**ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ กำลังเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญที่มีคนบางกลุ่มใช้ประโยชน์จากความทุกข์ทรมานของประชาชนในวิกฤตน้ำท่วม-เน่า อย่างชัดเจนยิ่ง
ที่ผ่านมาเราเห็นความคับแค้นทางอารมณ์ของประชาชนในหลากหลายพื้นที่ รวมตัวกันแสดงออกถึงความทรมาน ที่พวกเขาต้องทุกข์ทน ถูกทอดทิ้งให้จมน้ำ จนต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิความเป็นคนไทย ที่พึงได้รับการดูแลจากรัฐบาลไม่แตกต่างจาก นิคมอุตสาหกรรม สนามบินสุวรรณภูมิ หรือ กรุงเทพฯชั้นใน
แม้จะเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมาย ผู้คนในสังคมก็ยังให้ความเข้าใจว่า
**“ความห่วยแตก” จากการบริหารงานของรัฐบาล คือสาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้ประชาชนต้องใช้วิธีการผิดกฎหมาย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปรายสายตามาดูแลคนภายใต้การปกครองของตัวเองบ้าง
เพราะถ้ารัฐบาลภายใต้การนำของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะมีหัวใจรู้ร้อนรู้หนาว กับความทุกข์ยากของประชาชน ปัญหาเหล่านี้ย่อมไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองเพื่อขอให้ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประบสบอุทกภัย (ศปภ.) พิจารณาเรื่องการเปิดประตูระบายน้ำเพิ่มเติม หรือการรื้อบิ๊กแบ็กในหลายจุด
แต่เราจะเห็นได้ว่า ทุกจุดที่เป็นการเคลื่อนไหวจากความเดือดร้อนของประชาชนผู้บริสุทธิ์ จะไมมีเหตุการณ์บานปลาย ทุกอย่างจบลงได้ด้วยการเจรจา ด้วยเหตุและผล
มีเพียงสองกรณีที่มีลักษณะชัดเจนว่า การเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยว จนทำให้ระบบการระบายน้ำถูกควบคุมโดยกฎหมู่ ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม
เริ่มจากประตูระบายน้ำคลองสามวา ที่ ส.ส.เพื่อไทย ใช้มวลชนกดดันจน รัฐบาลปูแดง ยอมออกคำสั่งอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรให้ กทม.เปิดประตูระบายน้ำ 1 เมตร ตามข้อเรียกร้องของมวลชน ก่อนจะกลับลำ 360 องศา ในวันรุ่งขึ้น
**เมื่อผลกระทบอาจจะบานปลายถึงขั้นทำให้นิคมบางชันจมน้ำ จนแรงกดดันพุ่งไปที่ ปูนิ่ม-ยิ่งลักษณ์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นผู้ลงนามในคำสั่งดังกล่าว
จากบทเรียนคราวนั้น กลเกมการรักษาฐานเสียงผ่านการใช้ “กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย” จึงถูกปรับกลยุทธ์ใหม่ เมื่อชาวบ้านลำลูกกา ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย จมน้ำมาเป็นเวลานาน โดยที่ ศปภ. หรือ แม้แต่ นายกฯปู ผู้เป็นที่รักของพวกเขา ไม่เคยดูดำดูดี จนมีเสียงตะโกนผ่านไปถึงคนบนตึกไทยคู่ฟ้าว่า
**"เราผิดหวังในตัวคุณ"
เมื่ออารมณ์ประชานเริ่มเดือด นักการเมืองที่คำนึงแต่คะแนนเสียง ไม่ได้มีใจให้กับชาวบ้านอย่างแท้จริง จึงนั่งไม่ติด ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อเรียกคะแนนเสียงคืน
