ASTVผู้จัดการรายวัน-"สมศักดิ์" ตอกย้ำกรณี "ก้านธูป" ปลุกกระแสต้าน ม.112 "ปริญญา"ขานรับ พร้อมปกป้องนักศึกษา ขณะที่"สุรชัย แซ่ด่าน" โวยจากในคุก ยุติธรรมสองมาตรฐาน หากต้องตายคาคุก ฝากสาวกแดงแห่ศพประท้วง ม.112 ด้วย ด้าน "ประยุทธ์" ลั่นกองทัพไม่ได้นิ่งนอนใจปกป้องสถาบันกษัตริย์ เพราะเป็นหน้าที่โดยตรง พร้อมเฝ้าระวังกลุ่มคุกคาม ย้ำ "ในหลวง"ไม่เคยคิดเอาโทษกับใครที่ล่วงละเมิด ปลุกคนไทยปกป้องสถาบันฯ ชี้ทหารไม่ต้องการขัดแย้งกับใคร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 17.35 น. วันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เผยแพร่ข้อมูลทางเฟซบุ๊กส่วนตัว "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" โดยระบุว่า “ก้านธูป” นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถูกหมายเรียกให้ไปรายงานตัว ในข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขน ในวันที่ 11 ม.ค.55 จากกรณีโพสต์เฟซบุ๊ก มีเนื้อหาหมิ่นฯ ตั้งแต่ปี 2553
**ชู"ก้านธูป"ปลุกกระแสต้านม.112
"ข้อกล่าวหาคือ เหตุการณ์ที่เป็นข่าวไป 1 ปีเศษ ก่อนหน้านั้น ( การโพสต์ทาง fb (เฟซบุ๊ค) เมื่อเดือนเม.ย.53 ) ซึ่งในครั้งนั้นได้ทำให้ก้านธูป สูญเสียโอกาสเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปากร และ เกษตรศาสตร์ มาแล้ว ใครๆ รวมทั้งตัวคุณก้านธูปเอง ก็นึกว่าเรื่องจบไปแล้ว เธอได้รับผลกระทบไปอย่างมากแล้ว ต้องเสียเวลาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย 1 ปี ไม่นับเรื่องการตกเป็นข่าว ถูกรังควานต่างๆ อีก"
"ที่สำคัญ กรณีดังกล่าวก็ไม่ได้มีน้ำหนักอะไรมากไปกว่า กรณีทำนองเดียวกันที่เคยเกิด เมื่อมีผู้สมัครรายการ AF เขียน fb แล้วถูกนำมาประณาม โดยบรรดาผู้คลั่งเจ้า ออนไลน์ แล้วเรื่องก็จบไป ไม่มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด"
"แต่ปรากฏว่า ในกรณี ก้านธูป ได้มีผู้นำเรื่องไปแจ้งความโดยเอาหลักฐานการแจ้งความจากข้อความประณามก้านธูป ตามเว็บบอร์ด คลั่งเจ้า ออนไลน์นั่นแหละ" นายสมศักดิ์ระบุ
นายสมศักดิ์ ยังระบุอีกว่า เป็นที่น่าเสียใจ เจ้าหน้าที่ไม่ใช้วิจารณญาณ ดูองค์ประกอบและบริบทต่างๆ รวมทั้งผลได้ ผลเสีย ของการดำเนินคดีข้อหาร้ายแรงต่อผู้ถูกกล่าวหา ที่ขณะเกิดเรื่องเป็นเพียงนักเรียนมัธยม เพิ่งเรียนจบ และขณะนี้เป็นเพียงนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ว่าจะมีผลดี ผลเสีย ต่อกระบวนการยุติธรรม หรือสถาบันทางการเมือง สังคม เองอย่างไร
อีกทั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ได้มีการตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพใหม่ อีก 2-3 กรณี ทั้งที่รัฐบาลเพื่อไทย ได้รับรองรายงานข้อเสนอของ คอป. (คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ) ที่ให้ระมัดระวัง แยกแยะ ในการดำเนินคดีหมิ่นฯ และยังได้แถลงต่อยูเอ็น ถึงความผิดพลาดของรัฐบาลชุดก่อน ถึงการดำเนินคดีหมิ่นฯ อย่างเหวี่ยงแห และได้แจ้งต่อยูเอ็นด้วยว่า จะแก้ไขลักษณะดังกล่าว ตามการแนะนำของ คอป.
