xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

'พล.อ.พัลลภ' ยึด กอ.รมน. ฝันหวานของทหารแก่ และฝันค้างของ “แม้ว”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

.อ.พัลลภ ปิ่นมณี
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เป็นที่ฮือฮาทีเดียว สำหรับความพยายามของ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผอ.รมน.) ที่ประกาศผลักดัน 'พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ' ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ให้ไปดำรงตำแหน่ง 'ผู้ช่วยผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ' (ผช.ผอ.รมน.) เนื่องจากผู้จัดการรัฐบาล' อย่าง 'ทักษิณ ชินวัตร' ต้องการส่ง 'ทหารแก่ ' เข้าไปคานอำนาจกับกองทัพที่มีบทบาทสำคัญในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ก่อนที่จะเดินแผนปรับโครงสร้าง กอ.รมน.ต่อไป เพราะมองว่ากองทัพมีอำนาจมาเกินไป จึงมีแนวคิดที่จะส่งนายทหารสายเพื่อไทยเข้าไปนั่งทำงานเพื่อสอดส่องดูแลและควบคุมการทำงานของทหารอาชีพ และจุดประสงค์สำคัญที่สุดก็คือเพื่อส่ง พล.อ.พัลลภเข้าไปคุมงานข่าวกรองทางการเมืองซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อความมั่นคงของรัฐบาล

**นายกฯ ไม่มีอำนาจตั้ง ผช.ผอ.รมน.

แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือนายกฯยิ่งลักษณ์ ไม่ได้แค่ต้องการแค่ดึง พล.อ.พัลลภเข้ามาช่วยงานใน กอ.รมน.เท่านั้น แต่มีเจตนาที่จะมอบหมายให้ พล.อ.พัลลภ ปฏิบัติหน้าที่แทน และใช้อำนาจแทนในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(ผอ.กอ.รมน.) เลยทีเดียว โดยก่อนหน้านี้ยิ่งลักษณ์ได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่า “ นายกรัฐมนตรีจะมอบอำนาจให้“ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี”คนใดคนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจแทนในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(ผอ.กอ.รมน.) โดยอาศัยกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินได้หรือไม่ ”

แต่สุดท้าย 'นายใหญ่แห่งดูไบ' ก็ต้องฝันค้าง เพราะคณะกรรมการกฤษฎีกาจะตีความออกมาแล้วว่า ตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ในการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับการบริหารราชการของกระทรวง หรือทบวงหนึ่ง หรือหลายกระทรวง หรือทบวง แต่ไม่มีการระบุว่า สามารถมอบอำนาจให้ 'ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี”ได้

นอกจากนั้นคณะกรรมการกฤษฎีกายังได้ระบุด้วยว่า 'นายกรัฐมนตรี' ไม่มีอำนาจแต่งตั้ง 'ผู้ช่วยผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน' ซึ่งมีฐานะเป็นที่ปรึกษา ผอ.รมน. โดยผู้ที่จะมาเป็นที่ปรึกษา ผอ.รมน.ต้องได้รับการแต่งตั้งจาก 'คณะกรรมการอำนวยการ' ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานด้านความมั่นคงเท่านั้น

นายกฯยิ่งลักษณ์ จึงต้องดิ้นอีกครั้งด้วยการหาช่องทางด้านกฎหมายมารองรับการแต่งตั้ง พล.อ.พัลลภ ให้เข้าไปทำงานใน กอ.รมน. โดยเตรียมใช้ช่องทางตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่ระบุว่า “นอกจากการมอบอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินแล้ว บรรดาอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้อำนวยการจะมอบอำนาจให้ ผอ.รมน.ภาค ผอ.รมน.จังหวัด หรือผู้อำนวยการศูนย์ หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นปฏิบัติแทนก็ได้” นายกฯยิ่งลักษณ์จึงเตรียมที่จะแต่งตั้ง พล.อ.พัลลภ ให้เป็นประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีก่อน เพื่อให้มีฐานะเป็น 'หัวหน้าหน่วยงาน' เพื่อเปิดทางให้เข้าไปทำหน้าที่ใน กอ.รมน.ได้

