ASTVผู้จัดการรายวัน – “ฮุนได” พร้อมลุยตลาดเมืองไทยเต็บสูบ ส่งเครื่องปรับอากาศหัวหอกเจาะตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับแรก แต่งตั้งเจ๊บเซ่นฯเป็นดิสทริบิวเตอร์ ชูราคาต่ำกว่าแบรนด์เกาหลีและญี่ปุ่น มั่นใจปีแรกแบ่งแชร์ในตลาดแอร์ได้ 5% ฟากเจ๊บเซ่นฯเผยแผน 5 ปี เป้าโตเท่าตัว แตะ 12,000 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ เธียไพรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ บริษัท เจ๊บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น มาร์เก็ตติ้ง (ที) จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ทางบริษัทได้รับการแต่งตั้งจากทางฮุนได ประเทศเกาหลี ให้เป็นตัวแทนนำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศแบรนด์ฮุนไดแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
โดยตั้งเป้าหมายช่วง 1 ปีแรกจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 4-5 หมื่นเครื่อง คิดเป็นรายได้กว่า 700 - 800 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งในตลาดเครื่องปรับอากาศประมาณ 5%
ทั้งนี้ในปีแรกบริษัทได้เตรียมงบการตลาดไว้กว่า 30 ล้านบาท มุ่งสร้างการรับรู้เป็นหลักว่า เครื่องปรับอากาศฮุนไดเป็นแอร์คุณภาพในราคาประหยัด เบื้องต้นนำเข้ามาจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่น คือ ขนาด 9285 BTU ราคา 16,900 บาท ขนาด 12437BTU ราคา 18,900 บาท ขนาด 18560 BTU ราคา 26,900 บาท และขนาด 24076 BTU ราคา 34,900 บาท เมื่อเทียบราคากับแบรนด์เกาหลีด้วยกัน ถือว่า ฮุนไดถูกกว่า 5-7%และเมื่อเทียบกับแบรนด์ฟูจิตสึจากญี่ปุ่นที่ทางบริษัทเป็นผู้ดูแลการขายอยู่นั้น ถือว่าแอร์ฮุนไดถูกกว่า 20% เนื่องจากจับคนละกลุ่มเป้าหมาย โดยฮุนไดจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ชูเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน
ส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายนั้น จะจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายซึ่งมีกว่า 180 รายทั่วประเทศ และช่องทางขายใหม่อย่าง เพาเวอร์บาย เคทีซีลิสซิ่ง และกลุ่มโครงการ นอกจากนี้บริษัทยังใช้งบกว่า 10 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบการบริการหลังการขายด้วย
นายอดิศักดิ์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ฮุนไดเข้ามารุกตลาดแอร์ในไทยนั้นเนื่องจากมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพ ขณะที่ตลาดแอร์มีโอกาสสูงเป็นตลาดใหญ่ ซึ่งในปี 2555 คาดว่าตลาดแอร์จะมีความต้องการที่ 1.1 ล้านเครื่อง เติบโตขึ้น 15-20% เมื่อเทียบกับปีนี้ ที่มองว่าตลาดตกลงราว 20-25% หรือมีความต้องการเพียง 9 แสนเครื่อง
อย่างไรก็ตามในอนาคตทางฮุนไดจะมีการนำเข้าสินค้าไลน์อื่นๆเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางเจ๊บเซ่นฯพร้อมที่จะเป็นคู่ค้าในการเป็นตัวแทนดูแลการทำตลาดและจัดจำหน่ายให้
ด้านนายฮันซ์ อูลหริค ฮันเซ่น กรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจ๊บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น มาร์เก็ตติ้ง (ที) จำกัด กล่าวว่า ตามแผนของเจ๊บเซ่นฯในระดับภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น มองว่าภายใน 5 ปีหลังจากนี้จะต้องมีการเติบโตของรายได้เพิ่มเป็นเท่าตัว จากปัจจุบันมีรายได้รวมอยู่ที่ 27,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ทางกลุ่มได้มีการลงทุนด้านต่างๆเพื่อปูรากฐานสู่การเติบโตในอนาคตไว้บ้างแล้ว เช่น การซื้อโรงงานด้านเคเบิล และการเทคโอเวอร์บริษัทด้านคอมมูนิเคชั่นในประเทศอินโดนีเซีย
โดยในส่วนของประเทศไทยนั้น ในปีที่ผ่านมามีรายได้อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้จาก 2 ใน 3 นั้น มาจากกลุ่มธุรกิจด้านการเป็นดิสทริบิวเตอร์ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าประเภทคอนซูเมอร์อิเล็คทรอนิก เช่น กล้องดิจิตอลของโอลิมปัส และคาสิโอ รวมถึงเครื่องปรับอากาศแบรนด์ฟูจิตสึ และล่าสุดกับการเป็นดิสทริบิวเตอร์ให้กับเครื่องปรับอากาศฮุนได เป็นต้น