แต่ 3 คดีดังกล่าวก็เกิดขึ้น มีการแจ้งข้อหา ออกหมายเรียก ที่สำคัญทุกกรณีผู้ถูกกล่าวหาเป็นคนที่อยู่ในแวดวงการศึกษา ในรั้วมหาวิทยาลัย
ด้านนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ขณะนี้ทางมหาวิทยาลัย ยังไม่ได้รับเอกสารจากเจ้าหน้าที่ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการถูกดำเนินคดีอาญาของนักศึกษาคนดังกล่าว จึงยังไม่ทราบว่า มีการตั้งข้อหาหรือยัง และในประเด็นอะไร
นายปริญญากล่าวอีกว่า ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการล่าแม่มด ควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่า มีการคุกคามความปลอดภัยของนักศึกษาคนดังกล่าว แต่หากเกิดขึ้นทางมหาวิทยาลัย ก็ไม่นิ่งนอนใจ ต้องป้องกันดูแลความปลอดภัยอย่างแน่นอน
** "สุรชัย"ให้แห่ศพประท้วงม.112
เมื่อเวลา 19.32 น. วันที่ 3 ม.ค. เว็บไซต์ ประชาไท ได้เผยแพร่จดหมายของนายสรุชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ แซ่ด่าน ประธานองค์กรแดงสยาม ที่ถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในข้อหาหมื่นสถาบันฯ โดยจดหมายฉบับนี้ ส่งผ่านมาจากผู้ที่ได้รับการเข้าเยี่ยม นายสุรชัย
ทั้งนี้ เนื้อความจดหมายระบุว่า เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.53 ผมกับพี่น้องคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง มาจัดงาน “เคานต์ดาวน์” เรียกร้อง “อิสรภาพ” ให้กับ “คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.)” ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุก แต่พอมาถึง 31 ธ.ค. 54 ผมก็มาถูกคุมขังอยู่ในคุกแทน แกนนำ นปช. ก็ต้องมาจัดงาน “เคานต์ดาวน์” เรียกร้องอิสรภาพให้แก่ผม และคนเสื้อแดงอีกหลายคน ที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องจัดงาน “เคานต์ดาวน์” หน้าคุกกันอีกกี่ปี และไม่รู้ว่าพวกเราจะต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน จัดงานเคานต์ดาวน์ กันอีกกี่ครั้ง นี่คือผลของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน
เมื่อตอนที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล คนเสื้อแดง ถูกขังคุก เพราะศาลไม่ให้ประกันตัว อ้างเหตุกลัวหลบหนี แต่คนเสื้อเหลือง ที่ความผิดร้ายแรงมากกว่า ได้รับการประกันตัว ไม่กลัวหลบหนี นี่คือ สองมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงก็พอทำใจได้ เพราะประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกเรา
แต่เวลานี้พรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาล คนเสื้อแดง ก็ยังถูกขังคุก คนเสื้อเหลือง ก็ไม่ถูกขังคุกเหมือนเดิม คนเสื้อแดงยังจะทำใจได้หรือ ? กับระบบสองมาตรฐานอย่างนี้ และเป็นเครื่องยืนยันว่า อำนาจรัฐที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล เพราะแค่จะประกันตัวคนของตนเอง ยังทำไม่ได้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย จึงบริหารประเทศอย่างไร้ความมั่นคง ต้องคอยเอาใจเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริงอยู่ตลอดเวลา แล้วจะทนอยู่อย่างนี้ไปได้นานเท่าไร ฝากข้อคิดนี้ไปยัง รัฐบาล และคนเสื้อแดงทั่วประเทศด้วย
ในตอนท้ายของจดหมาย นายสุรชัย ระบุด้วยว่า สุดท้ายนี้ ขออวยพรให้รัฐบาลได้อยู่รอดปลอดภัย และพี่น้องประชาชนมีความคิดที่แจ่มใส มีจิตใจที่รุ่งโรจน์ ตาสว่างมากยิ่งขึ้น รวมพลัง รอคอยโอกาส ลุกขึ้นสู้ กำชัยชนะ เมื่อโอกาสมาถึงในไม่ช้านี้ ผมจะรอคอยพวกท่านมาเปิดประตูคุกให้ แต่ถ้าผมตายเสียก่อน ก็จงเอาศพไปแห่ประท้วง ม.112 จนกว่าจะแก้ไขให้มีความเป็นธรรม และประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นในประเทศไทย
