นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการกฏหมายยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงกรณี นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มนปช.ในขณะนี้ว่า นายอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ และกำลังถูกข้อกล่าวหากระทำผิดกฏหมายไทย โดยที่ได้ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 54 ใน 2 ข้อหา คือ กระทำความผิดในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ของประมวลกฏหมายอาญา และถูกแจ้งข้อหาดูหมิ่นศาลสถิตยุติธรรม ตามมาตรา 198 ตามประมวลกฏหมายอาญา ซึ่งในขณะนี้อยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน จะต้องรวบรวมพยานหลักฐาน และแจ้งข้อกล่าวหาต่อนายอัมสเตอร์ดัม เมื่อขณะนี้ได้ปรากฏชัดว่าผู้ถูกกล่าวหา ได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ จะต้องเรียกตัวมาสอบสวนในข้อเท็จจริง และถ้ามีพยานหลักฐานปรากฏชัดว่ามีมูลพอที่จะตั้งข้อกล่าวหาได้ ก็ควรที่จะเรียกนายอัมสเตอร์ดัม มารับทราบข้อกล่าวหาตามขั้นตอนของกฏหมาย
ทั้งนี้ หากจะพิจารณาตั้งแต่วันที่แจ้งข้อกล่าวหาจนถึงขณะนี้ เป็นระยะเวลาเกือบ 10 เดือน ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆทั้งสิ้น จึงอยากจะเรียกร้องให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรที่จะสั่งการเร่งรัดคดีไปยัง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ รักษาการ ผบ.ตร. ให้รีบดำเนินการทางกฏหมายต่อนายอัมสเตอร์ดัม ในทันที ไม่ควรที่จะปล่อยให้ผู้ถูกกล่าวหาและเคลื่อนไหวทางการเมือง สร้างความแตกแยกในบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม หากผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ปล่อยปละละเลย จนทำให้นายอัมสเตอณืดัม เดินทางออกนอกประทศไทย โดยไม่มีความคืบหน้าในคดี ก็จะมีความผิดฐานะละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
** อ้างปลดล็อก"อัมสเตอร์ดัม"แล้ว
ด้านร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้จับตัวนายอัมเตอร์ดัม เพราะมีหมายจับในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตร 112 ว่า ตนตรวจสอบแล้วทราบว่า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 53 ศอฉ. มีหนังสือถึงผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) บอกว่า นายอัมสเตอร์ดัม เป็นภัยต่อสังคม และเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร ห้ามเข้าในราชอาณาจักรไทย ซึ่ง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ก็ขึ้นชื่อไว้ ว่าไม่ให้เดินทางเข้า
ต่อมาวันที่ 8 ก.ค.54 ก็มีคนเข้ามาร้องที่สำนักนายกรัฐมนตรี ว่าให้ปลดเงื่อนไขนี้ออกไป สำนักยากฯก็ส่งเรื่องไปยังตม. และได้มีการตั้งคณะกรรมการเข้ามาอีกชุดหนึ่ง พิจารณาทบทวน สุดท้ายแล้วเมื่อวันที่14 ก.ย. ที่ผ่านมา สตม.ได้ขออนุญาตให้ยกเลิก และให้นายอัมสเตอร์ดัม สามารถเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยได้ เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มองว่า นายอัมสเตอร์ดัม เป็นภัยต่องสังคมหรือความมั่นคง