นายอดิศักดิ์ เธียไพรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ บริษัท เจ๊บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น มาร์เก็ตติ้ง (ที) จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ทางบริษัทได้รับการแต่งตั้งจากทางฮุนได ประเทศเกาหลี ให้เป็นตัวแทนนำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศแบรนด์ฮุนไดแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
โดยตั้งเป้าหมายช่วง 1 ปีแรกจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 4-5 หมื่นเครื่อง คิดเป็นรายได้กว่า 700 - 800 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งในตลาดเครื่องปรับอากาศประมาณ 5%
ทั้งนี้ในปีแรกบริษัทได้เตรียมงบการตลาดไว้กว่า 30 ล้านบาท มุ่งสร้างการรับรู้เป็นหลักว่า เครื่องปรับอากาศฮุนไดเป็นแอร์คุณภาพในราคาประหยัด เบื้องต้นนำเข้ามาจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่น คือ ขนาด 9285 BTU ราคา 16,900 บาท ขนาด 12437BTU ราคา 18,900 บาท ขนาด 18560 BTU ราคา 26,900 บาท และขนาด 24076 BTU ราคา 34,900 บาท เมื่อเทียบราคากับแบรนด์เกาหลีด้วยกัน ถือว่า ฮุนไดถูกกว่า 5-7%และเมื่อเทียบกับแบรนด์ฟูจิตสึจากญี่ปุ่นที่ทางบริษัทเป็นผู้ดูแลการขายอยู่นั้น ถือว่าแอร์ฮุนไดถูกกว่า 20% เนื่องจากจับคนละกลุ่มเป้าหมาย โดยฮุนไดจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ชูเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน
ส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายนั้น จะจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายซึ่งมีกว่า 180 รายทั่วประเทศ และช่องทางขายใหม่อย่าง เพาเวอร์บาย เคทีซีลิสซิ่ง และกลุ่มโครงการ นอกจากนี้บริษัทยังใช้งบกว่า 10 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบการบริการหลังการขายด้วย
นายอดิศักดิ์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ฮุนไดเข้ามารุกตลาดแอร์ในไทยนั้นเนื่องจากมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพ ขณะที่ตลาดแอร์มีโอกาสสูงเป็นตลาดใหญ่ ซึ่งในปี 2555 คาดว่าตลาดแอร์จะมีความต้องการที่ 1.1 ล้านเครื่อง เติบโตขึ้น 15-20% เมื่อเทียบกับปีนี้ ที่มองว่าตลาดตกลงราว 20-25% หรือมีความต้องการเพียง 9 แสนเครื่อง
อย่างไรก็ตามในอนาคตทางฮุนไดจะมีการนำเข้าสินค้าไลน์อื่นๆเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางเจ๊บเซ่นฯพร้อมที่จะเป็นคู่ค้าในการเป็นตัวแทนดูแลการทำตลาดและจัดจำหน่ายให้
ด้านนายฮันซ์ อูลหริค ฮันเซ่น กรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจ๊บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น มาร์เก็ตติ้ง (ที) จำกัด กล่าวว่า ตามแผนของเจ๊บเซ่นฯในระดับภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น มองว่าภายใน 5 ปีหลังจากนี้จะต้องมีการเติบโตของรายได้เพิ่มเป็นเท่าตัว จากปัจจุบันมีรายได้รวมอยู่ที่ 27,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ทางกลุ่มได้มีการลงทุนด้านต่างๆเพื่อปูรากฐานสู่การเติบโตในอนาคตไว้บ้างแล้ว เช่น การซื้อโรงงานด้านเคเบิล และการเทคโอเวอร์บริษัทด้านคอมมูนิเคชั่นในประเทศอินโดนีเซีย
โดยในส่วนของประเทศไทยนั้น ในปีที่ผ่านมามีรายได้อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้จาก 2 ใน 3 นั้น มาจากกลุ่มธุรกิจด้านการเป็นดิสทริบิวเตอร์ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าประเภทคอนซูเมอร์อิเล็คทรอนิก เช่น กล้องดิจิตอลของโอลิมปัส และคาสิโอ รวมถึงเครื่องปรับอากาศแบรนด์ฟูจิตสึ และล่าสุดกับการเป็นดิสทริบิวเตอร์ให้กับเครื่องปรับอากาศฮุนได เป็นต้น