** ทุกคนต้องร่วมปกป้องสถาบันฯ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง และนักวิชาการบางกลุ่ม ที่พยายามปลุกกระแสต้านประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่า ในฐานะที่กองทัพมีหน้าที่ดูแลปกป้องสถาบันฯ ซึ่งเราก็เฝ้าดูอยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องของอำนาจนิติบัญญัติ ก็ดูอยู่ แต่ตนคิดว่าประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ รับรู้แล้วว่า อะไรมันคืออะไร ประเด็นคือว่า จะต้องช่วยกันระมัดระวังให้พระองค์ท่าน ตราบใดถ้าเราดูความเหมาะควร ทั้งนี้ตนไม่อยากใช้คำว่า ไปยุ่งกับมาตราโน้น มาตรานี้ มันเหมาะหรือไม่เหมาะ ตนไม่ทราบ แต่ในส่วนของทหาร มันมีคำตอบของทหารอยู่แล้ว เพราะเราเป็นทหารมีหน้าที่โดยตรงอยู่แล้ว ถ้าถามทหารก็ตอบอย่างที่เคยตอบ
ดังนั้นจะต้องไปถามคนอื่น แต่ถ้าคิดว่าประเทศไทยเป็นแบบนี้ แล้วเรามีสถาบันฯ ที่มีคุณประโยชน์กับเรามาตั้งแต่ยุค พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เราจะดูแลท่านอย่างไร เมื่อถึงเวลาวันนี้ จะปล่อยให้ทหารดูแลคนเดียวหรือ มันไม่ใช่ ทุกคนจะต้องออกมาช่วยดูแล แต่ทั้งหมดก็จะต้องเคารพในกติกาของบ้านเมือง ทั้งหมดจะต้องไปด้วยกันให้ได้ เราจะใช้กำลังสู้กันอย่างเดียวก็มีแต่จะแย่กันไปทั้งประเทศ ดังนั้นทุกคนมีบทบาทที่จะทำอะไรตรงไหนก็มาช่วยกัน ออกมาแสดงตามรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดไว้
เมื่อถามย้ำว่า แต่การพูดจา และการดำเนินการของกลุ่มคนเหล่านี้ เริ่มหนักข้อขึ้นทุกวัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มันผิดกฎหมายหรือเปล่า หรือ ผิดกฎหมายหรือยัง หากผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินการ และการใช้กฎหมายอย่างเดียว ก็มีปัญหา แต่ขณะนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องก็พยายามใช้นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ในการดำเนินการเรื่องนี้อยู่ ไม่ใช่พวกเรานิ่งนอนใจ หรือ ไม่ใช่เราไม่ยืนหยัดในการรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่พูดไปก็ขัดแย้งกันมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นก็จะต้องดูว่าใครออกมาพูด พูดแล้วได้ประโยชน์กับประชาชน ประเทศชาติหรือไม่ ถ้าไม่ได้ กระบวนการก็มีอยู่แล้วว่า จะแก้ด้วยวิธีไหน ถ้าทุกคนไม่เห็นด้วยมันก็แก้ไม่ได้
เมื่อถามว่า อำนาจรัฐบาลจะต้องเข้มแข็งในการดูแลเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็พยายามอยู่แล้ว ตนบอกแล้ว จะต้องใช้หลักนิติศาสตร์ และ รัฐศาสตร์ จะใช้หลักนิติศาสตร์ อย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะจะทำพระองค์ท่านเดือดร้อนเหมือนกัน พระองค์ท่านทรงรับสั่งว่า เวลาคนที่มีปัญหา ก็ถึงพระองค์อยู่ดี ดังนั้นพวกเราจะต้องช่วยกัน ว่าทำอย่างไรถึงไม่มีคนไปละเมิด ส่วนจะมีโทษอย่างไร ก็ว่าอีกที
"พระองค์ท่านมีพระเมตตาอยู่แล้ว ไม่อยากมีโทษกับใครทั้งสิ้น ดังนั้นเราต้องช่วยกัน ถ้าเราคนนี้ชอบทำแบบนี้อยู่ และยังไปคบค้าสมาคมด้วย ก็ไม่ดี ก็ต้องเลิกคบค้าไป เพราะเราไม่ชอบคนพวกนี้ เราไม่ชอบใครที่ทำไม่ดี ก็อย่าไปคบเขา ก็เท่านั้น แต่หากยังคบอยู่ แล้วจะแก้ไขอย่างไร จะเอาตำรวจไปจับหรือ มันไม่ใช่ ถ้าใครที่เป็นคนไม่ดี ที่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ก็อย่าไปคบ แต่ตัวเราจะต้องดีพอ ถึงจะไปตัดสินว่า คนนั้นดี หรือไม่ดี อย่าตัดสินด้วยความไม่ชอบหน้า แต่จะต้องตัดสินว่า ดีหรือไม่ดี หากไม่ดี ก็อย่าไปคบ ถ้าทุกคนไม่คบเขามากๆ แล้วเขาจะไปคบกับใคร หรือจะไปทำอะไรได้ เขาก็ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีพลังที่จะไปทำในสิ่งที่ไม่ดีต่อไป" ผบ.ทบ. กล่าว
