ผมรักอเมริกัน รักประชาคมและชุมชนอเมริกันอันหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ เคยตั้งใจไว้ว่าหากเมืองไทยลอกคราบเผด็จการไม่สำเร็จ จะอพยพไปเป็นคนอเมริกันเสียให้สิ้นเรื่อง แต่บัดนี้ผมได้คืนใบเขียวที่ได้มาเกือบ 50 ปีไปเรียบร้อยแล้ว
บังเอิญผมเป็นนักเรียนที่รู้พิษสงของรัฐบาลและอภิสิทธิชนกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มของอเมริกัน พวกนี้พร้อมจะทำลายล้มล้างเผ่าพันธุ์เข่นฆ่าใคร ไม่ว่าประธานาธิบดี กษัตริย์หรือประเทศใดก็ได้ เพื่อผลประโยชน์ของเขา ผมจึงไม่ไว้ใจรัฐบาลอเมริกันและคนพวกนั้น รวมทั้งตัวแทนของเขาในประเทศเราด้วย
โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าผมแอนตี้อเมริกัน ผมโปรอเมริกันด้วยซ้ำ ผมเห็นว่านโยบายต่างประเทศ ไทยจะต้องยืนหยัดในความเป็นมิตรอย่างจริงใจและจริงจังกับสหรัฐอเมริกา แต่มิได้หมายความว่าจะตามก้นอเมริกันจนขาดความอิสระ ไม่สามารถวางจุดหนักให้กับจีนมิตรแท้ตามธรรมชาติของไทยได้ เป็นต้น
ไทยต้องเข้าใจจิตวิทยาของอเมริกันในฐานะอภิมหาอำนาจใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่ทันสะเด็ดน้ำความคิดแบบแยกค่าย และสงครามเย็นกับปมเด่นของตน เพราะฉะนั้น ไทยจะต้องรู้จักวางตนไม่ “หงอ” อเมริกันไปเสียทุกเรื่อง
หากจำเป็น เราต้องกล้า “ตบกะโหลก” อเมริกันเสียบ้างเมื่อให้เขารู้สึกตัว หยุดแทรกแซงเรื่องภายในของเรา ไม่ฝักใฝ่เข้าข้างหรือพูดภาษาเดียวกับคนที่เราเห็นว่าไม่รักชาติและเป็นอันตรายต่อประเทศ อเมริกันต้องรู้จักเคารพอธิปไตยและความเป็นชาติเก่าแก่ของไทย แต่ไทยจะต้องเคารพตัวเองเสียก่อน
ลีลาการดำเนินนโยบายต่างประเทศของอเมริกันมักจะ “ลำเอียง ไร้เดียงสา และบ้าอำนาจ” อยู่เสมอๆ
ลำเอียงอย่างไร เช่น ชอบบังคับให้เราเลือกข้าง ถ้าใครไม่เลือกข้างอเมริกันก็แปลว่าคนนั้นเลือกข้างศัตรู อย่างที่ประธานาธิบดีหน้าโง่คนหนึ่งของอเมริกาสรุปเอาง่ายๆ
ส่วนไร้เดียงสานั้น นอกจากจะแปลว่า naïve แล้ว ยังแปลว่าจมอยู่ในปลักอวิชชา ขาด prudence หรือกุศโลบาย และไม่รู้ดีรู้ชั่ว enlightened เอาเสียเลย การคัดเลือกเพาะบ่มอาชีพกระทรวงต่างประเทศอเมริกันนั้น มักจะเลือกคนที่มีสติปัญญาระดับเฉลี่ยที่ว่านอนสอนง่าย ไม่เอาคนที่ฉลาดปราดเปรื่อง ส่วนคนนอกที่เอามาตั้งเป็นทูตก็เป็นการตอบแทนคนที่บริจาคเงินหาเสียงให้กับพรรคโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมที่แท้จริง
ทูตอเมริกันบ้านเราคนปัจจุบันนี้เป็นสายอาชีพ มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าสมัยเป็นทูตอยู่มนิลาเธอจุ้นจ้านมาก
คำว่า บ้าอำนาจนั้นเห็นจะไม่ต้องอธิบาย ใครอยากรู้ลึกซึ้งอาจจะไปอ่านหนังสือชื่อ The Arrogance of Power แต่งโดยวุฒิสมาชิกฟุลไบร์ท อดีตประธานกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาอเมริกันสมัยสงครามเวียดนาม
วันนี้ ผมอยากจะพูดเรื่องมารยาสาไถยของอเมริกันสักหน่อย มารยาสาไถยนี้ภาษาฝรั่งแปลว่า hypocrisy หากลองเปิดพจนานุกรมดู หมู่คำที่มีความหมายอย่างเดียวหรือใกล้เคียงกับ hypocrisy ก็คือ insincerity, double standards, pretense, duplicity และ twofacedness แปลเรียงลำดับว่า ขาดความจริงใจ สองมาตรฐาน หลอกลวง ยอกย้อนและตีสองหน้า เป็นต้น
