ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-งานแต่งงานของ “น้องเอม-น.ส.พินทองทา ชินวัตร” (ที่บัดเดี๋ยวนี้คงเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อและนามสกุลใหม่ไปเรียบร้อยแล้วว่า นางพินทองทา คุณากรวงศ์) ยังไม่ทันหม้อข้าวจะดำ เพื่อนรักปานจะกลืนกลินอย่าง “นายฮุนเซน” ที่ส่งพ่อเจ้าประคุณ “พล.ท.ฮุน มาเนต” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเข้ามาร่วมงานยกเสาลงหลุม ก็แผลงฤทธิ์พยามศักดิ์ศรีของราชอาณาจักรไทยถึง 2 เรื่องด้วยกัน
เรื่องแรกคือ การที่ทหารกัมพูชาสอยเฮลิคอปเตอร์ของนาวิกโยธิน กองทัพเรือไทยขณะกำลังร่อนลงที่ฐาน 326 บริเวณบ้านเจ๊กลัก ต.คลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด เข้าให้ชุดใหญ่ด้วยปืน AK-47 ร่วมร้อยนัด ส่งผลให้กระสุนถูกใบพัดจนได้รับความเสียหายและนักบินจำต้องตัดสินใจร่อนลงฉุกเฉิน
ไม่ต้องทำหนังสือเตือน ไม่ต้องมีพิธีการทางการทูต ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลงอะไร พอเห็นเฮลิคอปเตอร์ของนาวิกโยธินไทยก็ส่งกระสุนปืนเข้าใส่อย่างไม่ปราณีปราศรัยสมเป็นมิตรประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกันจริงๆ
แน่นอน ถามว่า กัมพูชาทำถูกต้องไหม
กัมพูชาย่อมทำถูกต้องเพราะเขาอ้างชัดเจนว่าเฮลิคอปเตอร์ของนาวิกโยธินไทยรุกล้ำดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชา
ทว่า ในทางกลับกันก็สะท้อนภาพให้เห็นถึงศักดิ์ศรีและวัตรปฏิบัติที่รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยยึดถือเป็นแนวทางในการปกป้องพระราชอาณาจักรของชาติอย่างน่าอดสูที่สุด เพราะมิได้กระทำการอันใดที่แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติการตอบโต้ที่สาสมในหัวใจของคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดินแต่ประการใด
ทหารกัมพูชายิงเฮลิคอปเตอร์ของนาวิกโยธินไทยเพียงแค่อ้างว่าบินเข้าไปในพื้นที่ของเขา แต่ฝ่ายไทยทำเพียงแค่การทำหนังสือประท้วง ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว คำให้สัมภาษณ์ของ “พล.ร.ท.พงษ์ศักดิ์ ภูรีโรจน์” ผู้บัญชาการหน่วยนาวิกโยธินยืนยันชัดเจนว่า “ ไม่ได้บินล้ำแดน 100% และก่อนขึ้นบินได้ประสานงานแล้ว ซึ่งปกติทหารไทยก็แบ่งข้าวสารและเสบียงต่างๆ ให้ทหารกัมพูชาที่อยู่ห่างกันแค่ 50 เมตรเท่านั้น กินข้าวด้วยกันทุกวัน สัมพันธ์ดีเยี่ยม แต่ยังยิงเราอีก ก็ยังแปลกใจว่าทำไมถึงได้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นมา”
ยิ่งปฏิกิริยาจากกองทัพเรือภายใต้การบัญชาการของ “บิ๊กหรุ่น-พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์” ผู้บัญชาการกองทัพเรือคนปัจจุบันด้วยแล้ว ยิ่งเต็มไปด้วยความน่าผิดหวัง
ชนิดที่เรียกว่า เล่นเอาผู้ใต้บังคับบัญชาจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นกองทัพเรือเลยทีเดียว
“บริเวณฐาน 326 เป็นพื้นที่ขัดแย้ง เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยมีกองกำลังทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกัน ส่วนเหตุการณ์ครั้งนี้คงต้องรอให้ ผบ.กองกำลังในพื้นที่คุยกันก่อนว่าเจตนาเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าคงไม่กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว อย่างไรก็ตาม ต่อไปต้องมีมาตรการในการป้องกันตัวและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น”พล.อ.สุรศักดิ์กล่าว