 แต่การณ์กลับไม่ได้ดั่งใจ เพราะมีแนวโน้มว่าการนำมาตรานี้มาอ้างก็อาจจะไม่สามารถทำได้เช่นกัน !! นายกฯยิ่งลักษณ์ จึงได้แต่ออกมาแก้เกี้ยวว่าไม่รู้เรื่องกับการแต่งตั้ง พล.อ.พัลลภ ขึ้นเป็นประธานที่ปรึกษานายกฯ เพื่อเปิดทางให้ไปดำรงตำแหน่ง 'ผู้ช่วยผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน' แต่อย่างใด พร้อมบ่ายเบี่ยงที่จะฟันธงว่าจะผลักดันให้ พล.อ.พัลลภ เข้าไปช่วยงานใน กอ.รมน.หรือไม่ โดยบอกแต่เพียงว่า

“ โดยหน้าที่แล้วนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่กำกับดูแล กอ.รมน.ซึ่งหลังจากนี้ก็จะเข้าไปให้นโยบายกับ กอ.รมน.เอง ซึ่งก็มีตารางนัดหมายกันไว้แล้ว ”

**'พัลลภ' ออกหน้า รับเสนอตัวเอง

ขณะที่ พล.อ.พัลลภ นั้น ยืนยันชัดเจนว่า นายกฯได้มีการทาบทามให้เขาเข้าไปช่วยงานในตำแหน่งประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ส่วนการเข้าไปทำงานใน กอ.รมน.นั้น เขาเป็นผู้เสนอตัวเอง เนื่องจากมีประสบการณ์ในการทำงานในหน่วยงานนี้มาก่อน

“ ทีมงานของนายกฯได้เข้ามาทาบทามที่จะให้ไปช่วยงาน ซึ่งหากให้ทำงานแล้ว งานที่ผมถนัดสุดก็คงเป็น กอ.รมน. เนื่องจากเคยทำหน้าที่มาก่อน จึงไม่ได้ปฏิเสธ แต่ขณะนั้นไม่ทราบว่า คุณสมบัติจะติดขัดในเรื่องของกฎมาย จึงไม่สามารถทำหน้าที่ได้ คือหลังจากที่นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งผมเป็นที่ปรึกษานั้นก็ได้แบ่งสายงานดูแลหน่วยงานต่างๆ หมดแล้ว คงมีเพียงหน่วยงาน กอ.รมน.ที่ยังไม่มีใครดูแล ผมและคณะที่ปรึกษานายก ฯ ได้พูดคุยกันเองแล้วเห็นว่าผมมีความเหมาะสมที่จะ

ช่วยงานเข้าไปดูแล กอ.รมน. ที่มีความสำคัญทั้งการดูแลปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ซึ่งหากได้รับมอบหมายก็สามารถทำภารกิจหน้าที่ กอ.รมน. ได้ เนื่องจากผมเคยทำงานอยู่ที่ กอ.รมน. สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ มานาน 4 - 5 ปี เพียงแต่การเข้าไปทำหน้าที่ใน กอ.รมน. นั้น ยังมีปัญหาว่า ตามกฎหมายนั้นตำแหน่งของผม ขณะนี้เป็นเพียงที่ปรึกษานายก ฯ จึงไม่สามารถเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ใน กอ.รมน.ได้ เพราะตามกฎหมายระบุว่าต้องเป็นหัวหน้าหน่วยราชการ ซึ่งปัญหาเรื่องตำแหน่งได้เคยส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความแล้ว โดยกฤษฎีกาก็ให้คำตอบแง่กฎหมายว่าตำแหน่งที่ปรึกษานายก ฯ นั้น ไม่ใช่หัวหน้าหน่วยงาน ดังนั้นหากนายก ฯ ต้องให้ไปช่วยงาน กอ.รมน.ก็มีทางเดียวต้องตั้งเป็นประธานที่ปรึกษานายก ฯ” พล.อ.พัลลภ กล่าว

**ชนักติดหลัง กรณี'กรือเซะ'

อย่างไรก็ดี แนวคิดในการแต่งตั้ง พล.อ.พัลลภ ให้นั่งทำงานใน กอ.รมน.นั้น ไม่ได้มีปัญหาเฉพาะในเรื่องข้อกฎหมายเท่านั้น แต่ทหารแก่นายนี้ยังมีปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ เพราะที่ผ่านมา พล.อ.พัลลภถูกจัดว่าเป็นทหารที่นิยมใช้ 'ความรุนแรง' ในขณะที่ภารกิจหนึ่งที่ พล.อ.พัลลภ ระบุว่าเขาจะเข้าไปดำเนินการหากได้เข้าไปทำงานใน กอ.รมน. ก็คือการดูแลเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้