** ต้องช่วยกันทำให้ชาติปลอดภัย
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองในปี 2555 ที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิดความรุนแรง ว่า คงไม่หรอก เรากังวลแบบนี้มาหลายปี จนมันไม่มีความสุข ฉะนั้นทุกคนจะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำให้ประเทศชาติปลอดภัย ก้าวเดินไปข้างหน้าได้ และให้ประเทศชาติสามารถมีอำนาจ 3 อำนาจ คือ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และ อำนาจตุลาการ ได้ทำงานตามกรอบกฎหมายที่มีอยู่ และมีประชาชนเป็นคนตัดสินใจ แต่ทั้งหมดก็จะต้องอยู่กับขอบเขตในความถูกต้อง ความเหมาะสม
" ทหารไม่มีบทบาทอะไรไปขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น เพราะว่าถ้าบ้านเมืองปกติสุข ก็เป็นอำนาจของ 3 ฝ่าย ในการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ทหารก็จะทำตามหน้าที่ของทหาร"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้มีหลายประการน่าเป็นห่วง ทั้งปัญหาชายแดน ปัญหาภาคใต้ และปัญหาภัยพิบัติ ที่นับว่าจะมากขึ้นเรื่อยๆ ตนกังวลในเรื่องนี้ดีกว่า จะไปกังวลในเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน ตรงนี้ มันไม่ใช่เวลา แต่เป็นอำนาของ 3 ฝ่าย ในการดำเนินการอยู่ ตนคิดว่าคนไทยทั้งประเทศเข้าใจ และทุกสื่อก็จะต้องช่วยกัน
"หลักการของบ้านเมืองมีอยู่แล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงประเทศชาติได้ เพราะว่าประเทศชาติเจริญเติบโตมาถึงวันนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ มีมา 700 กว่าปีแล้ว เราเจริญมานานมากพอสมควร ผมคิดว่าจะต้องมีการพัฒนาการไปตามโลกที่เป็นอยู่ แต่บ้านเมืองของเรา ก็จะต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะบ้านเมืองเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีสถาบันฯ และคนไทยมีธรรมะ ส่วนใหญ่เป็นคนไทยพุทธ แม้ว่าจะมีศาสนาอื่นรวมอยู่ด้วย แต่ทุกคนก็อยู่อย่างมั่นคง และสิ่งที่น่าห่วงคือ สถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ เราพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว ในกรอบของรัฐบาล กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และ กองกำลังผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) และกระทรวง ทบวง กรม ก็ช่วยกันทำงานตลอด แต่ปัญหามันมีอยู่มาก ก็จะต้องช่วยกันปรับแก้กันไป ประเด็นคือว่ามันใช้วิธีการทำให้คนบาดเจ็บเสียชีวิตแย่มาก และคนพวกนี้ผมคิดว่ามันอันตราย ที่จะให้เขาใช้วิธีการแบบนี้ต่อไป ไม่ได้ เราจะต้องช่วยกันปกป้องชีวิตของคนไทยด้วยกันเองให้มากกว่านี้ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการดูแล ครู วัด พระ และโรงเรียน หากปล่อยให้ทหารอย่างเดียวก็ไม่ได้ หรือใช้ทหารมากเกินไป ใช้กฎหมายมากเกินไป ก็จะถูกตอบโต้ในกระแสสังคม ในกระแสของสากลอีกเยอะแยะ มันมีหลายด้าน คิดด้านเดียวคงไมได้ เพราะวันนี้โลกมันไม่มีพรมแดน โลกวันนี้เต็มไปด้วยโซเชียลมีเดีย ดังนั้นการแก้ไขปัญหาจะยากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นท่านในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนฐานันดรหนึ่ง ที่จะช่วยประเทศปลอดภัยได้ก็ ขอร้องให้ช่วยนิดหนึ่ง และใครไม่ดีก็ประฌามคนไม่ดี คนดีก็ให้กำลังใจ ถ้าคนดีถูกทำร้ายไปเรื่อยๆ และไม่ประฌามคนไม่ดี ประเทศก็อยู่ไม่ได้ในวันข้างหน้า" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีผลสำรวจ เอแบคโพลที่ติด 1 ใน 5 สุดยอด ซีอีโอ ของภาคราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐ แห่งปี 2554 ว่า ดีใจตรงที่ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ให้เกียรติ และให้ความไว้วางใจกับทหาร สิ่งที่ได้รับในครั้งนี้ ถือว่าเป็นเกียรติกับกองทัพทุกคน ไม่ใช่ตนเพียงคน เดียว นอกจากนี้อยากจะเฉลี่ยแบ่งไปให้คนอื่นด้วย คงไม่ใช่ทหารเพียงอย่างเดียว เพราะอาจจะมีบางส่วนไม่ได้กล่าวถึง อยากจะให้เฉลี่ยกันไป ทุกคนได้ที่หนึ่งเหมือนกันทั้งประเทศ แต่ถึงอย่างไรก็ขอบคุณ