**ปฏิบัติการส่ง “โจกแดง” นำทีมเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ จึงเกิดขึ้นอย่างอหังการ์ยิ่ง
**ราวกับบ้านเมืองนี้ ไม่มีขื่อไม่มีแป
ส่วน ศปภ.“ศูนย์ปลอดภูมิปัญญา” ก็เลี่ยงความรับผิดชอบด้วยการไม่ออกคำสั่งให้ชัดเจนว่า ต้องการให้ กทม. ดำเนินการอย่างไร แถมเอาใจมวลชนด้วยการออกหนังสือขอความร่วมมือไปถึงกทม.แทน
บริหารบ้านเมืองแบบไร้ความรับผิดชอบ โยนภาระให้ กทม. เผชิญหน้ากับชาวบ้าน ส่วนตัวเองลอยตัวหนือน้ำเน่า พฤติกรรมเน่ายิ่งกว่าน้ำ
ที่สำคัญคือการขับเคลื่อนดังกล่าว กระทำในนามของคนเสื้อแดง โดยแกนหลักคือ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นข้าราชการการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
เป็นตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องได้รับการอนุมัติจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
เมื่อข้าราชการการเมืองในความดูแลของปูนิ่ม ลุกขึ้นมานำประชาชนทำผิดกฎหมายนึกจะปิด จะเปิดประตูระบายน้ำเท่าไหร่ ก็ทำโดยพลการ แถมยังอ้างคำสั่ง ศปภ.ด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่ในรัฐบาลแอบเป็นแบ็กให้ พ.ต.ต.เสงี่ยม จะรู้แผนล่วงหน้าของ ศปภ.ที่เตรียมจะเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ เป็น 1.5 เมตร ในอีกไม่กี่วันนี้ได้อย่างไร
แถมนำกำลังชาวบ้านใต้ธงแดง ไปเปิดประตูระบายน้ำก่อนแผนของ ศปภ. เสียอีก
**นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่เป็นภาพสะท้อนปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลปูนิ่ม จะต้องเผชิญ คือ รัฐบาลที่มาจากกฎหมู่ อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถใช้กฎหมายควบคุมกฎหมู่ได้
อนาธิปไตยจากวิกฤตน้ำจึงเกิดขึ้น ปูนิ่ม กลายเป็นผู้นำรัฐที่ล้มเหลว เพราะไม่เพียงแต่ไร้สมองแก้ปัญหาแล้ว ยังขาดความกล้าหาญที่จะตัดสินใจเพื่อส่วนรวมด้วย
การคิดในมุมรักษาฐานเสียงจากกรณีนี้ อาจกลายเป็นเรื่องเลวร้ายเกินกว่าที่ ปูนิ่ม จะคิดถึง เพราะมันหมายถึงว่าสถานการณ์กำลังบังคับให้ แดงปะทะแดง !
อย่าลืมว่า ลำลูกกา คือ แดง แต่สายไหม และบางเขน ที่จะได้รับผลกระทบจากพฤติกรรม ดิบ ถ่อย เถื่อนดังกล่าวก็คือ ฐานเสียงสีแดง เช่นกัน
แดงลำลูกกา ปะทะ แดงสายไหม จึงเป็นเรื่องที่มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่อยู่ ๆ พ.ต.ต.เสงี่ยม ก็หรี่ประตูระบายน้ำเหลือ 75 เซนติเมตร ต่ำกว่าเดิมที่เปิดอยู่ 1 เมตรเสียอีก โดยอ้างง่าย ๆว่า เห็นใจคนสายไหม
เป็นความเหลวแหลกในเชิงบริหารโดยแท้
เพราะการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ ที่ควรกำหนดแผนจาก ศปภ. กลับถูกโจกแดงเข้าควบคุมโดยที่ชายฉกรรจ์สวมเสื้อยืดสกรีนคำว่า "ตำรวจ" ไม่มีบทบาทใดๆ ในการรักษากฎหมาย
ความพยายามที่จะรักษาฐานเสียงมากกว่าความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง จะกลายเป็นดาบสองคม ที่ทำร้ายรัฐบาลชุดนี้ชนิดที่ ปูนิ่ม ต้องจำไปจนวันตาย
จำวันที่คนเสื้อแดงลุกขึ้นมาตะโกนขับไล่ ถือป้ายด่าด้วยหลากหลายข้อความ เช่น "คนไทยไม่ทิ้งกัน ปูบิ๊กแบ็กทิ้งเราได้ยังไง" หรือ "คนทำเป็นไม่ให้ทำ เอาคนโง่มาเป็นศปภ."
