่วยเหลือเกี่ยวกับการศึกษา โดยจะเข้าพบ รมว.ศึกษาธิการของลาวด้วย และจะมีการพูดคุยถึงโครงการพระราชดำริ ที่สมเด็จพระเทพฯให้การสนับสนุนช่วยเหลือนักศึกษาลาวไว้
ส่วนกรณีสังหารลูกเรือจีน 13 ศพในลุ่มแม่น้ำโขงนั้น จีนให้ความไว้วางใจการสอบสวนของไทย โดยให้เป็นเรื่องของศาลไทย เป็นผู้พิจารณา ทางประเทศจีนจะขอรับทราบเป็นครั้งคราวเท่านั้น ส่วนการลาดตระเวนได้ให้ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติเข้าไปดำเนินการในเรื่องของนโยบาย และให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่ประสานงานร่วมในการรักษาความ ปลอดภัยในพื้นที่ที่รับผิดชอบ
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการ ตั้งคณะทำงานร่วมไทย –กัมพูชา ในการพิจารณาการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลกว่า ขณะนี้ทางกองทัพไทยได้ส่งเรื่องมายังสำนักนโยบายและแผนของกระทรวงกลาโหม ร่างคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชา และเสนอเข้าไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)แล้ว หากผ่านการอนุมัติจาก ครม. และนายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งคณะทำงานเมื่อใด เราจะได้ร่วมกันดำเนินการต่อไปในเรื่องรายละเอียด คิดว่าอย่างเร็วที่สุดน่าจะเข้า ครม.ได้ในวันที่ 10 ม.ค
สำหรับ คณะทำงานมีทั้งหมด19 คน ประกอบด้วย 16 คน มาจากกระทรวงกลาโหม ตำรวจ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงต่างประเทศ ผู้ว่าราชการจังหวัด และ 3 คน เป็นนักกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายตามแนวชายแดน ส่วนที่ประชาชนในพื้นที่ไม่ต้องการให้ถอนทหารนั้น คงต้องคุยกันในเดือน ก.พ. เพราะนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.อุบลราชธานี
"ผมจะกราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรี ไปที่กองกำลังสุรนารี เพื่อตรวจเยี่ยม รวมถึงประชาชนที่ผามออีแดง ให้ท่านไปยืนตรงนั้น ให้เห็นกันไปเลยว่า ตรงนั้นเป็นแผ่นดินไทย นายกรัฐมนตรีไทย ไปยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้ และประชาชนจะเข้าใจเองว่า ดินแดนทุกส่วนเป็นของไทย ส่วนการทำความเข้าใจกับ ประชาชนในพื้นที่ ทางกองกำลังสุรนารี โดย พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 จะเป็นผู้ชี้แจงว่า เราไม่ได้เสีย แต่การที่เราต้องปรับกำลัง และทดแทนกำลังนั้น เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งศาลยุติธรรม ที่ให้สองประเทศปฏิบัติ ถ้าประเทศหนึ่งประเทศใดไม่ปฏิบัติ ก็จะมีปัญหา สำหรับประเทศไทยเราเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ คิดว่าทางรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และ แม่ทัพภาคที่ 2 คงอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ถึงขั้นตอนการทำงานที่ถูกต้องในการที่จะอยู่ร่วมกัน โดยต้องสร้างความเข้าใจในช่วงนี้ ขณะนี้ยังพูดอะไรก่อนที่สถานการณ์หรือเหตุการณ์จะมีการพัฒนาหรือเกิดขึ้น" รมว.กลาโหม กล่าว
เมื่อถามว่า มีการคาดว่าศาลโลก จะตัดสินตามคำร้องของกัมพูชา ที่ให้มีการตีความคำตัดสินในปี 2505 ในช่วง 2 เดือนนี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ยืนยันว่ายังไม่ถึงขั้นตอนนั้น เพราะทางศาลโลกยังต้องให้เราส่งข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์อักษรส่งไปให้อีกใน เดือน พ.ค.-มิ.ย. นี้ เพราะฉะนั้น การตัดสินก่อนส่งเอกสารไม่น่าจะเกิดขึ้น โดยกระทรวงต่างประเทศ จะเป็นผู้ส่งข้อมูลหลังเดือนก.พ. เพราะฉะนั้นจะไม่เกิดขึ้นในเดือนก.พ.นี้แน่นอน เมื่อถามว่าถ้าเราไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลก จะส่งผลกระทบอย่างไร พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ก็เป็นเด็กเกเร จะมีผลต่อการตัดสินของศาลโลกด้วย