Hypocricy ในวัฒนธรรมไทยเราก็มี การพูดอย่างทำอย่าง ปากไม่ตรงกับใจ ปากว่าตาขยิบ ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง นายว่าขี้ข้าพลอย อะไรทำนองนี้ เป็น hypocrisy อ่อนๆ เมื่อเทียบกับ American Hypocrisy ที่รวบเอาของเราไปหมด
American Hypocrisy ที่เกรียวกราวบ้านเราตอนนี้ ก็เช่นเรื่องที่นังคลินตันออกมาพูดว่ารัฐบาลอเมริกันสนับสนุนการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม (free and fair election) กับรัฐบาลพลเรือนเป็นความก้าวหน้าของประชาธิปไตยไทย (ดูhttp://iipdigital.usembassy. gov/st/english/texttrans/2011/11/20111 116154755su8.414203e-02.html #ixzz1h5T0bAzK) นัง หรือ ฯพณฯ เอกอัครราชทูตอเมริกันนัง Kristie Kenney (ดูhttp:// bangkok.usembassy.gov/081911_embassy_statement.html) ที่ออกมาวิจารณ์ ม. 112 และการจำคุกนายโจ กอร์ดอน และอากงว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรงและกระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นการประสานยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศเรียกเสียงเฮจากนักวิชาการฝ่ายแดงถ่อยได้กึกก้อง
น่าเสียดายที่ต่อมรับรู้ของคนไทยตื้น หลงและหงออเมริกันจนเกินเหตุ ไม่เข้าใจความสับปลับกลับกลอก จุดจ้านและอันตรายของอเมริกันดังตัวอย่าง
1. อเมริกันอ้างว่าตนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเต็มที่ตาม The First Amendment หรือมาตรา 1 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (ดูhttp://civilliberty.about.com/ od/firstamendment/tp/First-Amendment.htm) ที่ห้ามมิให้รัฐสภาออกกฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา และการแสดงความเห็นอันได้แก่เสรีภาพในการพูดเขียนโฆษณาและชุมนุม เป็นต้น แต่เสรีภาพในการพูดหรือเขียนนี้มีข้อยกเว้นไม่คุ้มครอง sedition หรือการทำลายความมั่นคงของรัฐ obscenity เรื่องลามกอนาจาร defamation ทำลายชื่อเสียง slander ใส่ร้ายป้ายสี libel พิมพ์ข้อความใส่ร้ายทำลายชื่อเสียง fighting words ดูหมิ่นซึ่งหน้า threat คุกคามความปลอดภัย ฯลฯ
การกระทำของขบวนการเสื้อแดงฮาร์ดคอร์และผู้นำพรรคเพื่อไทยหลายคนล้วนเข้าข่ายต้องโทษมิได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญอเมริกันทั้งสิ้น ที่ทูตอเมริกันมาร้องแรกแหกกระเชอมาตรา 112 และคดีนายโจ กอร์ดอน ผู้ต้องโทษ 2 ปีครึ่งฐานหมิ่นพระบรมฯ นั้นเป็น 2 มาตรฐานและมารยาสาไถยสุดยอดของอเมริกัน ซึ่งเพิ่งตัดสินจำคุก Johny Logan Spencer ไป 33 เดือนฐานเขียนกลอนชื่อ Sniper ซึ่งศาลตีความว่ามีข้อความขู่ประธานาธิบดีโอบามาทางอ้อม มิได้ระบุชื่อโอบามาแต่อย่างใด (ดู http://whitereference.blogspot. com/2010/02/johnny-logan-spencer-latest-thought.html)
