xs
xsm
sm
md
lg

สื่อแดงจัญไร โบ้ยเขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์ทำน้ำท่วม "แม้ว"โพล่ทวีตอุ้มน้องสาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน-"บางกอกทูเดย์"สื่อเสื้อแดงฉวยโอกาส ตีข่าวโยนบาป “เขื่อนภูมิพล-เขื่อนสิริกิติ์” ต้นตอวิกฤตน้ำท่วม อ้างไม่มีการพร่องน้ำ อุ้ม "ยิ่งลักษณ์"สุดตัว กว่าจะถวายสัตย์น้ำในเขื่อนก็พุ่งสูงลิ้วแล้ว แถมเจอพายุเข้าอีก 3-4 ลูก "แม้ว"โผล่ทวีตหลังหายตัวไป 4 เดือน แก้ตัวแทนน้องอุทกภัยครั้งนี้หนัก ไม่วายโชว์ผลงานเก่า กำลังดันเมกะโปรเจ็กต์ดูแลน้ำ แต่ถูกปฎิวัติก่อน ส่วนทีวีแดงป้องรัฐบาลสุดลิ่ม คนกรุงโวยทั้งๆ ที่น้ำยังไม่ท่วมตาตุ่ม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (1 พ.ย.) หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ ตีพิมพ์เรื่องจากปกในหัวข้อ “2 เขื่อนยักษ์ ปริศนาลับ! กำจัดปู! บทพิสูจน์น้ำ “หมื่นล้านคิว” มาจากไหน? ใครวางยา?” โดยกล่าวว่า ปัจจัยที่ถือเป็นปัญหารุนแรงที่สุดของรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือ กลไกทุกกลไกของภาครัฐจะต้องประสานรวมกันเป็นหนึ่ง หากยังมีลักษณะต่างคนต่างพาย ยังอยากที่จะเป็นพระเอก คิดจะฉวยโอกาสทางการเมือง และยังมีพวกเสนอหน้าเข้ามาสร้างความวุ่นวาย อาจจะต้องมีรายการลงดาบเล่นงานกันอย่างจริงๆ จังๆ โดยไม่เลือกหน้าไม่เลือกพวกไม่เลือกสีได้แล้ว หากไม่ทำเช่นนั้นรัฐบาลเองที่จะสั่นคลอน

“เพราะในเวลานี้ ยังคงมีกลุ่มโซเชียล เน็ตเวิร์ก ที่จ้องด่าจ้องโจมตีรัฐบาลในทุกๆ เรื่องอยู่อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ส่งภาพส่งโพสต์สารพัดข้อกล่าวหาเข้าไปเล่นงานรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างต่อเนื่อง โดยไม่สนว่ามีประเด็นหรือไม่มีประเด็นก็ตาม ด่าเอาไว้ก่อน ตำหนิเอาไว้ก่อน กล่าวหาเอาไว้ก่อน... ซึ่งจนวันนี้รัฐบาลยังไม่สามารถที่จะแก้เกมหรือรับมือตรงนี้ได้เลย” รายงานระบุ

ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวยังอ้างด้วยว่า สำหรับประชาชนผู้ที่เดือดร้อนมีข้อสงสัยว่า น้ำจำนวนกว่า 1.1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรนั้น มาจากไหน ทั้งๆ ที่กระจายไปกว่า 30 จังหวัดแล้ว ยังคงมีมวลน้ำอยู่มากมาย ชนิดที่คนกรุงเทพฯ ยังไม่มั่นใจว่า หากปล่อยให้เข้ามาท่วมกรุงเทพฯ เพื่อช่วยประชาชนในต่างจังหวัดและปริมณฑลแล้ว จะสามารถลดทอนน้ำในที่ต่างๆ ได้แค่ไหน

“บางกอกทูเดย์ ไม่ได้ต้องการโทษความผิดให้ใคร แต่ต้องการให้ได้เรียนรู้จากความจริง และใช้เป็นบทเรียนไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพราะน้ำจำนวนมหาศาลเป็นหมื่นๆ ล้านลูกบาศก์เมตรในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการบริหารน้ำในเขื่อนสำคัญคือเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ นั่นเอง” รายงานระบุ

ในรายงานอ้างว่า ปกติเขื่อนภูมิพล จะต้องมีระดับความจุเก็บกักน้ำต่ำสุด คือ 3,800 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ความจุเก็บกักน้ำต่ำสุดคือ 2,850 ล้าน ลบ.ม.ซึ่งก็จะมีปริมาณน้ำที่แม้จะน้อยแต่ก็พอประคองสถานการณ์ภัยแล้งได้บ้าง แต่ในปีนี้การดูแลน้ำในเขื่อนทั้ง 2 เกิดความวิตกในเรื่องภัยแล้งมากจนเกินเหตุ ทำให้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ทั้งๆ ที่ระดับน้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ มีอยู่ที่ความจุ กว่า 6,000 ล้าน ลบ.ม. แล้ว แต่กลับไม่มีการพร่องน้ำเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ทำให้ในช่วงเดือน พฤษภาคม มิถุนายน จนถึงกรกฎาคม น้ำในเขื่อนถูกเก็บกักเอาไว้สูงขึ้นเรื่อย

ประกอบกับในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม มีการเลือกตั้ง ทำให้เกิดช่วงสุญญากาศทางการเมือง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาลรักษาการอยู่จนถึงต้นเดือนสิงหาคม ทำให้การดูแลระดับน้ำในเขื่อนอยู่ในการดูแลรับผิดชอบของกรมชลประทาน เนื่องจากกว่ารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ จะสามารถทำหน้าที่ได้ ก็เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม เวลาประมาณ 21.30 น.ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จากนั้นในวันที่ 10 ส.ค.นางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี จึงได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 14 รพ.ศิริราช

ซึ่งในวันที่ 13 สิงหาคม จะเห็นว่า เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ มีความจุน้ำพุ่งขึ้นไปถึง 8,400 ล้าน ลบ.ม.แล้ว ทำให้เมื่อเจอกับพายุเข้า 3-4 ลูกติดๆ กัน น้ำในเขื่อนใหญ่ทั้ง 2 จึงขยับขึ้นมาเต็มเขื่อนอย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำในเขื่อนสิริกิติ์แตะระดับ 9,500 ล้าน ลบ.ม.และเขื่อนภูมิพลแตะ 13,500 ล้าน ลบ.ม.ในต้นเดือนกันยายน จึงทำให้เขื่อนต้องเร่งระบายน้ำ และกลายเป็นมวลน้ำจำนวนมหึมาที่เกิดขึ้นในขณะนี้นั่นเอง และกลายเป็นโศกนาฏกรรมใหญ่ในครั้งนี้” รายงานระบุ

ในรายงานของบางกอกทูเดย์ กล่าวอีกว่า หน่วยงานที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำคอยบริหารจัดการเขื่อน แต่เพราะความกลัวภัยแล้ง จึงทำให้ไม่มีการพร่องน้ำเอาไว้เลย ทั้งๆ ที่หากเกิดภัยแล้งเชื่อว่าความเสียหายน่าจะมีเพียงในระดับพันล้าน หรือหมื่นล้านบาทเท่านั้น ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะเข้าไปช่วยชดเชยให้ความช่วยเหลือ แต่การเกิดอุทกภัยใหญ่ เพราะเขื่อนจำเป็นต้องปล่อยน้ำ จนเกิดน้ำท่วมใหญ่และเสียหายนับเป็นกว่า 5-6 แสนล้านบาทเช่นนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องมีการทบทวน

ทั้งนี้ จะต้องถือเป็นบทเรียนสำคัญ เพราะไม่ว่าอย่างไรหน่วยงานเกี่ยวกับเรื่องน้ำ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องน้ำควรจะต้องรู้ดีกว่าประชาชนทั่วไป ไม่ควรปล่อยให้เกิดการวางแผนผิดพลาดได้ขนาดนี้ เพราะน้ำหลากน้ำท่วมจากสูงลงสู่ต่ำไปสู่อ่าวไทย สำหรับประเทศไทยนั้น ถือเป็นเรื่องปกติที่มีมานาน ความผิดพลาดครั้งนี้จึงเป็นบทเรียนราคาแพงอย่างยิ่ง หากในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม มีการสั่งการให้กรมชลประทานพร่องน้ำเอาไว้ที่ระดับประมาณ 3,500-4,000 ล้าน ลบ.ม.ก็จะทำให้เขื่อนสามารถที่จะรับน้ำได้อีกถึงกว่า 5,000-6,000 ล้าน ลบ.ม.ได้อย่างสบายๆ ซึ่งปริมาณน้ำท่วมทุ่ง ก็จะไม่มากมายมหาศาลเท่ากับขณะนี้

ขณะเดียวกัน หากที่ผ่านมา กรมชลประทานมีการดูแลขุดลอกทรายในแม่น้ำ หรือให้สัมปทานดูดทรายขาย ถ้าดูดทรายขึ้นไปได้สักล้าน ลบ.ม.นั่นก็คือ การเพิ่มศักยภาพของแม่น้ำในการที่จะรองรับน้ำได้เพิ่มเป็นล้าน ลบ.ม.ด้วยเช่นกัน กรมชลประทานและบรรดาผู้เชี่ยวชาญในเรื่องน้ำของรัฐ จากวันนี้ไปจึงควรจะต้องคิดใหม่ทำใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาดเหมือนในครั้งนี้อีก รวมทั้งในการแก้ไขปัญหาในขณะนี้ รัฐบาล กองทัพ กรมชลประทาน พยายามรับมือกันสุดกำลัง ทาง กทม.และพรรคประชาธิปัตย์ จะต้องเลิกหวังชิงจังหวะทางการเมือง แต่ต้องหันมาเร่งระบายน้ำอย่างเต็มที่ เพราะคนที่เดือดร้อนคือประชาชน และเศรษฐกิจที่เสียหาคือเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ และประเทศชาติ

สำหรับหนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ มี นายเผด็จ ภูริปฏิภาณ เจ้าของนามปากกา “พญาไม้” ในหนังสือพิมพ์ข่าวสด เป็นผู้ดูแล และมี นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ เจ้าของโบนันซ่า รีสอร์ท เขาใหญ่ และ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นนายทุน ซึ่งที่ผ่านมามีจุดยืนสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดงมาโดยตลอด

***"แม้ว"โผล่แก้ตัวแทน"ยิ่งลักษณ์"

วานนี้ (1 พ.ย.) เมื่อเวลา 17.29-18.13 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี จากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นพี่ชายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้ทวิตข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ @Thaksinlive เกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัยในกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ภาคกลางของประเทศในขณะนี้ โดยระบุว่า อุทกภัยครั้งนี้ถือว่าเป็นอุทกภัยครั้งที่หนักหนาสาหัสที่สุด โดยตนเองแม้จะเดินทางตลอด แต่ก็ทำงานอยู่ห่างๆ และให้กำลังใจคนทำงาน โดยระบุว่า วิกฤตครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้มีการแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งอย่างถาวร

“สวัสดีครับ หายไปนานไม่ได้ทวิตมาเลย วันนี้ขออนุญาตส่งความห่วงใยมายังทุกท่านที่ประสบภัยน้ำท่วมทั้งทางตรงและทางอ้อม ความจริงผมแอบทำงานอยู่ห่างๆ ช่วงนี้ผมยังคงเดินทางเช่นเดิม แต่ก็ตรวจสอบข่าวคราวเหตุการณ์บ้านเมืองตลอดมีอะไรช่วยทำช่วยแนะนำก็ทำไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นอุทกภัยที่หนักที่สุด” พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุ และว่า “ผมได้ให้กำลังใจทุกคนไปว่าในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส วิกฤตคราวนี้ก็เป็นโอกาสที่จะทำให้คนไทยได้หันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาและฟื้นฟูประเทศ และจะเป็นโอกาสให้เราได้แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งถาวรเสียที เพราะเราเสียงบประมาณจำนวนมากแก้ปัญหาและเยียวยาแบบเฉพาะหน้าเฉพาะกิจครั้งแล้วครั้งเล่า

***อ้างถูกปฎิวัติเลยแก้ปัญหาน้ำไม่ทัน

จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อ้างถึงนโยบายของตัวเองในปี 2548 ซึ่งมีโครงการขนาดใหญ่ ที่ตอนนั้นเรียกติดปากกันว่า “เมกะโปรเจกต์” ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ชักชวนให้ชาวต่างชาติมาลงทุน และให้เกษตรกรผ่อนด้วยสินค้าเกษตรแทน ทว่าตอนนั้นกลับเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เสียก่อน

“ถ้าท่านจำกันได้ตอนปี 2548 ผมเคยมีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่เชิญต่างประเทศมาลงทุนให้ก่อนแล้วผ่อนเป็นสินค้าเกษตร ซึ่งมีเรื่องน้ำรวมอยู่ด้วยแต่ผมถูกปฏิวัติเสียก่อน เหตุการณ์ครั้งนี้เราเสียหายรวมกันทั้งภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐเฉพาะทางตรงน่าจะร่วมๆ สองแสนล้านบาท แต่ก็อยากให้สบายใจว่าหาเงินมาแก้ปัญหาได้” อดีตนายกฯ ผู้หลบหนีคำพิพากษาจำคุกระบุและกล่าวต่อถึงแนวทางการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประเทศด้วยว่า ผมได้คุยกับท่านนายกฯ และผู้รู้หลายท่านรวมทั้งรัฐบาลหลายประเทศถึงแนวทางการฟื้นฟูครั้งนี้ ว่า ควรจะทำกันอย่างไรจะช่วยกันได้อย่างไร ทำอย่างไรจะทำให้เขามั่นใจที่นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศจะไม่หนีจากเราเชื่อว่าท่านนายกฯ คงจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ ก่อนไปประชุมเอเปก เพราะต้องถูกถามและต้องไปบรรยายให้นักธุรกิจฟัง น้ำท่วมครั้งนี้ ถ้าเราไม่ช่วยกันกอบกู้ความน่าเชื่อประเทศกลับคืนมาอนาคตจะลำบากมาก เราต้องเร่งแก้สิ่งที่ทำความเสียหายแก่ประเทศกลับคืนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมือง การขาดหลักนิติธรรมในการบังคับใช้กฎหมายการแทรกแซงประชาธิปไตย

