ASTVผู้จัดการรายวัน – คนกรุงฯเห่อรัฐบาลใหม่ ตัวเลขความเชื่อมั่น ไตรมาส 3 พุ่ง 44% สูงสุดในรอบ 4 ปี ชี้นโยบายประชานิยม มีผลต่อการวางแผนการซื้อสินค้าในอีก 6 เดือนข้างหน้า ทั้งบ้าน ,รถยนต์ สูงขึ้น 2-4% ด้านราคาทองที่สูงขึ้น มีผลคนแห่ซื้อและลงทุน แต่เป็นเพียงการออนระยะสั้น ชี้ ผู้หญิง มีอิทธิผล ต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า และบริการด้านสุขภาพสูงกว่าผู้ชาย
นางสาววิริยา วรกิตติคุณ นายกสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย เปิดเผย ว่า ผลการวิจัย ThaiView ไตรมาส 3 ของปี 2554 ซึ่งสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนในกรุงเทพฯมหานคร ช่วงเวลาการสำรวจ ระหว่างวันที่ 10-16 สิงหาคม 2554 พบว่า คนกรุงเทพฯ มีความมั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วง 12 เดือนนับจากนี้ไป โดยพบว่า มีความมั่นใจสูงถึง 44% สูงสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2550 และ เพิ่มถึง 14%
จากการวิจัยครั้งก่อนเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ปี 2554 ซึ่ง ปัจจัยบวกที่สนับสนุน คือ มาจากกระแสการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบริหารประเทศ และความคาดหวังในนโยบายที่หาเสียงไว้ เช่น นโยบายอัตราค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน หรือ ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 15,000 บาท ต่อเดือน ขณะเดียวกัน ยัง้เชื่อมั่นในเรื่องของความมีเสถียรภาพทางการเมือง มีความกังวลทางการเมืองลดลงมาอยู่ที่ 6%
จากเมื่อต้นปีความกังวลด้านการเมืองพุ่งไปถึง 30% ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะดึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้นด้วยไปในทิศทางเดียวกัน
***คนกรุงเห่อรัฐบาลใหม่***
“ ความเชื่อมั่นที่สำรวจได้ครั้งนี้ ไม่ได้แปลว่ารัฐบาลมีผลงานดี แต่ความเชื่อมั่นครั้งนี้ สะท้อนถึงว่าเมื่อมีการฟอร์มรัฐบาลใหม่ ความเชื่อมั่นก็จะดีขึ้น แต่ความเชื่อมั่นจะอยู่ยืนยาวแค่ไหน ขึ้นกับผลงานทำงานนับจากนี้ไป เพราะเมื่อกลับไปดูสมัยรัฐบาล นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครั้งที่เพิ่มรับตำแหน่งใหม่ๆ ความเชื่อมั่นก็สูงขึ้น แต่ก็มาลดลง
ตอนเหตุการณ์ชุมนุม “
***บ้าน-รถยนต์ วางแผนซื้อสูง***
นอกจากนั้นการสำรวจ ถึงการวางแผน ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ในเรื่องที่จะใช้จ่ายเงินและซื้อสินค้า พบว่า คนกรุงเทพฯมีแผนจะซื้อสินค้าในอีก 6 เดือนข้าวหน้า เพิ่มขึ้น 16% เทียบกับผบสำรวจในเดือน ก.พ.54 หรือคิดเป็น 56% ของ กลุ่มตัวอย่าง ที่มีแผนจะใช้เงินซื้อสินค้า ส่วนอีก 44% ไม่มีแผนจะซื้อสินค้า โดยสินค้าที่มีแผนจะซื้อสูงสุด 5 อันดับแรกที่มีสัดส่วนสูง ได้แก่
ที่อยู่อาศัย 13% เพิ่มจากผลสำรวจครั้งก่อน 4% ,รถยนต์ 11% เพิ่มขึ้น 2% ,ทองคำ 11% เพิ่มขึ้น 4% ,โทรศัพท์มือถือ 9% เพิ่มขึ้น 2% และ ประกันชีวิต 8% เพิ่มขึ้น 4% ส่วนปัจจัยในการตัดสินใจซื้อ สินค้าถาวร หรือ บริการทางการเงิน มาจาก ความน่าเชื่อถือของยี่ห้อผู้ผลิต ราคา และ บริการหลังการขาย
ในด้านการออม พบว่า คนกรุงเทพฯมีการออมเพิ่มขึ้น และมีภาระหนี้สินลดลง โดยการออมที่คนกรุงเทพฯเลือกใช้สูงสุด ยังเป็นการฝากงเนกับธนาคาร รองลงมาคือ การซื้อทองคำ การลงทุนในตลาดซื้อขายล่วงหน้าทองคำ และการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ขณะที่ การออมที่มีผลตอบแทนเหมาะสมกับความเสี่ยง คือ การลงทุนในตลาดหุ้น 34% รองมาคือการซื้อทองคำ 26%