พัฒนาการทางอารมณ์ของมวลชน จะทวีความเดือดดาลมากขึ้น
จุดจบของรัฐบาลอาจมาเร็วกว่าที่คิด เพราะน้ำยังไม่ทันแห้ง คนไทยยังไม่พ้นทุกข์ รัฐบาลเพื่อแม้ว ก็เดินเกมท้าทายสังคมเตรียมผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
**หนาวนี้จึงยะเยือกกว่าที่คิด กองไฟที่ใครคิดจุดให้ไออุ่นกับพ่อแม้ว ที่ดูไบ จะกลายเป็นเปลวเพลิงเผาไหม้ตัวเองในที่สุด
ที่ผ่านมาเราเห็นความคับแค้นทางอารมณ์ของประชาชนในหลากหลายพื้นที่ รวมตัวกันแสดงออกถึงความทรมาน ที่พวกเขาต้องทุกข์ทน ถูกทอดทิ้งให้จมน้ำ จนต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิความเป็นคนไทย ที่พึงได้รับการดูแลจากรัฐบาลไม่แตกต่างจาก นิคมอุตสาหกรรม สนามบินสุวรรณภูมิ หรือ กรุงเทพฯชั้นใน
แม้จะเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมาย ผู้คนในสังคมก็ยังให้ความเข้าใจว่า
**“ความห่วยแตก” จากการบริหารงานของรัฐบาล คือสาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้ประชาชนต้องใช้วิธีการผิดกฎหมาย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปรายสายตามาดูแลคนภายใต้การปกครองของตัวเองบ้าง
เพราะถ้ารัฐบาลภายใต้การนำของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะมีหัวใจรู้ร้อนรู้หนาว กับความทุกข์ยากของประชาชน ปัญหาเหล่านี้ย่อมไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองเพื่อขอให้ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประบสบอุทกภัย (ศปภ.) พิจารณาเรื่องการเปิดประตูระบายน้ำเพิ่มเติม หรือการรื้อบิ๊กแบ็กในหลายจุด
แต่เราจะเห็นได้ว่า ทุกจุดที่เป็นการเคลื่อนไหวจากความเดือดร้อนของประชาชนผู้บริสุทธิ์ จะไมมีเหตุการณ์บานปลาย ทุกอย่างจบลงได้ด้วยการเจรจา ด้วยเหตุและผล
มีเพียงสองกรณีที่มีลักษณะชัดเจนว่า การเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยว จนทำให้ระบบการระบายน้ำถูกควบคุมโดยกฎหมู่ ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม
เริ่มจากประตูระบายน้ำคลองสามวา ที่ ส.ส.เพื่อไทย ใช้มวลชนกดดันจน รัฐบาลปูแดง ยอมออกคำสั่งอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรให้ กทม.เปิดประตูระบายน้ำ 1 เมตร ตามข้อเรียกร้องของมวลชน ก่อนจะกลับลำ 360 องศา ในวันรุ่งขึ้น
**เมื่อผลกระทบอาจจะบานปลายถึงขั้นทำให้นิคมบางชันจมน้ำ จนแรงกดดันพุ่งไปที่ ปูนิ่ม-ยิ่งลักษณ์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นผู้ลงนามในคำสั่งดังกล่าว
จากบทเรียนคราวนั้น กลเกมการรักษาฐานเสียงผ่านการใช้ “กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย” จึงถูกปรับกลยุทธ์ใหม่ เมื่อชาวบ้านลำลูกกา ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย จมน้ำมาเป็นเวลานาน โดยที่ ศปภ. หรือ แม้แต่ นายกฯปู ผู้เป็นที่รักของพวกเขา ไม่เคยดูดำดูดี จนมีเสียงตะโกนผ่านไปถึงคนบนตึกไทยคู่ฟ้าว่า
**"เราผิดหวังในตัวคุณ"
เมื่ออารมณ์ประชานเริ่มเดือด นักการเมืองที่คำนึงแต่คะแนนเสียง ไม่ได้มีใจให้กับชาวบ้านอย่างแท้จริง จึงนั่งไม่ติด ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อเรียกคะแนนเสียงคืน
**ปฏิบัติการส่ง “โจกแดง” นำทีมเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ จึงเกิดขึ้นอย่างอหังการ์ยิ่ง
**ราวกับบ้านเมืองนี้ ไม่มีขื่อไม่มีแป
ส่วน ศปภ.“ศูนย์ปลอดภูมิปัญญา” ก็เลี่ยงความรับผิดชอบด้วยการไม่ออกคำสั่งให้ชัดเจนว่า ต้องการให้ กทม. ดำเนินการอย่างไร แถมเอาใจมวลชนด้วยการออกหนังสือขอความร่วมมือไปถึงกทม.แทน
