ASTVผู้จัดการายวัน – สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เตรียมยื่นหนังสือต่อ คณะกรรมการค้าปลีกค้าส่ง วันที่ 27 ต.ค.นี้ แจงปัญหาจากน้ำท่วม ทั้งแรงงานที่เกี่ยวข้องกว่า 5 แสนราย ดีซีผู้ประกอบการเป็นอัมพาต รวมทั้งทบทวนขึ้นค่าแรง 300 บาทด้วย คาดปีนี้ภาพรวมค้าปลีกวืด 2% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 8%
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า จากวิกฤติการณ์ท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ส่งผลกระทบไปทั่ว ซึ่งอุตสาหกรรมค้าปลีกก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน ซึ่งทางสมาคมฯในฐานะตัวแทนของผู้ประกอบการค้าปีลก จะเข้ายื่นหนังสือต่อ คณะกรรมการค้าปลีกค้าส่งในวันที่27 ตุลาคมนี้ เพื่อชี้แจงข้อมูลถึงผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการค้าปลีกจากภาวะน้ำท่วมเพื่อนำเสนอผ่านยหอการค้าไทยที่จะมีการะปรรชุมร่วมรกันที่กระทรวงพาณิชย์
สำหรับเนื้อหาหลักที่จะร้องเรียนจะเน้นไปที่เรื่องของแรงงานในอุตสาหกรรมค้าปลีกที่มีทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมมากกว่า 5 แสนคน อีกทั้งเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนผู้ประกอบการสูงขึ้นอีกมากกว่า 40% และผลกระทบที่ศูนย์กระจายสินค้าหรือดีซีหลายแห่งของค้าปลีกหลายรายไม่สามารถดำเนินการได้เพราะน้ำท่วม เป็นต้น
โดยที่สมาคมฯเองก็จะมีการประเมินผลกระทบด้านแรงงานในรายละเอียดอีกครั้ง ใน 4 ประเด็นหลักคือ คือ 1.ผลกระทบจากการรปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็ 300 บาท ผลกระทบจากการปรับค่าแรงของพนักงานเงินเดือนปริญญาตรีขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือน ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงของพนักงานเอาท์ซอร์ส (การว่าจ้างงานจากภายนอกองค์กร) ผลกระทบจากการส่งเงินเข้าสมทบคนพิการตามที่กฎหมายกำหนด
เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมืองไทยครั้งนี้สร่ผบลกระทบอย่างใหญ่หลวงมากกว่าเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อปี เพราะครั้งนั้นรุนแรงในย่านราชประสงค์ แต่ว่าน้ำท่วมครั้งนี้เกิดขึน้ในหลายจังหวดัรุนแรงทั่วประเทศ และถ้าหากว่ายังยื้เยือ้อีกนนา ลุกลามท่วมข้าสู่กรุงเทพฯด้วยแล้ว ย่อมต้องกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ต้องลดลง 1-2% แน่นอน จากเดิมที่ตั้งเป้าจะเติบโต 7-8% ส่วนครึ่งปีแรกที่ผ่านมาก็ถือว่าเติบโตได้ดีถึง 12%
นายฉัตรชัยกล่าวด้วยว่า ปัญหาน้ำท่วมนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของงผู้บริโภคอย่างแน่นอน และถ้าหากยังแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้ยืดเยื้อต่อไปอีกอาจจะกระทบถึงต้นปีหน้าด้วย ทั้งๆที่ไตรมาสสี่นี้เป็นหน้าขายหรือไฮซีซั่นส์ด้วย เมื่อมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ต้องกระทบแน่นอน รัฐบาลควรจะต้องเร่งรีบออกมาตรการมาช่วยเหลือผู้บริโภคที่ถูกน้ำท่วมโดยเร็ว พื่อกระตุ้นให้สถานการณ์ดีขึ้นเกิดการจับจ่ายหลังจากที่น้ำลดลง
ส่วนในแง่ของผู้ประกอบการนั้นก็ควรจะหามาตรการเร่งเด่วนเออกมาช่วยเหลือเช่นกัน ทั้งผู้ประกอบการที่อยู่ในนิคอุตสาหกรรมและที่ไม่ได้อยบู่แต่ก็ได้รับผลกระทบด้วย ไม่ว่าจะเป็นการออกเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึง่จะทำให้สามารถกลังบมาลงทุนเกิดการผลิตเร็วขึ้น และมีสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาดได้เหมือนเดิมให้เร็วที่สุด เพราะว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศหรือจีดีพี เกิดจากการจับจ่ายของผู้บริโภค 50% ภาคการผลิต 22% ภาคการลงทุน 18% และการใช้จ่ายของภาครัฐ 10% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการจับจ่ายของผู้บริโภคเป็นตัวหลักในการผลักดันให้จีดีพีเติบโต