แต่ถ้าจะว่าไปแล้วก็คงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะต้องไม่ลืมว่า บิ๊กหรุ่นคือผู้ที่ได้รับการวางตัวสืบต่อจาก “พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ” ตท.10 และเขาก็คือ คนที่นายใหญ่แห่งดูไบพยักหน้าเห็นชอบด้วยความยินยอมพร้อมใจ
ขณะที่ปฏิกิริยาจาก “อ้ายปึ้ง-นายสุรพล โตวิจักข์ชัยกุล” ผู้สร้างผลงานดีเดินเกินหน้าเกินหน้าคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลด้วยการคืนพาสปอร์ตแดงให้กับ นช.ทักษิณ ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะความจริงแล้ว นายสุรพลน่าจะสวมหมวกอีกใบหนึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาของนายฮุนเซนเสียด้วยซ้ำไป
หรือเพียงแค่ พล.ท.ฮุน มาเนตลูกชายของเพื่อนรักเดินทางมาร่วมงานฉลองมงคลสมรสลูกสาวของ นช.ทักษิณ ถึงกับทำให้กองทัพเรือภายใต้การนำของบิ๊กหรุ่นอ่อนปวกเปียกเป็นขี้ผึ้งถูกลนไฟเช่นนี้
ขณะที่เรื่องที่สองที่เกิดขึ้นตามมาติดๆ หลังจากนั้นก็คือ ที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชาหรือ GBC ครั้งที่ 8 ณ กรุงพนมเปญ มีมติร่วมกันโดยเอกฉันท์ว่า ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันจุดยืนที่จะปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 18 ก.ค.54 อย่างเต็มที่และโดยเร็ว ในการถอนทหารออกจากชายแดนด้านปราสาทพระวิหาร
พร้อมทั้งเห็นชอบร่วมกันให้มีการจัดตั้งและส่งผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้าไปยังพื้นที่โดยด่วน นอกจากนี้ สองฝ่ายยังเห็นชอบที่จะปรับกำลังทหารที่ประจำการปัจจุบันในเขตปลอดทหารออกพร้อมกันอีกด้วย
นี่คือมติอัปยศที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ราชอาณาจักรไทยได้สูญเสียอธิปไตยเหนือพื้นที่ปราสาทพระวิหารในทางปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แบบต่อกัมพูชาไปเรียบร้อยแล้ว
เรื่องแรกคือ การที่ทหารกัมพูชาสอยเฮลิคอปเตอร์ของนาวิกโยธิน กองทัพเรือไทยขณะกำลังร่อนลงที่ฐาน 326 บริเวณบ้านเจ๊กลัก ต.คลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด เข้าให้ชุดใหญ่ด้วยปืน AK-47 ร่วมร้อยนัด ส่งผลให้กระสุนถูกใบพัดจนได้รับความเสียหายและนักบินจำต้องตัดสินใจร่อนลงฉุกเฉิน
ไม่ต้องทำหนังสือเตือน ไม่ต้องมีพิธีการทางการทูต ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลงอะไร พอเห็นเฮลิคอปเตอร์ของนาวิกโยธินไทยก็ส่งกระสุนปืนเข้าใส่อย่างไม่ปราณีปราศรัยสมเป็นมิตรประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกันจริงๆ
แน่นอน ถามว่า กัมพูชาทำถูกต้องไหม
กัมพูชาย่อมทำถูกต้องเพราะเขาอ้างชัดเจนว่าเฮลิคอปเตอร์ของนาวิกโยธินไทยรุกล้ำดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชา
ทว่า ในทางกลับกันก็สะท้อนภาพให้เห็นถึงศักดิ์ศรีและวัตรปฏิบัติที่รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยยึดถือเป็นแนวทางในการปกป้องพระราชอาณาจักรของชาติอย่างน่าอดสูที่สุด เพราะมิได้กระทำการอันใดที่แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติการตอบโต้ที่สาสมในหัวใจของคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดินแต่ประการใด