และเหมาะสมที่สุดกับการออมระยะสั้น ถึง 41% ส่วนการฝากเงินกับธนาคารมีความเหมาะสมกับความเสี่ยงเพียง 12% แต่ เหมาะสมกับการออมระยะยาวมากที่สุดถึง 53% สะท้อนได้ดีว่า คนกรุงเทพฯ ยังไม่มีความรู้ด้านการออมมากเพียงพอ และยังมีช่องว่างให้สถาบันการเงินทำการตลาด ในการนำเสนอสินค้าและบริการด้านการออมในรูปแบบใหม่ๆ เป็นทางเลือกให้ประชาชน
***สังคมไทยยอมรับผู้หญิงเพิ่มขึ้น***
นางสาววิริยา กล่าวว่า เพื่อให้สอดคล้องกับการที่ประเทศไทย มีนายกรัฐมนตรีผู้หญิงเป็นครั้งแรก สมาคม จึง ทำความสำรวจในเรื่องของสิทธิและบทบาทระหว่างหญิงกับชาย พบว่า เห็นด้วยกับการที่ผู้หญิงไทยสามารถทำงานทั้งในบ้านและนอกบ้านได้ดีพอๆกัน สูงถึง 93% ,ผู้หญิงไทยมีความทันสมัย 85% และ ในสังคมไทยผู้หญิงและผู้ชายมีความเท่าเทียมกัน 81% ส่วนสินค้า ที่ผู้หญิง
มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจซื้อสูง 5 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 87% , อาหารเสริม 78% ,สินค้าและบริการเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุในบ้าน 63%,สินค้าเพื่อสุขภาพ 61% และ สินค้า-บริการเกี่ยวกับการศึกษาของลูก 54% แต่ความเห็นด้วยแต่ไม่ชัดเจนนัก มี 3 ประเด็นได้แก่ ผู้หญิงมีอิทธิพลมากในสังคมไทย ,ผู้หญิงเป็นผู้นำองคืกรที่ดี และคำพูดของผู้หญิงมีความน่าเชื่อถือ
ส่วนสินค้า ที่ผู้ชายมีบทบาทในการตัดสินใจซื้อสูง ส่วนใหญ่ เป็นสินค้าที่มีความซับซ้อน เช่น รถยนต์ ,สินค้ากลุ่มไอที และ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์/กองทุนเปิดต่างๆ ซึ่งผลสำรวจ กลุ่มนี้ จะมีประโยชน์ต่อนักการตลาด ในการนำเสนอสินค้าให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และมีอำนาจการตัดสินใจซื้อได้ตรงจุด
อย่างไร ในการสำรวจ ยังพบว่า คนกรุงเทพฯมีความกังวล ในเรื่องของค่าครองชีพที่สูงขึ้น ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด และ พบว่า สถาบันครอบครัว คุณภาพชีวิต มีอิทธิพลสูง ต่อความสุขของคนกรุงเทพฯ โดยผลสำรวจพบ ความสุขเพิ่มเป็น 85% เพราะความแข็งแรงของสถาบันครอบครัว และ 80% มีการปรับตัวให้มีความสมดุลในชีวิตงานและชีวิตส่วนตัว
การสำรวจครั้งนี้ เก็บตัวอย่างจาก คนกรุงเทพฯ จำนวน 500 คน อายุ 18 ปีขึ้นไป มีรายได้ครอบครัวตั้งแต่ 10,000 บาท ขึ้นไป เพื่อประโยชน์ต่อหน่วยงานราชการและเอกชน ในการพัฒนาปรับปรุงสังคมและคุณภาพชีวิต ผลิตภัณฑ์ ให้สอดคล้อง กับความต้องการที่แท้จริง
นางสาววิริยา วรกิตติคุณ นายกสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย เปิดเผย ว่า ผลการวิจัย ThaiView ไตรมาส 3 ของปี 2554 ซึ่งสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนในกรุงเทพฯมหานคร ช่วงเวลาการสำรวจ ระหว่างวันที่ 10-16 สิงหาคม 2554 พบว่า คนกรุงเทพฯ มีความมั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วง 12 เดือนนับจากนี้ไป โดยพบว่า มีความมั่นใจสูงถึง 44% สูงสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2550 และ เพิ่มถึง 14%
จากการวิจัยครั้งก่อนเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ปี 2554 ซึ่ง ปัจจัยบวกที่สนับสนุน คือ มาจากกระแสการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบริหารประเทศ และความคาดหวังในนโยบายที่หาเสียงไว้ เช่น นโยบายอัตราค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน หรือ ปริญญาตรี ขั้นต่ำ 15,000 บาท ต่อเดือน ขณะเดียวกัน ยัง้เชื่อมั่นในเรื่องของความมีเสถียรภาพทางการเมือง มีความกังวลทางการเมืองลดลงมาอยู่ที่ 6%