อเมริกามีกฎหมายคุ้มครองประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และผู้ที่อยู่ในสายอำนาจตั้งแต่วันที่ได้รับเลือกแม้ยังมิได้เข้ารับตำแหน่ง (18 USC Sec. 871 ดhttp://www.law.cornell. edu/ uscode/usc_sec_18_00000871----000-.html และ Source: usgovinfo.about.com) ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครอง ตัวบุคคลในตำแหน่ง ต่างกับ ม. 112 ของเราซึ่งเป็นการคุ้มครองสถาบันและความมั่นคงของชาติ นอกจากนั้นอเมริกันยังมีกฎหมายคุ้มครองผู้มีตำแหน่งอื่นๆ อีกมากมายมิให้ตกเป็นเหยื่อไพร่ปากเปราะ ยุคโอบามามีคนถูกจำคุกระนาวมากกว่าคดีหมิ่นฯ ของเราเสียอีก
2. มีเอกสารหลักฐานว่าอเมริกันแทรกแซงการเลือกตั้งของไทย และกระทำการอันเป็นคุณต่อขบวนการสีแดง เช่น รับผู้ชุมนุมประท้วงเข้าในสถานทูต นัดพบหัวหน้าพรรคและประชาสัมพันธ์ สนับสนุนการเงินและการฝึกอบรมเว็บไซต์และการเคลื่อนไหวสีแดง เป็นต้น (ดู www.ndi.org/thailand)
3. รัฐบาลอเมริกันเกี่ยวข้องและสนับสนุนการโค่นล้มรัฐบาล ทั้งๆ ที่เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลอเมริกันกลับไปสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการและเผด็จการทหารที่เป็นสมุนตน และหลายครั้งก็สนับสนุนกองกำลังนอกกฎหมาย พวกกบฏ ใช้ซีไอเอ หรือแม้แต่ใช้กองทัพเข้ารุกรานอย่างโจ่งแจ้งเช่นกรณีปานามาและอิรัก เป็นต้น (http://en.wikipedia .org /wiki/ CovertUnited_States_foreign regime_change_actions)
รัฐบาลอเมริกันอาจอ้างว่าตนไม่มีส่วน แต่สนับสนุนและอ้างว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคลหรือหมู่คณะที่ปลุกปั่นจาบจ้วงพระมหากษัตริย์ไทย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้นำและคนไทยจะเลิกหงอ และเข้าใจความจุ้นจ้านวุ่นวายสับปลับกลับกลอกของอเมริกัน อันอาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติและสถาบันที่เรารัก
บังเอิญผมเป็นนักเรียนที่รู้พิษสงของรัฐบาลและอภิสิทธิชนกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มของอเมริกัน พวกนี้พร้อมจะทำลายล้มล้างเผ่าพันธุ์เข่นฆ่าใคร ไม่ว่าประธานาธิบดี กษัตริย์หรือประเทศใดก็ได้ เพื่อผลประโยชน์ของเขา ผมจึงไม่ไว้ใจรัฐบาลอเมริกันและคนพวกนั้น รวมทั้งตัวแทนของเขาในประเทศเราด้วย
โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าผมแอนตี้อเมริกัน ผมโปรอเมริกันด้วยซ้ำ ผมเห็นว่านโยบายต่างประเทศ ไทยจะต้องยืนหยัดในความเป็นมิตรอย่างจริงใจและจริงจังกับสหรัฐอเมริกา แต่มิได้หมายความว่าจะตามก้นอเมริกันจนขาดความอิสระ ไม่สามารถวางจุดหนักให้กับจีนมิตรแท้ตามธรรมชาติของไทยได้ เป็นต้น
ไทยต้องเข้าใจจิตวิทยาของอเมริกันในฐานะอภิมหาอำนาจใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่ทันสะเด็ดน้ำความคิดแบบแยกค่าย และสงครามเย็นกับปมเด่นของตน เพราะฉะนั้น ไทยจะต้องรู้จักวางตนไม่ “หงอ” อเมริกันไปเสียทุกเรื่อง
หากจำเป็น เราต้องกล้า “ตบกะโหลก” อเมริกันเสียบ้างเมื่อให้เขารู้สึกตัว หยุดแทรกแซงเรื่องภายในของเรา ไม่ฝักใฝ่เข้าข้างหรือพูดภาษาเดียวกับคนที่เราเห็นว่าไม่รักชาติและเป็นอันตรายต่อประเทศ อเมริกันต้องรู้จักเคารพอธิปไตยและความเป็นชาติเก่าแก่ของไทย แต่ไทยจะต้องเคารพตัวเองเสียก่อน
ลีลาการดำเนินนโยบายต่างประเทศของอเมริกันมักจะ “ลำเอียง ไร้เดียงสา และบ้าอำนาจ” อยู่เสมอๆ