**อ้างผลสอบ DSI ไม่เกี่ยวสถาบันฯ
ต่อมา เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา นายอัมสเตอร์ดัม ก็เดินทางเข้าประเทศไทยโดยถือพาสสปอร์ตของประเทศแคนนาดา เพราะเป็นคน 2 สัญชาติ ( เอมริกัน-แคนนาดา ) ซึ่งแคนนาดากับประเทศไทย มีข้อตกลงว่า การเดินทางเข้ามาโดยไม่ต้องทำวีซ่า ก็สามารถอยู่ได้ 30 วัน ดังนั้นก็ถือว่านายอัมสเตอร์ดัม เดินทางเข้าไทย ถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวหาว่า รัฐบาลจะละเว้นหรือไม่ ที่ให้นายอัมสเตอร์ดัม เข้ามาแล้วไม่จับกุม จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา มีคนไปร้องทุกข์กล่าวโทษ นายอัมสเตอร์ดัม ที่กองบังคับการกองปราบปราม ซึ่งได้สอบปากคำผู้ร้องทุกข์เบื้องต้น มีความเห็นว่า คดีนี้น่าจะเข้าข่ายคดีพิเศษ ที่ 101/2553 ซึ่งเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรฯ ด้วยการล่วงละเมิดต่อสถาบันฯ หรือที่เรียกกันว่า “คดีล้มเจ้า” จึงส่งเรื่องไปที่กรมสอบสวนคดรพิเศษ (ดีเอสไอ) และมีการตรวจสอบอยู่ระดับหนึ่ง และมีผลสอบเบื้องต้นเมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องสถาบันฯ จึงส่งเรื่องกลับมาที่กองปราบฯ
ดังนั้น เรื่องนี้ยังไม่มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหา ไม่มีการออกหมายจับ ส่วนนายอัมสเตอร์ดัม จะผิดหรือถูก ตนไม่ทราบ
" ถ้าการสอบสวนเป็นความผิด ก็ต้องออกหมายจับ ก่อนออกหมายจับก็ต้องดูโทษ ถ้าโทษไม่เกิน 3 ปี ก็ออกหมายจับไม่ได้ ก็ออกหมายเรียกแทน แต่ถ้าโทษเกิน 3 ปี ออกหมายจับได้ หรือกรณีผู้ต้องหามีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ก็ไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียก เพราะรู้จะไปเรียกที่ไหน สรุปคือ ถ้าหากว่ามีหลักฐาน ตำรวจก็ต้องออกหมายจับ ถ้าสอบสวนแล้วไม่พบว่ามีพยานหลักฐานว่ากระทำความผิด ตำรวจก็อาจทำสำนวนสั่งไม่ฟ้อง โดยไม่มีตัวผู้ต้องหาก็ได้ ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่ง"
เมื่อถามว่า ส่วนนี้ตำรวจจะดำเนินการอย่างไรต่อ เพราะอาจถูกมองว่าประวิงเวลา รองนายกฯ กล่าวว่า ตนได้สั่งให้ดำเนินการเต็มที่ และตนไม่สามารถแทรกแซงได้ เพราะเป็นการผิดกฎหมาย
" การจับบุคคลใดได้ คือ 1.ต้องมีการออกหมายจับ และ 2. คนๆนั้นต้องกระทำความผิดซึ่งหน้า ซึ่งขณะนี้เรื่องนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของกองปราบปรามฯ ซึ่งดำเนินการต่อตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมา" รองนายกฯ กล่าว
ทั้งนี้ หากจะพิจารณาตั้งแต่วันที่แจ้งข้อกล่าวหาจนถึงขณะนี้ เป็นระยะเวลาเกือบ 10 เดือน ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆทั้งสิ้น จึงอยากจะเรียกร้องให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรที่จะสั่งการเร่งรัดคดีไปยัง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ รักษาการ ผบ.ตร. ให้รีบดำเนินการทางกฏหมายต่อนายอัมสเตอร์ดัม ในทันที ไม่ควรที่จะปล่อยให้ผู้ถูกกล่าวหาและเคลื่อนไหวทางการเมือง สร้างความแตกแยกในบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม หากผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ปล่อยปละละเลย จนทำให้นายอัมสเตอณืดัม เดินทางออกนอกประทศไทย โดยไม่มีความคืบหน้าในคดี ก็จะมีความผิดฐานะละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