ทหารกัมพูชายิงเฮลิคอปเตอร์ของนาวิกโยธินไทยเพียงแค่อ้างว่าบินเข้าไปในพื้นที่ของเขา แต่ฝ่ายไทยทำเพียงแค่การทำหนังสือประท้วง ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว คำให้สัมภาษณ์ของ “พล.ร.ท.พงษ์ศักดิ์ ภูรีโรจน์” ผู้บัญชาการหน่วยนาวิกโยธินยืนยันชัดเจนว่า “ ไม่ได้บินล้ำแดน 100% และก่อนขึ้นบินได้ประสานงานแล้ว ซึ่งปกติทหารไทยก็แบ่งข้าวสารและเสบียงต่างๆ ให้ทหารกัมพูชาที่อยู่ห่างกันแค่ 50 เมตรเท่านั้น กินข้าวด้วยกันทุกวัน สัมพันธ์ดีเยี่ยม แต่ยังยิงเราอีก ก็ยังแปลกใจว่าทำไมถึงได้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นมา”
ยิ่งปฏิกิริยาจากกองทัพเรือภายใต้การบัญชาการของ “บิ๊กหรุ่น-พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์” ผู้บัญชาการกองทัพเรือคนปัจจุบันด้วยแล้ว ยิ่งเต็มไปด้วยความน่าผิดหวัง
ชนิดที่เรียกว่า เล่นเอาผู้ใต้บังคับบัญชาจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นกองทัพเรือเลยทีเดียว
“บริเวณฐาน 326 เป็นพื้นที่ขัดแย้ง เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยมีกองกำลังทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกัน ส่วนเหตุการณ์ครั้งนี้คงต้องรอให้ ผบ.กองกำลังในพื้นที่คุยกันก่อนว่าเจตนาเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าคงไม่กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว อย่างไรก็ตาม ต่อไปต้องมีมาตรการในการป้องกันตัวและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น”พล.อ.สุรศักดิ์กล่าว
แต่ถ้าจะว่าไปแล้วก็คงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะต้องไม่ลืมว่า บิ๊กหรุ่นคือผู้ที่ได้รับการวางตัวสืบต่อจาก “พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ” ตท.10 และเขาก็คือ คนที่นายใหญ่แห่งดูไบพยักหน้าเห็นชอบด้วยความยินยอมพร้อมใจ
ขณะที่ปฏิกิริยาจาก “อ้ายปึ้ง-นายสุรพล โตวิจักข์ชัยกุล” ผู้สร้างผลงานดีเดินเกินหน้าเกินหน้าคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลด้วยการคืนพาสปอร์ตแดงให้กับ นช.ทักษิณ ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะความจริงแล้ว นายสุรพลน่าจะสวมหมวกอีกใบหนึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาของนายฮุนเซนเสียด้วยซ้ำไป
หรือเพียงแค่ พล.ท.ฮุน มาเนตลูกชายของเพื่อนรักเดินทางมาร่วมงานฉลองมงคลสมรสลูกสาวของ นช.ทักษิณ ถึงกับทำให้กองทัพเรือภายใต้การนำของบิ๊กหรุ่นอ่อนปวกเปียกเป็นขี้ผึ้งถูกลนไฟเช่นนี้
ขณะที่เรื่องที่สองที่เกิดขึ้นตามมาติดๆ หลังจากนั้นก็คือ ที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชาหรือ GBC ครั้งที่ 8 ณ กรุงพนมเปญ มีมติร่วมกันโดยเอกฉันท์ว่า ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันจุดยืนที่จะปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 18 ก.ค.54 อย่างเต็มที่และโดยเร็ว ในการถอนทหารออกจากชายแดนด้านปราสาทพระวิหาร
พร้อมทั้งเห็นชอบร่วมกันให้มีการจัดตั้งและส่งผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้าไปยังพื้นที่โดยด่วน นอกจากนี้ สองฝ่ายยังเห็นชอบที่จะปรับกำลังทหารที่ประจำการปัจจุบันในเขตปลอดทหารออกพร้อมกันอีกด้วย
นี่คือมติอัปยศที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ราชอาณาจักรไทยได้สูญเสียอธิปไตยเหนือพื้นที่ปราสาทพระวิหารในทางปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แบบต่อกัมพูชาไปเรียบร้อยแล้ว