xs
xsm
sm
md
lg

วาทกรรมทางการเมือง “แผนขงเบ้งทดน้ำ”

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ สิริรัตนจิตต์

ในช่วงดึกนั่งดูโทรทัศน์ฟังการอภิปรายซักฟอกไม่ไว้วางใจ “รัฐมนตรีและ ส.ส. ภายใต้การนำของรัฐบาลนายกหญิงคนแรก” ด้วยความหวังว่า จะได้รับทราบ สติปัญญาและกึ๋น (แนวคิดหรือวิสัยทัศน์) การแก้ปัญหาของรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ระหว่างฟังการอภิปรายของคุณรังสิมา ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่มีวาทะฝีปากคมและเหน็บแบบเจ็บแสบ (จี้ใจดำ) รัฐมนตรีและ ส.ส.เพื่อไทยที่ถูกตั้ง “ข้อสงสัย” และ ถูกชี้ ว่า “มีนัยทุจริต” งบประมาณในการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ก็ได้เปลี่ยนช่องไปดู คุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน พูดถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยในพม่า โดยรัฐบาลทหารและอองซาน ซูจี จะเปลี่ยนบทบาทมาทำการเมืองแบบประชาธิปไตย ซึ่งแสดงให้เห็นวิวัฒนาการทางการเมืองในพม่า ที่จะขานรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

สำหรับเป็นคู่ค้าของมหาอำนาจอย่างอเมริกา รัสเซียและจีน ซึ่งมีท่าทีชัดเจน จะมาแบ่งเค้กทางเศรษฐกิจในอาเซียน ทำให้เข้าใจว่า สมาชิกร่วมอาเซียน ไม่ว่าจะหันไปทางทิศไหนรอบตัวเอง เช่น เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ ต่างเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศ ระบบการเมืองการปกครอง ค่อนข้างจะมีเสถียรภาพ “นิ่ง” พอที่จะพาประเทศไปนั่งบทเวทีโลก แม้กระทั่ง “ลาว” เพื่อนบ้านตอนบน ที่ตอนนี้ส่งเสริมการเรียน “ภาษาที่สอง” สำหรับเยาวชนรุ่นใหม่อย่างเข้มข้น จนตลาดติวเตอร์คึกคักไม่แพ้ตลาดสดแถวปากคลองตลาดที่มีผู้คนจับจ่ายซื้อดอกไม้

พอเลื่อนช่องโทรทัศน์กลับมาดูท่านรัฐมนตรียุติธรรม ตอบข้อซักฟอก กรณีทุจริตงบประมาณ ทั้งข้าวสารถุงยังชีพ ข้าวสุกในอาหารกล่อง ส้วมลอยน้ำ และสิ่งของช่วยเหลือน้ำท่วม ดูวิธีการที่ลำดับเนื้อหาและข้อมูลตามคลิปที่มีคุณอภิสิทธิ์ ไปประชุมวางแผนรับมือบริหารจัดการน้ำ ปี 2552-2553 ลงท้าย ด้วยบทสรุปที่นำเสนอข้อมูลว่า คุณอภิสิทธิ์ ใช้ “แผนขงเบ้งทดน้ำ” โดยจะจงใจหรือไม่ก็มิอาจทราบ เพื่อกักตุนน้ำ 2 เขื่อนใหญ่ไว้ท่วมในปี 2554 ขณะนี้ ทำให้รู้สึกแบบวัยรุ่น ว่า “จี๊ด” กับวิธีการแก้ต่าง แทนที่จะตอบคำถามถึงข้อพาดพิง ว่า อะไรกันแน่คือการทุจริตแต่กลับไปพูด เรื่องสาเหตุของน้ำท่วม ว่าเป็นเพราะการใช้ “แผนขงเบ้งทดน้ำ”

