xs
xsm
sm
md
lg

ขอคารวะน้ำตา...ที่มากับน้ำท่วมในครั้งนี้

เผยแพร่:   โดย: บรรจง นะแส


ภาพของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และนายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผวจ.ปทุมธานีที่ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ ในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา โดยส่วนตัวแล้วเมื่อภาพดังกล่าวผ่านเข้ามาในความรู้สึก ผมรู้สึกเคารพในความรู้สึกของพวกท่านและขอคารวะหยาดน้ำตาของพวกท่านด้วยความจริงใจ เพราะผมเชื่อว่ามันเป็นหยาดน้ำตาที่หลั่งออกมาด้วยความรู้สึกร่วม ที่มองเห็นสภาพปัญหาของเพื่อนมนุษย์ที่รุมล้อมอยู่เบื้องหน้า และจนปัญญาที่จะแก้ไขมัน น้ำตาจึงเป็นสัญลักษณ์เดียวที่จะสื่อออกมาได้ว่า สภาพปัญหามันเกินกำลัง เกินอำนาจใดๆ ที่จะช่วยได้

โดยทั่วไปคนเรามักถือว่าน้ำตาเป็นเครื่องหมายของความอ่อนแอ อันเกิดจากความรู้สึกพ่ายแพ้ผิดหวัง สิ้นหวัง เป็นความทุกข์ความเศร้าที่ไม่อยากพบ ไม่อยากได้เห็น จึงไม่มีใครอยากจะคิดถึง รวมทั้งไม่อยากหาคำตอบใดๆ เกี่ยวกับน้ำตาหรือการร้องไห้ บางคนกล่าวว่า “น้ำตา คือจุดเริ่มต้นของความเข้มแข็ง”  ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ายามที่ทุกอย่างเหมือนจะรุมเร้าเข้ามา ความสับสนที่พุ่งตรงเข้ามากระแทกความรู้สึก หลากหลายความทุกข์ ท้อแท้ สิ้นหวัง หรือการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่เกินจะต้านทาน ทุกสิ่งที่เราต้องเผชิญหน้าถาโถมกระหน่ำซัดเข้าหา วินาทีที่หันไปทางไหนก็ดูเหมือนจะมืดมน หาทางออกไม่เจอ สิ่งเดียวที่เราหลายๆ คนทำได้ในยามนั้นคือ การหลั่งน้ำตา...

น้ำตาที่หลั่งมันจะช่วยเอาความอ่อนแอออกไปจากหัวใจ ร้องไห้ไปเถอะ ฯพณฯ ถ้าท่านอยากร้องไห้ ไม่ต้องรู้สึกละอายแก่ผู้ใดหรอก ผมคนหนึ่งที่รู้สึกเห็นใจและชื่นชมการหลั่งน้ำตาของพวกท่าน อันเกิดจากการสัมผัสกับการประสบภัยพิบัติของพี่น้องในครั้งนี้ เพราะน้ำตา...จะช่วยชำระล้างความหดหู่ที่สะสมจนหนักอึ้ง น้ำตา... จะช่วยระบายความทุกข์ทรมานออกไปจากความรู้สึก น้ำตา...จะช่วยปลดปล่อยพันธนาการแห่งความเศร้าออกไปจากหัวใจ แม้น้ำตาจะไม่ได้ช่วยให้น้ำที่กำลังเอ่อท่วมพี่น้องให้ลดระดับลงได้ก็เถอะ...

น้ำตาไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอเสมอไป คนที่ร้องไห้จึงไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็น “คนอ่อนแอ” เพราะหลังจากการร้องไห้บางครั้งจะทำให้จิตใจใสเหมือนฟ้าหลังฝน หลังร้องไห้หวังเอาไว้ว่าจิตใจของพวกท่านจะเข้มแข็งอดทนและกรำงานหนักที่จะตามมาหลังน้ำลด มีการบันทึกเอาไว้ว่า “พระเยซูทรงกันแสงที่อุโมงค์ฝังศพของลาซารัส สหายของพระองค์ (ยน.11:35) และทรงกันแสงกับเรา (ยน.11:33) พระทัยของพระองค์ก็แตกสลายเช่นกัน น้ำตาของเรานำมาซึ่งความรักมั่นคงและการปลอบประโลมจากพระเจ้า พระองค์ทรงทราบถึงค่ำคืนที่เราไม่อาจข่มตาหลับ พระทัยของพระองค์ร้าวรานเมื่อเราต้องทนทุกข์

พระองค์ทรงเป็น “พระเจ้าแห่งความชูใจทุกอย่าง พระองค์ผู้ทรงชูใจเราในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา” (2 คร.1:3-4) และทรงให้คนของพระองค์ปลอบโยนซึ่งกันและกัน” หวังเอาไว้เพียงว่าการหลั่งน้ำตาและการโอบกอดปลอบประโลมซึ่งกันและกันของ ฯพณฯ นั้น จะต้องกระทำต่อผู้ทุกข์ยากทุกชนชั้น ทุกหมู่เหล่า ไม่ใช่เฉพาะเจ้าของทุน เจ้าของกิจการ หรือเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น...

มีผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจได้ประเมินความเสียหายอันเกิดจากภัยพิบัติในครั้งนี้ไว้ 3 ประการคือ

1. ความเสียหายที่เกิดจากการสูญเสียในทรัพย์สินสำหรับความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งนี้ เช่น ผลผลิตภาคการเกษตรที่ถูกท่วมเสียหาย ไร่นาเรือกสวนต่างๆ และสัตว์เลี้ยงจำนวนมาก เขตธุรกิจในเมืองใหญ่น้อย บ้านเรือนที่ถูกน้ำพัดพาหายไป เขื่อนกั้นน้ำพังทลาย กำแพงดินทรายที่ช่วยกันสร้างขึ้นมาก็ไม่สามารถต้านความแรงของกระแสน้ำได้ ทรัพย์สินที่ถูกน้ำท่วมเสียหายเพราะโยกย้ายไม่ทัน แม้แต่นิคมอุตสาหกรรมสำคัญๆ ก็ถูกท่วม ถ้าจะลองประเมินมูลค่าเสียหายด้วยสายตาและที่เห็นใน ทีวี หนังสือพิมพ์ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 200,000 – 300,000 ล้านบาท หรือประมาณ 2-3% (nominal) ของ GDP

2. ความเสียหายเชิงจิตใจ เป็นความเสียหายที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ผู้เสียหายจำนวนมากต่างต้องเสียน้ำตาเพราะหมดตัว ผู้เฒ่าหลายๆ ท่านอยู่บ้านคนเดียวเนื่องจากลูกหลานไปทำงานต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง บางคนไม่ยอมทิ้งบ้านเพราะเกรงทรัพย์สินถูกโจรกรรม จากสภาพน้ำท่วมขังทำให้ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ ไม่สามารถแม้แต่จะทำกิจส่วนตัว ถูกสายน้ำล้อมรอบทำให้ขาดแคลนอาหารการกิน ส่งผลให้เกิดการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง

3. ความเสียหายจากการเสียโอกาสการส่งออก จากการประเมินเบื้องต้น ความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ และนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค อาจต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการซ่อมแซมความเสียหายทั้งหมด ทำให้ต้องหยุดผลิตสินค้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งอาจทำให้การส่งออกของไทยเสียหายประมาณ 2 เดือน ถ้าจะประเมินความเสียหายน่าจะประมาณ 10% ของการส่งออกในไตรมาสสุดท้ายของปี เป็นมูลค่าประมาณ 120,000-150,000 ล้านบาท หรือประมาณ 0.3-0.4% ของ GDP

จากความเสียหายของบรรดานิคมอุตสาหกรรม ยังอาจส่งผลต่อการว่างงานของคนงานเป็นจำนวนประมาณ มากกว่า 200,000 คน เป็นเวลา 2 เดือนหรืออาจมากกว่านั้น นี่คือสภาพปัญหาที่สังคมไทยจะต้องร่วมกันรับรู้และหาทางออกร่วมกันหลังน้ำลด ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ดังกล่าวด้วยน้ำตา...

อย่างไรก็แล้วแต่ ภาพที่ท่านรองนายกฯ ร่ำไห้สวมกอดปลอบขวัญนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม และผู้บริหารนิคมฯ ไฮเทค สำหรับผมแล้วมันเป็นภาพที่ประทับใจและควรแก่การให้กำลังใจ กำลังคิดไปถึงว่าหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ยืนสวมกอดชาวนาที่ท้องทุ่งเต็มไปด้วยน้ำ ใต้ผืนน้ำที่เวิ้งว้างคือรวงข้าวที่รอการเก็บเกี่ยว ภาพจะออกมาประทับใจขนาดไหน แต่สังคมไทยก็ไม่เคยพบเห็นภาพเหล่านั้น เราเคยชินกับภาพชาวนา ชาวไร่ ยืนหลั่งน้ำตาแทบเป็นสายเลือดโดยลำพังและต้องโดดเดี่ยวในทุกสถานการณ์ของความทุกข์ที่วนเวียนมาในทุกฤดูกาล
กำลังโหลดความคิดเห็น