** ค้านนักโทษหมิ่นฯ อยู่คุกวีไอพี
น.พ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในระหว่างการประชุมสภาเพื่อพิจารณางบประมาณปี 2555 ถึงงบปรองดองจำนวน 528.1 ล้านบาท ว่า ดูแล้วปรองดองไม่ได้ เพราะสีต่างๆ หยุดหมดแล้ว เหลือแต่สีแดงยังไม่หยุด มีการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง สร้างความแตกแยก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ไม่จริงใจเรื่องปรองดอง หากปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ใช้งบประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ก็ปรองดองไม่ได้ ดังนั้นขอให้ตัดไป เพราะไม่มีประโยชน์ หากมีพฤติกรรมแบบนี้
น.พ.สุกิจ ยังกล่าวถึงกรณีที่ คอป. มีข้อเสนอให้นำนักโทษหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และนักโทษผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปขังไว้ ที่เรือนจำชั่วคราว โรงเรียนพลตำรวจบางเขน ซึ่งเรือนจำชั่วคราวมีความแตกต่างจากคุกธรรมดา ที่มีทั้งความแออัด และการแพร่เชื้อโรค แต่กลับมีแนวคิดจะนำนักโทษในคดีหมิ่นฯ ไปขังไว้ที่นั่น ซึ่งเป็นที่ที่สบายกว่าคนอื่นเขา เป็นเรื่องที่ตนยอมไม่ได้ เพราะตนรักพระเจ้าอยู่หัว ใครมาดูหมิ่น มันจะมาสบายไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 17.35 น. วันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เผยแพร่ข้อมูลทางเฟซบุ๊กส่วนตัว "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" โดยระบุว่า “ก้านธูป” นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถูกหมายเรียกให้ไปรายงานตัว ในข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขน ในวันที่ 11 ม.ค.55 จากกรณีโพสต์เฟซบุ๊ก มีเนื้อหาหมิ่นฯ ตั้งแต่ปี 2553
**ชู"ก้านธูป"ปลุกกระแสต้านม.112
"ข้อกล่าวหาคือ เหตุการณ์ที่เป็นข่าวไป 1 ปีเศษ ก่อนหน้านั้น ( การโพสต์ทาง fb (เฟซบุ๊ค) เมื่อเดือนเม.ย.53 ) ซึ่งในครั้งนั้นได้ทำให้ก้านธูป สูญเสียโอกาสเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปากร และ เกษตรศาสตร์ มาแล้ว ใครๆ รวมทั้งตัวคุณก้านธูปเอง ก็นึกว่าเรื่องจบไปแล้ว เธอได้รับผลกระทบไปอย่างมากแล้ว ต้องเสียเวลาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย 1 ปี ไม่นับเรื่องการตกเป็นข่าว ถูกรังควานต่างๆ อีก"
"ที่สำคัญ กรณีดังกล่าวก็ไม่ได้มีน้ำหนักอะไรมากไปกว่า กรณีทำนองเดียวกันที่เคยเกิด เมื่อมีผู้สมัครรายการ AF เขียน fb แล้วถูกนำมาประณาม โดยบรรดาผู้คลั่งเจ้า ออนไลน์ แล้วเรื่องก็จบไป ไม่มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด"
"แต่ปรากฏว่า ในกรณี ก้านธูป ได้มีผู้นำเรื่องไปแจ้งความโดยเอาหลักฐานการแจ้งความจากข้อความประณามก้านธูป ตามเว็บบอร์ด คลั่งเจ้า ออนไลน์นั่นแหละ" นายสมศักดิ์ระบุ
นายสมศักดิ์ ยังระบุอีกว่า เป็นที่น่าเสียใจ เจ้าหน้าที่ไม่ใช้วิจารณญาณ ดูองค์ประกอบและบริบทต่างๆ รวมทั้งผลได้ ผลเสีย ของการดำเนินคดีข้อหาร้ายแรงต่อผู้ถูกกล่าวหา ที่ขณะเกิดเรื่องเป็นเพียงนักเรียนมัธยม เพิ่งเรียนจบ และขณะนี้เป็นเพียงนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ว่าจะมีผลดี ผลเสีย ต่อกระบวนการยุติธรรม หรือสถาบันทางการเมือง สังคม เองอย่างไร
อีกทั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ได้มีการตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพใหม่ อีก 2-3 กรณี ทั้งที่รัฐบาลเพื่อไทย ได้รับรองรายงานข้อเสนอของ คอป. (คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ) ที่ให้ระมัดระวัง แยกแยะ ในการดำเนินคดีหมิ่นฯ และยังได้แถลงต่อยูเอ็น ถึงความผิดพลาดของรัฐบาลชุดก่อน ถึงการดำเนินคดีหมิ่นฯ อย่างเหวี่ยงแห และได้แจ้งต่อยูเอ็นด้วยว่า จะแก้ไขลักษณะดังกล่าว ตามการแนะนำของ คอป.
