“สยามพิวรรธน์” ลั่น สินค้าต่างประเทศ ทั้ง อาหาร-แฟชั่น-ตกแต่งบ้าน รวมกว่า 100 แบรนด์ เตรียมยกทัพจ่อเข้ามาเปิดบริการในศูนย์การค้าในเครือ มั่นใจศักยภาพประเทศไทย
นางชฎาทิพย์ จูตระกูล ผู้บริหารสูงสุด บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์การค้า สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังมีโอกาสและศักยภาพในการเปิดศูนย์การค้าใหม่ๆได้อีกมาก เพราะยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ยังลงทุนได้ เช่น พื้นที่ย่านถนนศรีนครินทร์ หลังจากที่เราเปิดพาราไดซ์พาร์ค
ก็ทำให้มีหลายศูนย์เกิดใหม่ย่านนั้น หรือเลยออกไป รวมทั้งศูนย์เก่าก็ปรับตัวมากขึ้น เช่น ธัญญะชอปปิ้งพาร์ค เมกะบางนา ที่เปิดใหม่ หรือแม้แต่ซีคอนสแควร์ก็มีการรีโนเวตใหม่ ส่วนพาราไดซ์พาร์คจะขยายเฟสสองอีก บนพื้นที่ 8 ไร่ติดเฟสแรก เป็นอาคาร 3 หลัง ลงทุนกว่า 800 ล้านบาท
“เวลานี้เราต้องแปรสภาพให้เหมือนสิงคโปร์ เขามีถนนออร์ชาดเป็นแหล่งการค้าชอปปิ้ง มีแบรนด์ดังมากมาย เราก็น่าจะเป็นอย่างนั้นได้ อีกอย่างตอนนี้เศรษฐกิจที่ยุโรปและอเมริกาตกต่ำลง บรรดาธุรกิจอินเตอร์แบรนด์เนมก็ต้องเคลื่อนย้ายการลงทุนมาที่เอเชียมากขึ้น สังเกตได้จากช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีจำนวนมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่มุ่งไปที่ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ส่วนไทยเองช่วงหลังนี้ก็เริ่มมีสินค้าต่างประเทศขยายฐานเข้ามากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทต่างประเทศที่สนใจจะขยายตลาดเข้ามาเมืองไทย ในช่วง3ปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมมากกว่า 50 แบรนด์ สินค้าตกแต่งบ้าน 15 ราย รวมทั้งธุรกิจร้านอาหารมากกว่า 30 ราย เป็นต้น ทั้งจากยุโรป อเมริกา เอเชีย มีทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ รวมทั้งที่ยังไม่เคยเข้ามาเปิดธุรกิจในไทยและที่มีแล้วจะขยายเพิ่มอีก รวมแล้วกว่า 100 แบรนด์ แต่ละรายจะใช้พื้นที่ไม่ต่ำกว่า25 – 3,000 ตารางเมตร เช่น แบรนด์ PRADA ก็มีการขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเมืองไทยจะมีปัญหามากมายในช่วงหลัง ทั้งจากปัญหาการเมือง ภัยพิบัติธรรมชาติ แต่เหตุการณ์เหล่านี้มาแล้วก็ไป แต่เมืองไทยยังคงอยู่ เราลงทุนก็ยังหวังผลระยะยาว 5-8 ปีกว่าจะคืนทุนอยู่แล้ว
นางชฎาทิพย์ กล่าวต่อว่า ปีหน้าคาดว่ากำลังซื้อน่าจะยังดีอยู่ ส่วนสินค้าที่น่าจะเป็นที่ต้องการของตลาดมาก เช่น สินค้าซ่อมแซมบ้าน แต่ในฐานะที่เราเป็นค้าปลีกก็คงต้องทำการโปรโมตทุกกลุ่มสินค้าอยู่แล้วเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย และคาดว่าเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศจะเริ่มฟื้นคืนกลับมาในช่วงกลางปีหน้า จากในช่วงนี้จนถึงไตรมาสแรกปี2555 โดยทางบริษัทใช้งบจัดกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขายรวมกันเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนใช้งบรวมกันไม่ต่ำกว่า1,000 ล้านบาท รวมทุกศูนย์การค้าของบริษัทในย่านปทุมวัน
สำหรับผลประกอบการของบริษัทจากทั้ง 3 ศูนย์การค้า คือ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ คาดเติบโต 15-20% โตกว่าเป้าเดิมที่วางไว้ 12% ขณะที่ช่วง 10 เดือนแรกปีนี้มีผลประกอบการดี แม้จะเกิดปัญหาน้ำท่วมในช่วงปลายเดือนต.ค.-พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ยอดขายลดลง 4 สัปดาห์ แต่ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าได้คืนกลับมาตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. ขณะที่กลุ่มสินค้าหมวดซูเปอร์มาร์เก็ตมียอดขายลดลงเพราะช่วงน้ำท่วมมีการเติบโตสูงผิดปกติ
