ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลายยังไม่ทันไร กิจกรรมทางการเมืองของคนเสื้อแดงตามที่เคยประกาศไว้ก็เริ่มขึ้นทันที โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองยังมีปัญหาต่อเนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยที่จะต้องติดตามแก้ไขอีกมากมายหลายเรื่อง
จุดยืนการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนเสื้อแดงนั้น นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้แถลงที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่า แม้ว่าสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายแล้ว แต่กิจกรรมทางการเมืองของคนเสื้อเพิ่งจะเริ่มต้น นั่นคือการไปให้กำลังใจนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงที่เพิ่งกลับมามอบตัว หลังจากหลบหนีคดีก่อการร้ายและคดีอาญาอื่นๆ อีกหลายคดีไปอยู่กัมพูชาเป็นเวลากว่าปีเศษ รวมทั้งการไปต้อนรับคนเสื้อแดงที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษและถูกปล่อยตัวในวันที่ 8 ธันวาคม หลังจากถูกจำคุกด้วยความผิดทางอาญาเนื่องจากก่อความรุนแรงระหว่างการชุมนุมเมื่อปี 2553
นอกจากนี้ก็จะเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวคนเสื้อแดงอีกหลายคนที่ถูกจับกุมด้วยคดีอาญาอันเกี่ยวเนื่องกับความมั่นคง ซึ่งคนเสื้อแดงพยายามชี้นำสังคมว่านี่คือคดีการเมือง อาทิ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตแกนนำ นปช.รุ่น 2 นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม นายอำพล ตั้งนพกุล หรือ อากง ซึ่งถูกจำคุกในคดีดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
นางธิดาได้ประกาศภาระหน้าที่ของคนเสื้อแดงที่จะต้องเดินหน้าให้บรรลุผลให้ได้ คือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 แล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดย นปช.จะร่วมร่างควบคู่ไปกับพรรคการเมืองในรัฐสภา ซึ่งในส่วนของคนเสื้อแดงจะยึดรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่เสนอโดยคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ(คปพร.) ที่มี นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยและสามีของนางธิดาเองเป็นตัวตั้งตัวตีร่างขึ้นมา จนได้ชื่อว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับหมอเหวง และข้อเสนอของอาจารย์กลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าคณะนิติราษฎร เป็นต้นแบบ ในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
นอกจากนี้ ภาระกิจของ นปช.ไม่ได้มีแค่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพียงอย่างเดียว แต่จะเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการแก้ไขกฎหมายอื่นที่ นปช.เห็นว่ามีปัญหา อาทิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท รวมไปถึง พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ที่นางธิดาประกาศว่าจะต้องศึกษาทำใหม่ด้วย โดยอ้างว่าเพื่อให้ประเทศนี้ก้าวไปสู่นิติรัฐ มีนิติธรรมอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความมุ่งมั่นที่ นปช.ต้องทำให้บรรลุให้ได้
เมื่อไล่เรียงประเด็นที่ นปช.จะเคลื่อนไหวตามที่นางธิดาประกาศไว้แต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่จะนำไปสู่ความขัดแย้งถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมืองได้ทั้งสิ้น
เริ่มจากการเคลื่อนไหวให้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมตามมาตรา 112 นั้น หากเกินเลยออกหน้าออกตาไปมากกว่านี้ ย่อมจะต้องปะทะกับประชาชนที่มีความจงรักภักดีอย่างแน่นอน
พฤติกรรมของนางธิดานั้นหมิ่นเหม่ตั้งแต่วันที่ไปต้อนรับคนเสื้อแดงที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ด้วยการนำเสื้อยืดสีแดงสกรีนข้อความ “เพื่อนนักโทษการเมืองไทย” ไปให้คนเสื้อแดงที่เพิ่งออกจากเรือนจำ สวมทับเสื้อยืดที่สกรีนข้อความ “ทรงพระเจริญ”ซึ่งทางเจ้าหน้าที่เรือนจำจัดเตรียมให้สวมใส่ร่วมพิธีปล่อยตัว เพื่อเดินหน้าแคมเปญการเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษตามมาตรา 112 โดยไม่เปิดโอกาสให้คนเสื้อแดงที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษได้แสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแม่แต่น้อย
ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น หากจะนำร่างฯ ฉบับหมอเหวงและแนวทางของกลุ่มนิติราษฎร์มาเป็นต้นแบบ จะนำไปสู่ความขัดแย้งเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน นั่นเพราะร่างฯ ฉบับหมอเหวง มีข้อสงสัยเรื่องการหมกเม็ดมาตราที่จะลดบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ และองคมนตรี ส่วนแนวทางของกลุ่มนิติราษฎร์ ก็มุ่งที่จะลบล้างผลพวงจากการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งจะเท่ากับเป็นการลบล้างความผิดและคดีความอันเนื่องมาจากการทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรทั้งหมด หากมีการเดินหน้าตามแนวทางนี้ ก็เท่ากับเป็นการปลุกให้มวลชนกลุ่มต่างๆ ที่เคยเคลื่อนไหวขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง โดยเฉพาะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศชัดเจนว่า จะออกมาชุมนุมทันทีหากมีการนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง
สำหรับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น แค่มีการเคลื่อนไหวของนักเขียนและนักวิชาการบางกลุ่มที่เข้าชื่อกันเรียกร้องให้มีการแก้ไข ก็มีกระแสต่อต้านดังขึ้นทั่วประเทศแล้ว หากมีการเสนอแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นผ่านคณะรัฐมนตรีหรือเสนอเข้าสู่สภาโดยตรง ย่อมจะก่อให้เกิดแรงต่อต้านหนักขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า
ส่วนการแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม เพื่อให้นักการเมืองเข้าไปลูกล้วงการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารได้นั้น ก็จะต้องฝ่าด่านกองทัพไปให้ได้ก่อน เพราะที่มาของการออก พ.ร.บ.นี้ ก็เพื่อป้องกันความปั่นป่วนวุ่นวายอันเนื่องมาจากการเข้าไปล้วงลูกการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารเพื่อพวกพ้องของนักการเมืองเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั่นเอง หากมีการแก้ไขกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหล่านายทหารระดับสูงจะยินยอมหรือไม่
สิ่งที่ต้องจับตาคือท่าทีของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะขานรับแนวทางของ นปช.แค่ไหนเพียงใด ซึ่งหากจะมองถึงเป้าหมายที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ คือการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ พี่ชายนายกฯ ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศให้กลับเข้ามาในประเทศโดยปราศจากความผิดแล้ว ก็ถือว่าแนวทางของคนเสื้อแดงกับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ล้วนประสานสอดคล้องกันเป็นอย่างดี
นั่นเพราะหากมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 ได้เป็นผลสำเร็จ ความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรก็จะถูกลบล้างไปด้วย หากมีการแก้ไข มาตรา 112 คนใกล้ชิดทักษิณที่ถูกจับกุมคุมขังในคดีนี้ก็จะได้รับการปล่อยตัวออกมาทำงานรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณเหมือนเดิม และ หากแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหมสำเร็จ พ.ต.ท.ทักษิณก็จะสามารถกลับเข้าไปควบคุมกองทัพได้อีกครั้ง
ยิ่งหากวิเคราะห์จากท่าทีของรัฐบาล ที่พยายามจะเอาผิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)ในคดีการตายของคนเสื้อแดงและผู้สื่อข่าวต่างประเทศระหว่างการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 แล้ว มองได้ว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์กำลังบีบให้นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามให้ยอมรับแนวทางการนิรโทษกรรมนั่นเอง และจะนำไปสู่ความขัดแย้งกับภาคประชาชนที่เคยต่อต้านระบอบทักษิณมาก่อน
การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงรอบนี้ หากรัฐบาลขานรับหรือปล่อยให้ดำเนินไปต่อเนื่องตามเป้าหมาย โดยไม่มีการปลดชนวน ก็จะนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองอีกครั้ง และจะเกิดความรุนแรงถึงขั้นสงครามกลางเมืองอย่างแน่นอน