แต่ 3 คดีดังกล่าวก็เกิดขึ้น มีการแจ้งข้อหา ออกหมายเรียก ที่สำคัญทุกกรณีผู้ถูกกล่าวหาเป็นคนที่อยู่ในแวดวงการศึกษา ในรั้วมหาวิทยาลัย
ด้านนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ขณะนี้ทางมหาวิทยาลัย ยังไม่ได้รับเอกสารจากเจ้าหน้าที่ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการถูกดำเนินคดีอาญาของนักศึกษาคนดังกล่าว จึงยังไม่ทราบว่า มีการตั้งข้อหาหรือยัง และในประเด็นอะไร
นายปริญญากล่าวอีกว่า ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการล่าแม่มด ควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่า มีการคุกคามความปลอดภัยของนักศึกษาคนดังกล่าว แต่หากเกิดขึ้นทางมหาวิทยาลัย ก็ไม่นิ่งนอนใจ ต้องป้องกันดูแลความปลอดภัยอย่างแน่นอน
** "สุรชัย"ให้แห่ศพประท้วงม.112
เมื่อเวลา 19.32 น. วันที่ 3 ม.ค. เว็บไซต์ ประชาไท ได้เผยแพร่จดหมายของนายสรุชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ แซ่ด่าน ประธานองค์กรแดงสยาม ที่ถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในข้อหาหมื่นสถาบันฯ โดยจดหมายฉบับนี้ ส่งผ่านมาจากผู้ที่ได้รับการเข้าเยี่ยม นายสุรชัย
ทั้งนี้ เนื้อความจดหมายระบุว่า เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.53 ผมกับพี่น้องคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง มาจัดงาน “เคานต์ดาวน์” เรียกร้อง “อิสรภาพ” ให้กับ “คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.)” ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุก แต่พอมาถึง 31 ธ.ค. 54 ผมก็มาถูกคุมขังอยู่ในคุกแทน แกนนำ นปช. ก็ต้องมาจัดงาน “เคานต์ดาวน์” เรียกร้องอิสรภาพให้แก่ผม และคนเสื้อแดงอีกหลายคน ที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องจัดงาน “เคานต์ดาวน์” หน้าคุกกันอีกกี่ปี และไม่รู้ว่าพวกเราจะต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน จัดงานเคานต์ดาวน์ กันอีกกี่ครั้ง นี่คือผลของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน
เมื่อตอนที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล คนเสื้อแดง ถูกขังคุก เพราะศาลไม่ให้ประกันตัว อ้างเหตุกลัวหลบหนี แต่คนเสื้อเหลือง ที่ความผิดร้ายแรงมากกว่า ได้รับการประกันตัว ไม่กลัวหลบหนี นี่คือ สองมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงก็พอทำใจได้ เพราะประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกเรา
แต่เวลานี้พรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาล คนเสื้อแดง ก็ยังถูกขังคุก คนเสื้อเหลือง ก็ไม่ถูกขังคุกเหมือนเดิม คนเสื้อแดงยังจะทำใจได้หรือ ? กับระบบสองมาตรฐานอย่างนี้ และเป็นเครื่องยืนยันว่า อำนาจรัฐที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล เพราะแค่จะประกันตัวคนของตนเอง ยังทำไม่ได้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย จึงบริหารประเทศอย่างไร้ความมั่นคง ต้องคอยเอาใจเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริงอยู่ตลอดเวลา แล้วจะทนอยู่อย่างนี้ไปได้นานเท่าไร ฝากข้อคิดนี้ไปยัง รัฐบาล และคนเสื้อแดงทั่วประเทศด้วย
ในตอนท้ายของจดหมาย นายสุรชัย ระบุด้วยว่า สุดท้ายนี้ ขออวยพรให้รัฐบาลได้อยู่รอดปลอดภัย และพี่น้องประชาชนมีความคิดที่แจ่มใส มีจิตใจที่รุ่งโรจน์ ตาสว่างมากยิ่งขึ้น รวมพลัง รอคอยโอกาส ลุกขึ้นสู้ กำชัยชนะ เมื่อโอกาสมาถึงในไม่ช้านี้ ผมจะรอคอยพวกท่านมาเปิดประตูคุกให้ แต่ถ้าผมตายเสียก่อน ก็จงเอาศพไปแห่ประท้วง ม.112 จนกว่าจะแก้ไขให้มีความเป็นธรรม และประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นในประเทศไทย