** อ้างปลดล็อก"อัมสเตอร์ดัม"แล้ว
ด้านร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้จับตัวนายอัมเตอร์ดัม เพราะมีหมายจับในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตร 112 ว่า ตนตรวจสอบแล้วทราบว่า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 53 ศอฉ. มีหนังสือถึงผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) บอกว่า นายอัมสเตอร์ดัม เป็นภัยต่อสังคม และเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร ห้ามเข้าในราชอาณาจักรไทย ซึ่ง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ก็ขึ้นชื่อไว้ ว่าไม่ให้เดินทางเข้า
ต่อมาวันที่ 8 ก.ค.54 ก็มีคนเข้ามาร้องที่สำนักนายกรัฐมนตรี ว่าให้ปลดเงื่อนไขนี้ออกไป สำนักยากฯก็ส่งเรื่องไปยังตม. และได้มีการตั้งคณะกรรมการเข้ามาอีกชุดหนึ่ง พิจารณาทบทวน สุดท้ายแล้วเมื่อวันที่14 ก.ย. ที่ผ่านมา สตม.ได้ขออนุญาตให้ยกเลิก และให้นายอัมสเตอร์ดัม สามารถเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยได้ เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มองว่า นายอัมสเตอร์ดัม เป็นภัยต่องสังคมหรือความมั่นคง
**อ้างผลสอบ DSI ไม่เกี่ยวสถาบันฯ
ต่อมา เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา นายอัมสเตอร์ดัม ก็เดินทางเข้าประเทศไทยโดยถือพาสสปอร์ตของประเทศแคนนาดา เพราะเป็นคน 2 สัญชาติ ( เอมริกัน-แคนนาดา ) ซึ่งแคนนาดากับประเทศไทย มีข้อตกลงว่า การเดินทางเข้ามาโดยไม่ต้องทำวีซ่า ก็สามารถอยู่ได้ 30 วัน ดังนั้นก็ถือว่านายอัมสเตอร์ดัม เดินทางเข้าไทย ถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวหาว่า รัฐบาลจะละเว้นหรือไม่ ที่ให้นายอัมสเตอร์ดัม เข้ามาแล้วไม่จับกุม จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา มีคนไปร้องทุกข์กล่าวโทษ นายอัมสเตอร์ดัม ที่กองบังคับการกองปราบปราม ซึ่งได้สอบปากคำผู้ร้องทุกข์เบื้องต้น มีความเห็นว่า คดีนี้น่าจะเข้าข่ายคดีพิเศษ ที่ 101/2553 ซึ่งเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรฯ ด้วยการล่วงละเมิดต่อสถาบันฯ หรือที่เรียกกันว่า “คดีล้มเจ้า” จึงส่งเรื่องไปที่กรมสอบสวนคดรพิเศษ (ดีเอสไอ) และมีการตรวจสอบอยู่ระดับหนึ่ง และมีผลสอบเบื้องต้นเมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องสถาบันฯ จึงส่งเรื่องกลับมาที่กองปราบฯ
ดังนั้น เรื่องนี้ยังไม่มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหา ไม่มีการออกหมายจับ ส่วนนายอัมสเตอร์ดัม จะผิดหรือถูก ตนไม่ทราบ
" ถ้าการสอบสวนเป็นความผิด ก็ต้องออกหมายจับ ก่อนออกหมายจับก็ต้องดูโทษ ถ้าโทษไม่เกิน 3 ปี ก็ออกหมายจับไม่ได้ ก็ออกหมายเรียกแทน แต่ถ้าโทษเกิน 3 ปี ออกหมายจับได้ หรือกรณีผู้ต้องหามีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ก็ไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียก เพราะรู้จะไปเรียกที่ไหน สรุปคือ ถ้าหากว่ามีหลักฐาน ตำรวจก็ต้องออกหมายจับ ถ้าสอบสวนแล้วไม่พบว่ามีพยานหลักฐานว่ากระทำความผิด ตำรวจก็อาจทำสำนวนสั่งไม่ฟ้อง โดยไม่มีตัวผู้ต้องหาก็ได้ ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่ง"
เมื่อถามว่า ส่วนนี้ตำรวจจะดำเนินการอย่างไรต่อ เพราะอาจถูกมองว่าประวิงเวลา รองนายกฯ กล่าวว่า ตนได้สั่งให้ดำเนินการเต็มที่ และตนไม่สามารถแทรกแซงได้ เพราะเป็นการผิดกฎหมาย
" การจับบุคคลใดได้ คือ 1.ต้องมีการออกหมายจับ และ 2. คนๆนั้นต้องกระทำความผิดซึ่งหน้า ซึ่งขณะนี้เรื่องนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของกองปราบปรามฯ ซึ่งดำเนินการต่อตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมา" รองนายกฯ กล่าว