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า จากวิกฤติการณ์ท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ส่งผลกระทบไปทั่ว ซึ่งอุตสาหกรรมค้าปลีกก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน ซึ่งทางสมาคมฯในฐานะตัวแทนของผู้ประกอบการค้าปีลก จะเข้ายื่นหนังสือต่อ คณะกรรมการค้าปลีกค้าส่งในวันที่27 ตุลาคมนี้ เพื่อชี้แจงข้อมูลถึงผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการค้าปลีกจากภาวะน้ำท่วมเพื่อนำเสนอผ่านยหอการค้าไทยที่จะมีการะปรรชุมร่วมรกันที่กระทรวงพาณิชย์
สำหรับเนื้อหาหลักที่จะร้องเรียนจะเน้นไปที่เรื่องของแรงงานในอุตสาหกรรมค้าปลีกที่มีทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมมากกว่า 5 แสนคน อีกทั้งเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนผู้ประกอบการสูงขึ้นอีกมากกว่า 40% และผลกระทบที่ศูนย์กระจายสินค้าหรือดีซีหลายแห่งของค้าปลีกหลายรายไม่สามารถดำเนินการได้เพราะน้ำท่วม เป็นต้น
โดยที่สมาคมฯเองก็จะมีการประเมินผลกระทบด้านแรงงานในรายละเอียดอีกครั้ง ใน 4 ประเด็นหลักคือ คือ 1.ผลกระทบจากการรปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็ 300 บาท ผลกระทบจากการปรับค่าแรงของพนักงานเงินเดือนปริญญาตรีขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือน ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงของพนักงานเอาท์ซอร์ส (การว่าจ้างงานจากภายนอกองค์กร) ผลกระทบจากการส่งเงินเข้าสมทบคนพิการตามที่กฎหมายกำหนด
เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมืองไทยครั้งนี้สร่ผบลกระทบอย่างใหญ่หลวงมากกว่าเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อปี เพราะครั้งนั้นรุนแรงในย่านราชประสงค์ แต่ว่าน้ำท่วมครั้งนี้เกิดขึน้ในหลายจังหวดัรุนแรงทั่วประเทศ และถ้าหากว่ายังยื้เยือ้อีกนนา ลุกลามท่วมข้าสู่กรุงเทพฯด้วยแล้ว ย่อมต้องกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ต้องลดลง 1-2% แน่นอน จากเดิมที่ตั้งเป้าจะเติบโต 7-8% ส่วนครึ่งปีแรกที่ผ่านมาก็ถือว่าเติบโตได้ดีถึง 12%
นายฉัตรชัยกล่าวด้วยว่า ปัญหาน้ำท่วมนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของงผู้บริโภคอย่างแน่นอน และถ้าหากยังแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้ยืดเยื้อต่อไปอีกอาจจะกระทบถึงต้นปีหน้าด้วย ทั้งๆที่ไตรมาสสี่นี้เป็นหน้าขายหรือไฮซีซั่นส์ด้วย เมื่อมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ต้องกระทบแน่นอน รัฐบาลควรจะต้องเร่งรีบออกมาตรการมาช่วยเหลือผู้บริโภคที่ถูกน้ำท่วมโดยเร็ว พื่อกระตุ้นให้สถานการณ์ดีขึ้นเกิดการจับจ่ายหลังจากที่น้ำลดลง
ส่วนในแง่ของผู้ประกอบการนั้นก็ควรจะหามาตรการเร่งเด่วนเออกมาช่วยเหลือเช่นกัน ทั้งผู้ประกอบการที่อยู่ในนิคอุตสาหกรรมและที่ไม่ได้อยบู่แต่ก็ได้รับผลกระทบด้วย ไม่ว่าจะเป็นการออกเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึง่จะทำให้สามารถกลังบมาลงทุนเกิดการผลิตเร็วขึ้น และมีสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาดได้เหมือนเดิมให้เร็วที่สุด เพราะว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศหรือจีดีพี เกิดจากการจับจ่ายของผู้บริโภค 50% ภาคการผลิต 22% ภาคการลงทุน 18% และการใช้จ่ายของภาครัฐ 10% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการจับจ่ายของผู้บริโภคเป็นตัวหลักในการผลักดันให้จีดีพีเติบโต