ผู้ฟังได้ยินการตอบคำถามดังกล่าว จากปากรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบบริหารจัดการความเสี่ยง เรื่องมหาอุทกภัยพิบัติรู้สึกอนาถใจ และเศร้าใจกับกึ๋นที่รับมือในการซักฟอกการตอบคำถามของฝ่ายตรงข้าม ทำให้ในใจพาลหดหู่และสงสารชะตากรรมของรัฐและประเทศชาติ ที่มีผู้บริหารเจ้ากระทรวงที่ใช้วิธีการข้างๆ คูๆ ถูๆ ไถๆ ตอบคำถามการอภิปรายแบบ “ไร้น้ำยา” มิหนำซ้ำยังรู้สึกเสียดายภาษีที่ตนจ่ายให้กับรัฐ เพื่อเป็นเงินเดือนแก่นักการเมืองที่ไม่ใช้สติปัญญาในการบริหารแถมยังใช้วิธีการบริหารประเทศแบบ “สมบัติผลัดกันชม” หรือ “ขอไปที” อย่างนี้ไม่แน่ใจว่า จะเดินหน้ากันต่อไปอย่างไร

ผลการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถึงแม้จะไม่ติดตามชม ก็เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่า คงไว้วางใจให้ทำงานต่อ เพราะอาศัย “พวกมาก ลากไป” นัยที่กล่าวถึงวาทกรรมทางการเมือง เรื่อง ขงเบ้งทดน้ำ ทั้งๆ ที่ผู้เขียนอ่านวรรณกรรมสามก๊กมามากแล้ว แต่มิเคยคาดคิดเลยว่า คุณอภิสิทธิ์จะเป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน สามารถทราบชะตาชีวิตของตน ที่ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งแล้วปล่อยน้ำมาท่วมเมือง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผู้เขียนคิดว่า คุณอภิสิทธิ์ (อดีตนายกฯ) น่าจะเป็นผู้บริหารโลกใบนี้มากกว่าจะเป็นนายกฯ ประเทศ

สงสาร “สติปัญญา” ของรัฐมนตรี และชะตากรรมของประเทศ ภายใต้การดูแลบริหารจัดการแบบแบ่งเค้กตามระบบโควตาที่ผู้นำสูงสุดบอกว่า จะใช้คนให้ถูกกับงาน ใช้คนที่มีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับและมีฝีมือในการบริหารงาน แม้การอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะบ่งบอกถึง “ความรับผิดและรับชอบ” เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ตามนิสัยของนักการเมืองไทย ที่มีให้เห็นถึงการโยนความผิดไปมาระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน สิ่งที่จะหนีความรับผิดชอบไม่ได้ทั้งสองฝ่าย คือ นักการเมืองกินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ต้องรับผิดชอบในความเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เปลี่ยนช่องไปฟังวาทกรรมของคุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ ที่กำลังขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน แต่วาทกรรมในรัฐสภาไทย น้ำลายนักการเมืองยังคงมีน้ำท่วมหนักและเน่าเหม็นมากกว่าน้ำท่วมข้างนอก ซึ่งนับได้ว่า เป็นมุสาวาท ผรุสวาท อันเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีสำหรับผู้ใหญ่ (นักการเมือง) ที่พยายามบอกเยาวชนว่า อย่าพูดหยาบ อย่าพูดโกหก มีการถ่ายทอดสดออกอากาศ และมีสั่งให้ถอนคำพูดอยู่เรื่อยๆ ในการอภิปรายตามที่ประธานสภาสั่ง

เมื่อนักการเมืองไทยยังใช้ปากที่เต็มไปด้วยน้ำลายที่แฝงด้วยเชื้อบาดทะยัก ในการทับถม ข่มเหง เยี่ยงสัตว์ขายชาติที่คอยเห่า กัดและงับกันเองอย่างเมามัน เพื่อผลประโยชน์อันใด มิอาจพรรณนาได้ แต่ทั้งหมดที่ทุกคนยืนยัน คือ ทำเพื่อชาติ ผู้เขียนก็จะยังเชื่อว่าวัฏจักรการเมืองไทย ยังคงมีแนวโน้ม “ตกต่ำ” และเลวร้ายไปข้างหน้า ซึ่งไม่แน่ใจว่า สุดท้ายใครจะรับผิดชอบความบอบช้ำของประเทศนี้ ที่มีประชาชนเป็นเครื่องมือสำหรับนักการเมือง ที่อ้างว่า อาศัยเสียงข้างมาก (ลากไป)
กำลังโหลดความคิดเห็น