บริหารบ้านเมืองแบบไร้ความรับผิดชอบ โยนภาระให้ กทม. เผชิญหน้ากับชาวบ้าน ส่วนตัวเองลอยตัวหนือน้ำเน่า พฤติกรรมเน่ายิ่งกว่าน้ำ
ที่สำคัญคือการขับเคลื่อนดังกล่าว กระทำในนามของคนเสื้อแดง โดยแกนหลักคือ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นข้าราชการการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
เป็นตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องได้รับการอนุมัติจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
เมื่อข้าราชการการเมืองในความดูแลของปูนิ่ม ลุกขึ้นมานำประชาชนทำผิดกฎหมายนึกจะปิด จะเปิดประตูระบายน้ำเท่าไหร่ ก็ทำโดยพลการ แถมยังอ้างคำสั่ง ศปภ.ด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่ในรัฐบาลแอบเป็นแบ็กให้ พ.ต.ต.เสงี่ยม จะรู้แผนล่วงหน้าของ ศปภ.ที่เตรียมจะเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ เป็น 1.5 เมตร ในอีกไม่กี่วันนี้ได้อย่างไร
แถมนำกำลังชาวบ้านใต้ธงแดง ไปเปิดประตูระบายน้ำก่อนแผนของ ศปภ. เสียอีก
**นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่เป็นภาพสะท้อนปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลปูนิ่ม จะต้องเผชิญ คือ รัฐบาลที่มาจากกฎหมู่ อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถใช้กฎหมายควบคุมกฎหมู่ได้
อนาธิปไตยจากวิกฤตน้ำจึงเกิดขึ้น ปูนิ่ม กลายเป็นผู้นำรัฐที่ล้มเหลว เพราะไม่เพียงแต่ไร้สมองแก้ปัญหาแล้ว ยังขาดความกล้าหาญที่จะตัดสินใจเพื่อส่วนรวมด้วย
การคิดในมุมรักษาฐานเสียงจากกรณีนี้ อาจกลายเป็นเรื่องเลวร้ายเกินกว่าที่ ปูนิ่ม จะคิดถึง เพราะมันหมายถึงว่าสถานการณ์กำลังบังคับให้ แดงปะทะแดง !
อย่าลืมว่า ลำลูกกา คือ แดง แต่สายไหม และบางเขน ที่จะได้รับผลกระทบจากพฤติกรรม ดิบ ถ่อย เถื่อนดังกล่าวก็คือ ฐานเสียงสีแดง เช่นกัน
แดงลำลูกกา ปะทะ แดงสายไหม จึงเป็นเรื่องที่มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่อยู่ ๆ พ.ต.ต.เสงี่ยม ก็หรี่ประตูระบายน้ำเหลือ 75 เซนติเมตร ต่ำกว่าเดิมที่เปิดอยู่ 1 เมตรเสียอีก โดยอ้างง่าย ๆว่า เห็นใจคนสายไหม
เป็นความเหลวแหลกในเชิงบริหารโดยแท้
เพราะการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ ที่ควรกำหนดแผนจาก ศปภ. กลับถูกโจกแดงเข้าควบคุมโดยที่ชายฉกรรจ์สวมเสื้อยืดสกรีนคำว่า "ตำรวจ" ไม่มีบทบาทใดๆ ในการรักษากฎหมาย
ความพยายามที่จะรักษาฐานเสียงมากกว่าความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง จะกลายเป็นดาบสองคม ที่ทำร้ายรัฐบาลชุดนี้ชนิดที่ ปูนิ่ม ต้องจำไปจนวันตาย
จำวันที่คนเสื้อแดงลุกขึ้นมาตะโกนขับไล่ ถือป้ายด่าด้วยหลากหลายข้อความ เช่น "คนไทยไม่ทิ้งกัน ปูบิ๊กแบ็กทิ้งเราได้ยังไง" หรือ "คนทำเป็นไม่ให้ทำ เอาคนโง่มาเป็นศปภ."
พัฒนาการทางอารมณ์ของมวลชน จะทวีความเดือดดาลมากขึ้น
จุดจบของรัฐบาลอาจมาเร็วกว่าที่คิด เพราะน้ำยังไม่ทันแห้ง คนไทยยังไม่พ้นทุกข์ รัฐบาลเพื่อแม้ว ก็เดินเกมท้าทายสังคมเตรียมผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
**หนาวนี้จึงยะเยือกกว่าที่คิด กองไฟที่ใครคิดจุดให้ไออุ่นกับพ่อแม้ว ที่ดูไบ จะกลายเป็นเปลวเพลิงเผาไหม้ตัวเองในที่สุด