ลำเอียงอย่างไร เช่น ชอบบังคับให้เราเลือกข้าง ถ้าใครไม่เลือกข้างอเมริกันก็แปลว่าคนนั้นเลือกข้างศัตรู อย่างที่ประธานาธิบดีหน้าโง่คนหนึ่งของอเมริกาสรุปเอาง่ายๆ
ส่วนไร้เดียงสานั้น นอกจากจะแปลว่า naïve แล้ว ยังแปลว่าจมอยู่ในปลักอวิชชา ขาด prudence หรือกุศโลบาย และไม่รู้ดีรู้ชั่ว enlightened เอาเสียเลย การคัดเลือกเพาะบ่มอาชีพกระทรวงต่างประเทศอเมริกันนั้น มักจะเลือกคนที่มีสติปัญญาระดับเฉลี่ยที่ว่านอนสอนง่าย ไม่เอาคนที่ฉลาดปราดเปรื่อง ส่วนคนนอกที่เอามาตั้งเป็นทูตก็เป็นการตอบแทนคนที่บริจาคเงินหาเสียงให้กับพรรคโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมที่แท้จริง
ทูตอเมริกันบ้านเราคนปัจจุบันนี้เป็นสายอาชีพ มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าสมัยเป็นทูตอยู่มนิลาเธอจุ้นจ้านมาก
คำว่า บ้าอำนาจนั้นเห็นจะไม่ต้องอธิบาย ใครอยากรู้ลึกซึ้งอาจจะไปอ่านหนังสือชื่อ The Arrogance of Power แต่งโดยวุฒิสมาชิกฟุลไบร์ท อดีตประธานกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาอเมริกันสมัยสงครามเวียดนาม
วันนี้ ผมอยากจะพูดเรื่องมารยาสาไถยของอเมริกันสักหน่อย มารยาสาไถยนี้ภาษาฝรั่งแปลว่า hypocrisy หากลองเปิดพจนานุกรมดู หมู่คำที่มีความหมายอย่างเดียวหรือใกล้เคียงกับ hypocrisy ก็คือ insincerity, double standards, pretense, duplicity และ twofacedness แปลเรียงลำดับว่า ขาดความจริงใจ สองมาตรฐาน หลอกลวง ยอกย้อนและตีสองหน้า เป็นต้น
Hypocricy ในวัฒนธรรมไทยเราก็มี การพูดอย่างทำอย่าง ปากไม่ตรงกับใจ ปากว่าตาขยิบ ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง นายว่าขี้ข้าพลอย อะไรทำนองนี้ เป็น hypocrisy อ่อนๆ เมื่อเทียบกับ American Hypocrisy ที่รวบเอาของเราไปหมด
American Hypocrisy ที่เกรียวกราวบ้านเราตอนนี้ ก็เช่นเรื่องที่นังคลินตันออกมาพูดว่ารัฐบาลอเมริกันสนับสนุนการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม (free and fair election) กับรัฐบาลพลเรือนเป็นความก้าวหน้าของประชาธิปไตยไทย (ดูhttp://iipdigital.usembassy. gov/st/english/texttrans/2011/11/20111 116154755su8.414203e-02.html #ixzz1h5T0bAzK) นัง หรือ ฯพณฯ เอกอัครราชทูตอเมริกันนัง Kristie Kenney (ดูhttp:// bangkok.usembassy.gov/081911_embassy_statement.html) ที่ออกมาวิจารณ์ ม. 112 และการจำคุกนายโจ กอร์ดอน และอากงว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรงและกระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นการประสานยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศเรียกเสียงเฮจากนักวิชาการฝ่ายแดงถ่อยได้กึกก้อง
น่าเสียดายที่ต่อมรับรู้ของคนไทยตื้น หลงและหงออเมริกันจนเกินเหตุ ไม่เข้าใจความสับปลับกลับกลอก จุดจ้านและอันตรายของอเมริกันดังตัวอย่าง