** ทุกคนต้องร่วมปกป้องสถาบันฯ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง และนักวิชาการบางกลุ่ม ที่พยายามปลุกกระแสต้านประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่า ในฐานะที่กองทัพมีหน้าที่ดูแลปกป้องสถาบันฯ ซึ่งเราก็เฝ้าดูอยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องของอำนาจนิติบัญญัติ ก็ดูอยู่ แต่ตนคิดว่าประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ รับรู้แล้วว่า อะไรมันคืออะไร ประเด็นคือว่า จะต้องช่วยกันระมัดระวังให้พระองค์ท่าน ตราบใดถ้าเราดูความเหมาะควร ทั้งนี้ตนไม่อยากใช้คำว่า ไปยุ่งกับมาตราโน้น มาตรานี้ มันเหมาะหรือไม่เหมาะ ตนไม่ทราบ แต่ในส่วนของทหาร มันมีคำตอบของทหารอยู่แล้ว เพราะเราเป็นทหารมีหน้าที่โดยตรงอยู่แล้ว ถ้าถามทหารก็ตอบอย่างที่เคยตอบ
ดังนั้นจะต้องไปถามคนอื่น แต่ถ้าคิดว่าประเทศไทยเป็นแบบนี้ แล้วเรามีสถาบันฯ ที่มีคุณประโยชน์กับเรามาตั้งแต่ยุค พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เราจะดูแลท่านอย่างไร เมื่อถึงเวลาวันนี้ จะปล่อยให้ทหารดูแลคนเดียวหรือ มันไม่ใช่ ทุกคนจะต้องออกมาช่วยดูแล แต่ทั้งหมดก็จะต้องเคารพในกติกาของบ้านเมือง ทั้งหมดจะต้องไปด้วยกันให้ได้ เราจะใช้กำลังสู้กันอย่างเดียวก็มีแต่จะแย่กันไปทั้งประเทศ ดังนั้นทุกคนมีบทบาทที่จะทำอะไรตรงไหนก็มาช่วยกัน ออกมาแสดงตามรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดไว้
เมื่อถามย้ำว่า แต่การพูดจา และการดำเนินการของกลุ่มคนเหล่านี้ เริ่มหนักข้อขึ้นทุกวัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มันผิดกฎหมายหรือเปล่า หรือ ผิดกฎหมายหรือยัง หากผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินการ และการใช้กฎหมายอย่างเดียว ก็มีปัญหา แต่ขณะนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องก็พยายามใช้นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ในการดำเนินการเรื่องนี้อยู่ ไม่ใช่พวกเรานิ่งนอนใจ หรือ ไม่ใช่เราไม่ยืนหยัดในการรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่พูดไปก็ขัดแย้งกันมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นก็จะต้องดูว่าใครออกมาพูด พูดแล้วได้ประโยชน์กับประชาชน ประเทศชาติหรือไม่ ถ้าไม่ได้ กระบวนการก็มีอยู่แล้วว่า จะแก้ด้วยวิธีไหน ถ้าทุกคนไม่เห็นด้วยมันก็แก้ไม่ได้
เมื่อถามว่า อำนาจรัฐบาลจะต้องเข้มแข็งในการดูแลเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็พยายามอยู่แล้ว ตนบอกแล้ว จะต้องใช้หลักนิติศาสตร์ และ รัฐศาสตร์ จะใช้หลักนิติศาสตร์ อย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะจะทำพระองค์ท่านเดือดร้อนเหมือนกัน พระองค์ท่านทรงรับสั่งว่า เวลาคนที่มีปัญหา ก็ถึงพระองค์อยู่ดี ดังนั้นพวกเราจะต้องช่วยกัน ว่าทำอย่างไรถึงไม่มีคนไปละเมิด ส่วนจะมีโทษอย่างไร ก็ว่าอีกที
"พระองค์ท่านมีพระเมตตาอยู่แล้ว ไม่อยากมีโทษกับใครทั้งสิ้น ดังนั้นเราต้องช่วยกัน ถ้าเราคนนี้ชอบทำแบบนี้อยู่ และยังไปคบค้าสมาคมด้วย ก็ไม่ดี ก็ต้องเลิกคบค้าไป เพราะเราไม่ชอบคนพวกนี้ เราไม่ชอบใครที่ทำไม่ดี ก็อย่าไปคบเขา ก็เท่านั้น แต่หากยังคบอยู่ แล้วจะแก้ไขอย่างไร จะเอาตำรวจไปจับหรือ มันไม่ใช่ ถ้าใครที่เป็นคนไม่ดี ที่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ก็อย่าไปคบ แต่ตัวเราจะต้องดีพอ ถึงจะไปตัดสินว่า คนนั้นดี หรือไม่ดี อย่าตัดสินด้วยความไม่ชอบหน้า แต่จะต้องตัดสินว่า ดีหรือไม่ดี หากไม่ดี ก็อย่าไปคบ ถ้าทุกคนไม่คบเขามากๆ แล้วเขาจะไปคบกับใคร หรือจะไปทำอะไรได้ เขาก็ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีพลังที่จะไปทำในสิ่งที่ไม่ดีต่อไป" ผบ.ทบ. กล่าว
** ต้องช่วยกันทำให้ชาติปลอดภัย
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองในปี 2555 ที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิดความรุนแรง ว่า คงไม่หรอก เรากังวลแบบนี้มาหลายปี จนมันไม่มีความสุข ฉะนั้นทุกคนจะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำให้ประเทศชาติปลอดภัย ก้าวเดินไปข้างหน้าได้ และให้ประเทศชาติสามารถมีอำนาจ 3 อำนาจ คือ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และ อำนาจตุลาการ ได้ทำงานตามกรอบกฎหมายที่มีอยู่ และมีประชาชนเป็นคนตัดสินใจ แต่ทั้งหมดก็จะต้องอยู่กับขอบเขตในความถูกต้อง ความเหมาะสม
" ทหารไม่มีบทบาทอะไรไปขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น เพราะว่าถ้าบ้านเมืองปกติสุข ก็เป็นอำนาจของ 3 ฝ่าย ในการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ทหารก็จะทำตามหน้าที่ของทหาร"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้มีหลายประการน่าเป็นห่วง ทั้งปัญหาชายแดน ปัญหาภาคใต้ และปัญหาภัยพิบัติ ที่นับว่าจะมากขึ้นเรื่อยๆ ตนกังวลในเรื่องนี้ดีกว่า จะไปกังวลในเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน ตรงนี้ มันไม่ใช่เวลา แต่เป็นอำนาของ 3 ฝ่าย ในการดำเนินการอยู่ ตนคิดว่าคนไทยทั้งประเทศเข้าใจ และทุกสื่อก็จะต้องช่วยกัน