“แน่นอนครับเราต้องเร่งฟื้นฟูและเยียวยาทุกครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทั้งภาวะน้ำท่วมในครั้งนี้และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งที่ผ่านมา การฟื้นฟูครั้งนี้เป็นความท้าทายของคนไทยทั้งประเทศเพราะปัญหาใหญ่กว่า กินวงกว้างกว่าและยาวนานกว่าสึนามิที่ภาคใต้เราจึงต้องร่วมมือร่วมใจกันครับ”

***กลับมาทวีตครั้งแรกหลังหายไป4เดือน

สำหรับการทวิตครั้งนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความยาวทั้งสิ้น 12 ข้อความ และถือเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาใช้เครื่องมือสื่อเครือข่ายสังคมชนิดนี้ในการสื่อสารกับคนทั่วไปอีกครั้ง โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า เกิดขึ้นในช่วงที่ความนิยมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นน้องสาว และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กำลังตกต่ำสุดขีดจากความไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาอุทกภัยในกรุงเทพฯ และพื้นที่ภาคกลาง

นอกจากนี้ ยังเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า การทวิตครั้งนี้เกิดขึ้นในวันเดียวกันกับที่การประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีการหยิบยกโครงการฟื้นฟูประเทศที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “นิว ไทยแลนด์” ซึ่งมีการใช้งบประมาณกว่า 9 แสนล้านบาทขึ้นมาพูดถึง

ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทวิตระบุว่า ในปี 2548 ตนเคยเสนอโครงการขนาดใหญ่โดยเชิญต่างประเทศมาลงทุนแล้วให้คนไทยผ่อนเป็นสินค้าเกษตรซึ่งมีโครงการเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรน้ำรวมอยู่ด้วย ผู้สื่อข่าวตรวจสอบแล้ว พบว่า อาจจะเป็นโครงการกลุ่มเดียวกันกับที่ในปี 2551 ในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ กลับเข้ามาในประเทศไทยหลังเหตุการณ์รัฐประหาร และได้นำนักธุรกิจจากตะวันออกกลางไปดูที่นาที่ จ.สุพรรณบุรี คือ นายวาลิด อาเหม็ด จัฟฟาลี รองประธานบริษัท ซาอุดีซีเมนต์ บริษัทซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบีย และเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของกลุ่มบริษัท EA Juffali & Brothers กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมและพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบียและภูมิภาคตะวันออกกลาง เข้ามาลงทุนทำนา หรือเช่าที่ดินทำนา หรือการส่งข้าวออกขายต่างประเทศ โดยขณะนั้นได้มีการจัดตั้งบริษัทรวมใจชาวนาขึ้นมาเพื่อรองรับการเข้ามาลงทุนของนักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียด้วย

อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นโครงการเมกะโปรเจกต์ดังกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการ สื่อมวลชน และประชาชน ว่า เป็นนโยบายขายชาติ เนื่องจากเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาแย่งชิงการใช้ประโยชน์จากที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และการเกษตรซึ่งควรจะถูกสงวนไว้สำหรับคนไทยเท่านั้น ขณะที่ในความเป็นจริงชาวนาไทยเกือบครึ่งก็เป็นชาวนาที่ไร้ที่ดินอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นวิธีคิดที่เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามายึดครองภาคการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและอธิปไตยทางอาหารของประเทศอีกด้วย

***ทีวีแดงอัดคนกรุงด่ารัฐทั้งที่น้ำไม่ท่วม

อีกด้านหนึ่ง สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเชีย อัพเดท ซึ่งเป็นสื่อมวลชนในเครือข่ายกลุ่ม นปช.และพรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่รายงานพิเศษในหัวข้อ “หยุดกวนน้ำให้ขุ่นขวางรัฐบาลแก้อุทกภัย” โดย นายบูรพา เล็กล้วนงาม ซึ่งกล่าวว่า นอกจากปัญหาน้ำท่วมที่อ้างว่าได้รับการแก้ไขแล้ว การสร้างสถานการณ์ซ้ำเติมโดยคนบางกลุ่มยังเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาล โดยกล่าวโจมตีว่าคนบางกลุ่มนำประเด็นน้ำท่วม มาเป็นเครื่องมือลดความน่าเชื่อถือของ ศปภ.และรัฐบาล พร้อมกับระบุว่า โทรทัศน์ช่องต่างๆ มีการรายงานสถานการณ์น้ำเกินจริง ทั้งที่คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังไม่ถูกน้ำท่วมเลยแม้เพียงระดับตาตุ่ม
กำลังโหลดความคิดเห็น