นางชฎาทิพย์ จูตระกูล ผู้บริหารสูงสุด บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์การค้า สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังมีโอกาสและศักยภาพในการเปิดศูนย์การค้าใหม่ๆได้อีกมาก เพราะยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ยังลงทุนได้ เช่น พื้นที่ย่านถนนศรีนครินทร์ หลังจากที่เราเปิดพาราไดซ์พาร์ค
ก็ทำให้มีหลายศูนย์เกิดใหม่ย่านนั้น หรือเลยออกไป รวมทั้งศูนย์เก่าก็ปรับตัวมากขึ้น เช่น ธัญญะชอปปิ้งพาร์ค เมกะบางนา ที่เปิดใหม่ หรือแม้แต่ซีคอนสแควร์ก็มีการรีโนเวตใหม่ ส่วนพาราไดซ์พาร์คจะขยายเฟสสองอีก บนพื้นที่ 8 ไร่ติดเฟสแรก เป็นอาคาร 3 หลัง ลงทุนกว่า 800 ล้านบาท
“เวลานี้เราต้องแปรสภาพให้เหมือนสิงคโปร์ เขามีถนนออร์ชาดเป็นแหล่งการค้าชอปปิ้ง มีแบรนด์ดังมากมาย เราก็น่าจะเป็นอย่างนั้นได้ อีกอย่างตอนนี้เศรษฐกิจที่ยุโรปและอเมริกาตกต่ำลง บรรดาธุรกิจอินเตอร์แบรนด์เนมก็ต้องเคลื่อนย้ายการลงทุนมาที่เอเชียมากขึ้น สังเกตได้จากช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีจำนวนมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่มุ่งไปที่ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ส่วนไทยเองช่วงหลังนี้ก็เริ่มมีสินค้าต่างประเทศขยายฐานเข้ามากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทต่างประเทศที่สนใจจะขยายตลาดเข้ามาเมืองไทย ในช่วง3ปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมมากกว่า 50 แบรนด์ สินค้าตกแต่งบ้าน 15 ราย รวมทั้งธุรกิจร้านอาหารมากกว่า 30 ราย เป็นต้น ทั้งจากยุโรป อเมริกา เอเชีย มีทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ รวมทั้งที่ยังไม่เคยเข้ามาเปิดธุรกิจในไทยและที่มีแล้วจะขยายเพิ่มอีก รวมแล้วกว่า 100 แบรนด์ แต่ละรายจะใช้พื้นที่ไม่ต่ำกว่า25 – 3,000 ตารางเมตร เช่น แบรนด์ PRADA ก็มีการขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเมืองไทยจะมีปัญหามากมายในช่วงหลัง ทั้งจากปัญหาการเมือง ภัยพิบัติธรรมชาติ แต่เหตุการณ์เหล่านี้มาแล้วก็ไป แต่เมืองไทยยังคงอยู่ เราลงทุนก็ยังหวังผลระยะยาว 5-8 ปีกว่าจะคืนทุนอยู่แล้ว
นางชฎาทิพย์ กล่าวต่อว่า ปีหน้าคาดว่ากำลังซื้อน่าจะยังดีอยู่ ส่วนสินค้าที่น่าจะเป็นที่ต้องการของตลาดมาก เช่น สินค้าซ่อมแซมบ้าน แต่ในฐานะที่เราเป็นค้าปลีกก็คงต้องทำการโปรโมตทุกกลุ่มสินค้าอยู่แล้วเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย และคาดว่าเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศจะเริ่มฟื้นคืนกลับมาในช่วงกลางปีหน้า จากในช่วงนี้จนถึงไตรมาสแรกปี2555 โดยทางบริษัทใช้งบจัดกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขายรวมกันเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนใช้งบรวมกันไม่ต่ำกว่า1,000 ล้านบาท รวมทุกศูนย์การค้าของบริษัทในย่านปทุมวัน
สำหรับผลประกอบการของบริษัทจากทั้ง 3 ศูนย์การค้า คือ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ คาดเติบโต 15-20% โตกว่าเป้าเดิมที่วางไว้ 12% ขณะที่ช่วง 10 เดือนแรกปีนี้มีผลประกอบการดี แม้จะเกิดปัญหาน้ำท่วมในช่วงปลายเดือนต.ค.-พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ยอดขายลดลง 4 สัปดาห์ แต่ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าได้คืนกลับมาตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. ขณะที่กลุ่มสินค้าหมวดซูเปอร์มาร์เก็ตมียอดขายลดลงเพราะช่วงน้ำท่วมมีการเติบโตสูงผิดปกติ