"หลักการของบ้านเมืองมีอยู่แล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงประเทศชาติได้ เพราะว่าประเทศชาติเจริญเติบโตมาถึงวันนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ มีมา 700 กว่าปีแล้ว เราเจริญมานานมากพอสมควร ผมคิดว่าจะต้องมีการพัฒนาการไปตามโลกที่เป็นอยู่ แต่บ้านเมืองของเรา ก็จะต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะบ้านเมืองเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีสถาบันฯ และคนไทยมีธรรมะ ส่วนใหญ่เป็นคนไทยพุทธ แม้ว่าจะมีศาสนาอื่นรวมอยู่ด้วย แต่ทุกคนก็อยู่อย่างมั่นคง และสิ่งที่น่าห่วงคือ สถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ เราพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว ในกรอบของรัฐบาล กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และ กองกำลังผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) และกระทรวง ทบวง กรม ก็ช่วยกันทำงานตลอด แต่ปัญหามันมีอยู่มาก ก็จะต้องช่วยกันปรับแก้กันไป ประเด็นคือว่ามันใช้วิธีการทำให้คนบาดเจ็บเสียชีวิตแย่มาก และคนพวกนี้ผมคิดว่ามันอันตราย ที่จะให้เขาใช้วิธีการแบบนี้ต่อไป ไม่ได้ เราจะต้องช่วยกันปกป้องชีวิตของคนไทยด้วยกันเองให้มากกว่านี้ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการดูแล ครู วัด พระ และโรงเรียน หากปล่อยให้ทหารอย่างเดียวก็ไม่ได้ หรือใช้ทหารมากเกินไป ใช้กฎหมายมากเกินไป ก็จะถูกตอบโต้ในกระแสสังคม ในกระแสของสากลอีกเยอะแยะ มันมีหลายด้าน คิดด้านเดียวคงไมได้ เพราะวันนี้โลกมันไม่มีพรมแดน โลกวันนี้เต็มไปด้วยโซเชียลมีเดีย ดังนั้นการแก้ไขปัญหาจะยากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นท่านในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนฐานันดรหนึ่ง ที่จะช่วยประเทศปลอดภัยได้ก็ ขอร้องให้ช่วยนิดหนึ่ง และใครไม่ดีก็ประฌามคนไม่ดี คนดีก็ให้กำลังใจ ถ้าคนดีถูกทำร้ายไปเรื่อยๆ และไม่ประฌามคนไม่ดี ประเทศก็อยู่ไม่ได้ในวันข้างหน้า" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีผลสำรวจ เอแบคโพลที่ติด 1 ใน 5 สุดยอด ซีอีโอ ของภาคราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐ แห่งปี 2554 ว่า ดีใจตรงที่ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ให้เกียรติ และให้ความไว้วางใจกับทหาร สิ่งที่ได้รับในครั้งนี้ ถือว่าเป็นเกียรติกับกองทัพทุกคน ไม่ใช่ตนเพียงคน เดียว นอกจากนี้อยากจะเฉลี่ยแบ่งไปให้คนอื่นด้วย คงไม่ใช่ทหารเพียงอย่างเดียว เพราะอาจจะมีบางส่วนไม่ได้กล่าวถึง อยากจะให้เฉลี่ยกันไป ทุกคนได้ที่หนึ่งเหมือนกันทั้งประเทศ แต่ถึงอย่างไรก็ขอบคุณ
** ค้านนักโทษหมิ่นฯ อยู่คุกวีไอพี
น.พ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในระหว่างการประชุมสภาเพื่อพิจารณางบประมาณปี 2555 ถึงงบปรองดองจำนวน 528.1 ล้านบาท ว่า ดูแล้วปรองดองไม่ได้ เพราะสีต่างๆ หยุดหมดแล้ว เหลือแต่สีแดงยังไม่หยุด มีการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง สร้างความแตกแยก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ไม่จริงใจเรื่องปรองดอง หากปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ใช้งบประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ก็ปรองดองไม่ได้ ดังนั้นขอให้ตัดไป เพราะไม่มีประโยชน์ หากมีพฤติกรรมแบบนี้
น.พ.สุกิจ ยังกล่าวถึงกรณีที่ คอป. มีข้อเสนอให้นำนักโทษหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และนักโทษผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปขังไว้ ที่เรือนจำชั่วคราว โรงเรียนพลตำรวจบางเขน ซึ่งเรือนจำชั่วคราวมีความแตกต่างจากคุกธรรมดา ที่มีทั้งความแออัด และการแพร่เชื้อโรค แต่กลับมีแนวคิดจะนำนักโทษในคดีหมิ่นฯ ไปขังไว้ที่นั่น ซึ่งเป็นที่ที่สบายกว่าคนอื่นเขา เป็นเรื่องที่ตนยอมไม่ได้ เพราะตนรักพระเจ้าอยู่หัว ใครมาดูหมิ่น มันจะมาสบายไม่ได้