ที่สำคัญเขายังมี 'ตราบาป' จากกรณี 'กรือเซะ' ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมฝังใจชาวใต้มาตลอด 7 ปีที่ผ่าน เนื่องจาก พล.อ.พัลลภ ในฐานะรอง ผอ.กอ.รมน. ในขณะนั้นได้สั่งการให้ทหารไทยใช้อาวุธหนักยิงถล่มผู้ก่อความไม่สงบซึ่งไปหลบซ่อนอยู่ในมัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันทีถึง 33 คน และเหตุการณ์ดังกล่าวก็เป็นเหมือนการเติมเชื้อไฟให้พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขยายวงทวีความขัดแย้งรุนแรงมากยิ่งขึ้น กระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ นอกจากนั้นเหตุรุนแรงในครั้งนั้นยังกลายเป็นข่าวดังและอื้อฉาวไปทั่วโลกอีกด้วย

จึงมีคำถามตามมาว่า … นายกฯยิ่งลักษณ์จะให้คนที่ 'สั่งฆ่าประชาชน' ลงไป 'ดับไฟใต้' โดยไม่สนใจความรู้สึกพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เช่นนั้นหรือ ??

นอกจากนั้นหากย้อนดูประวัติการทำงานในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของ พล.อ.พัลลภ ก็ยิ่งเป็นการยอกย้ำภาพของนายทหารผู้นิยมความรุนแรง โดยในปี 2524 พล.อ.พัลลภ คือหนึ่งใน 'กบฏยังเติร์ก' ซึ่งร่วมก่อการณ์ในเหตุการณ์กบฏเมษาฮาวาย โดยขณะนั้นเขาอยู่ในตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 19 อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว เป็นผู้นำกำลังรถถังกว่า 100 คัน และทหาร 4 กองพัน คือ 3 กองพันทหารราบ และ 1 กองพันทหารปืนใหญ่ จาก อ.อรัญประเทศมุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ หนีไปอยู่ประเทศลาว ถูกจับขังคุกอยู่นาน 2 เดือน ก่อนที่กลับเข้ารับราชการอีกครั้งในปี พ.ศ. 2530

ต่อมาในช่วงพฤษภาทมิฬ 2535 พล.อ.พัลลภก็ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเป็นผู้นำในการเผาสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งเอง รวมทั้งยังเคยไล่ล่าเอาชีวิต พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ในยุคที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกด้วย เพราะ พล.อ.พัลลภอ้างว่า พล.อ.อาทิตย์รู้เห็นเป็นใจให้นายทหารรุ่น จปร.5 กลั่นแกล้งตนเอง

อีกทั้งเขายังเป็นนายทหารที่ 'เปลี่ยนจากเหลืองเป็นแดง' ได้อย่างหน้าตาเฉย โดยช่วงที่เริ่มการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ในปี 2548 จนถึงต้นปี 2551 นั้น พล.อ.พัลลภประกาศว่าจะยืนหยัดเคียงข้างพันธมิตรฯ ร่วมขับไล่นายกฯทักษิณ ซึ่งโกงกินประเทศไทยและเป็นภัยต่อสถาบันสูงสุด แต่เมื่อเขาไม่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นหนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯรุ่น 2 อย่างที่วาดหวังไว้ ในช่วงกลางปี 2551 เขาก็พลิกขั้วเปลี่ยนข้างหันไปสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ' โดยเป็นหนึ่งในผู้ที่เดินทางไปพบ นช.ทักษิณ ซึ่งหลบหนีคดีคอร์รัปชั่นอยู่ในต่างประเทศหลายครั้งหลายครา รวมทั้งให้สัมภาษณ์โจมตี 'พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” ว่าเป็นคนวางแผนล้มรัฐบาลทักษิณด้วย และในที่สุดก็ตัดสินใจสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย พร้อมกับเหล่า'ทหารแก่' และในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เขาได้รับมอบหมายจาก 'นายใหญ่' ให้เป็นผู้นำทีมผู้สมัครพรรคเพื่อไทยลงชิงเก้าอี้ ส.ส.ที่บุรีรัมย์ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เพราะสามารถตีเมืองขึ้นของ 'เนวิน ชิดชอบ' ฉก ส.ส.มาได้ถึง 2 ที่นั่ง

ดังนั้นเมื่อพิจารณาจาก 'พฤติกรรม' ที่ผ่านมาของ พล.อ.พัลลภ แล้วทหารนายนี้น่าจะเหมาะกับภารกิจในการดูแลความมั่นคงภายใน 'รัฐบาลเพื่อไทย ' มากกว่าจะดูแลงานในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ซึ่งต้องดูแลความปลอดภัยของ 'คนไทยทั้งประเทศ' !!
กำลังโหลดความคิดเห็น