1. อเมริกันอ้างว่าตนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเต็มที่ตาม The First Amendment หรือมาตรา 1 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (ดูhttp://civilliberty.about.com/ od/firstamendment/tp/First-Amendment.htm) ที่ห้ามมิให้รัฐสภาออกกฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา และการแสดงความเห็นอันได้แก่เสรีภาพในการพูดเขียนโฆษณาและชุมนุม เป็นต้น แต่เสรีภาพในการพูดหรือเขียนนี้มีข้อยกเว้นไม่คุ้มครอง sedition หรือการทำลายความมั่นคงของรัฐ obscenity เรื่องลามกอนาจาร defamation ทำลายชื่อเสียง slander ใส่ร้ายป้ายสี libel พิมพ์ข้อความใส่ร้ายทำลายชื่อเสียง fighting words ดูหมิ่นซึ่งหน้า threat คุกคามความปลอดภัย ฯลฯ
การกระทำของขบวนการเสื้อแดงฮาร์ดคอร์และผู้นำพรรคเพื่อไทยหลายคนล้วนเข้าข่ายต้องโทษมิได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญอเมริกันทั้งสิ้น ที่ทูตอเมริกันมาร้องแรกแหกกระเชอมาตรา 112 และคดีนายโจ กอร์ดอน ผู้ต้องโทษ 2 ปีครึ่งฐานหมิ่นพระบรมฯ นั้นเป็น 2 มาตรฐานและมารยาสาไถยสุดยอดของอเมริกัน ซึ่งเพิ่งตัดสินจำคุก Johny Logan Spencer ไป 33 เดือนฐานเขียนกลอนชื่อ Sniper ซึ่งศาลตีความว่ามีข้อความขู่ประธานาธิบดีโอบามาทางอ้อม มิได้ระบุชื่อโอบามาแต่อย่างใด (ดู http://whitereference.blogspot. com/2010/02/johnny-logan-spencer-latest-thought.html)
อเมริกามีกฎหมายคุ้มครองประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และผู้ที่อยู่ในสายอำนาจตั้งแต่วันที่ได้รับเลือกแม้ยังมิได้เข้ารับตำแหน่ง (18 USC Sec. 871 ดhttp://www.law.cornell. edu/ uscode/usc_sec_18_00000871----000-.html และ Source: usgovinfo.about.com) ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครอง ตัวบุคคลในตำแหน่ง ต่างกับ ม. 112 ของเราซึ่งเป็นการคุ้มครองสถาบันและความมั่นคงของชาติ นอกจากนั้นอเมริกันยังมีกฎหมายคุ้มครองผู้มีตำแหน่งอื่นๆ อีกมากมายมิให้ตกเป็นเหยื่อไพร่ปากเปราะ ยุคโอบามามีคนถูกจำคุกระนาวมากกว่าคดีหมิ่นฯ ของเราเสียอีก
2. มีเอกสารหลักฐานว่าอเมริกันแทรกแซงการเลือกตั้งของไทย และกระทำการอันเป็นคุณต่อขบวนการสีแดง เช่น รับผู้ชุมนุมประท้วงเข้าในสถานทูต นัดพบหัวหน้าพรรคและประชาสัมพันธ์ สนับสนุนการเงินและการฝึกอบรมเว็บไซต์และการเคลื่อนไหวสีแดง เป็นต้น (ดู www.ndi.org/thailand)
3. รัฐบาลอเมริกันเกี่ยวข้องและสนับสนุนการโค่นล้มรัฐบาล ทั้งๆ ที่เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลอเมริกันกลับไปสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการและเผด็จการทหารที่เป็นสมุนตน และหลายครั้งก็สนับสนุนกองกำลังนอกกฎหมาย พวกกบฏ ใช้ซีไอเอ หรือแม้แต่ใช้กองทัพเข้ารุกรานอย่างโจ่งแจ้งเช่นกรณีปานามาและอิรัก เป็นต้น (http://en.wikipedia .org /wiki/ CovertUnited_States_foreign regime_change_actions)
รัฐบาลอเมริกันอาจอ้างว่าตนไม่มีส่วน แต่สนับสนุนและอ้างว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคลหรือหมู่คณะที่ปลุกปั่นจาบจ้วงพระมหากษัตริย์ไทย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้นำและคนไทยจะเลิกหงอ และเข้าใจความจุ้นจ้านวุ่นวายสับปลับกลับกลอกของอเมริกัน อันอาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติและสถาบันที่เรารัก