จากเมื่อต้นปีความกังวลด้านการเมืองพุ่งไปถึง 30% ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะดึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้นด้วยไปในทิศทางเดียวกัน
***คนกรุงเห่อรัฐบาลใหม่***
“ ความเชื่อมั่นที่สำรวจได้ครั้งนี้ ไม่ได้แปลว่ารัฐบาลมีผลงานดี แต่ความเชื่อมั่นครั้งนี้ สะท้อนถึงว่าเมื่อมีการฟอร์มรัฐบาลใหม่ ความเชื่อมั่นก็จะดีขึ้น แต่ความเชื่อมั่นจะอยู่ยืนยาวแค่ไหน ขึ้นกับผลงานทำงานนับจากนี้ไป เพราะเมื่อกลับไปดูสมัยรัฐบาล นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครั้งที่เพิ่มรับตำแหน่งใหม่ๆ ความเชื่อมั่นก็สูงขึ้น แต่ก็มาลดลง
ตอนเหตุการณ์ชุมนุม “
***บ้าน-รถยนต์ วางแผนซื้อสูง***
นอกจากนั้นการสำรวจ ถึงการวางแผน ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ในเรื่องที่จะใช้จ่ายเงินและซื้อสินค้า พบว่า คนกรุงเทพฯมีแผนจะซื้อสินค้าในอีก 6 เดือนข้าวหน้า เพิ่มขึ้น 16% เทียบกับผบสำรวจในเดือน ก.พ.54 หรือคิดเป็น 56% ของ กลุ่มตัวอย่าง ที่มีแผนจะใช้เงินซื้อสินค้า ส่วนอีก 44% ไม่มีแผนจะซื้อสินค้า โดยสินค้าที่มีแผนจะซื้อสูงสุด 5 อันดับแรกที่มีสัดส่วนสูง ได้แก่
ที่อยู่อาศัย 13% เพิ่มจากผลสำรวจครั้งก่อน 4% ,รถยนต์ 11% เพิ่มขึ้น 2% ,ทองคำ 11% เพิ่มขึ้น 4% ,โทรศัพท์มือถือ 9% เพิ่มขึ้น 2% และ ประกันชีวิต 8% เพิ่มขึ้น 4% ส่วนปัจจัยในการตัดสินใจซื้อ สินค้าถาวร หรือ บริการทางการเงิน มาจาก ความน่าเชื่อถือของยี่ห้อผู้ผลิต ราคา และ บริการหลังการขาย
ในด้านการออม พบว่า คนกรุงเทพฯมีการออมเพิ่มขึ้น และมีภาระหนี้สินลดลง โดยการออมที่คนกรุงเทพฯเลือกใช้สูงสุด ยังเป็นการฝากงเนกับธนาคาร รองลงมาคือ การซื้อทองคำ การลงทุนในตลาดซื้อขายล่วงหน้าทองคำ และการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ขณะที่ การออมที่มีผลตอบแทนเหมาะสมกับความเสี่ยง คือ การลงทุนในตลาดหุ้น 34% รองมาคือการซื้อทองคำ 26%
และเหมาะสมที่สุดกับการออมระยะสั้น ถึง 41% ส่วนการฝากเงินกับธนาคารมีความเหมาะสมกับความเสี่ยงเพียง 12% แต่ เหมาะสมกับการออมระยะยาวมากที่สุดถึง 53% สะท้อนได้ดีว่า คนกรุงเทพฯ ยังไม่มีความรู้ด้านการออมมากเพียงพอ และยังมีช่องว่างให้สถาบันการเงินทำการตลาด ในการนำเสนอสินค้าและบริการด้านการออมในรูปแบบใหม่ๆ เป็นทางเลือกให้ประชาชน
***สังคมไทยยอมรับผู้หญิงเพิ่มขึ้น***
นางสาววิริยา กล่าวว่า เพื่อให้สอดคล้องกับการที่ประเทศไทย มีนายกรัฐมนตรีผู้หญิงเป็นครั้งแรก สมาคม จึง ทำความสำรวจในเรื่องของสิทธิและบทบาทระหว่างหญิงกับชาย พบว่า เห็นด้วยกับการที่ผู้หญิงไทยสามารถทำงานทั้งในบ้านและนอกบ้านได้ดีพอๆกัน สูงถึง 93% ,ผู้หญิงไทยมีความทันสมัย 85% และ ในสังคมไทยผู้หญิงและผู้ชายมีความเท่าเทียมกัน 81% ส่วนสินค้า ที่ผู้หญิง
มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจซื้อสูง 5 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 87% , อาหารเสริม 78% ,สินค้าและบริการเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุในบ้าน 63%,สินค้าเพื่อสุขภาพ 61% และ สินค้า-บริการเกี่ยวกับการศึกษาของลูก 54% แต่ความเห็นด้วยแต่ไม่ชัดเจนนัก มี 3 ประเด็นได้แก่ ผู้หญิงมีอิทธิพลมากในสังคมไทย ,ผู้หญิงเป็นผู้นำองคืกรที่ดี และคำพูดของผู้หญิงมีความน่าเชื่อถือ
ส่วนสินค้า ที่ผู้ชายมีบทบาทในการตัดสินใจซื้อสูง ส่วนใหญ่ เป็นสินค้าที่มีความซับซ้อน เช่น รถยนต์ ,สินค้ากลุ่มไอที และ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์/กองทุนเปิดต่างๆ ซึ่งผลสำรวจ กลุ่มนี้ จะมีประโยชน์ต่อนักการตลาด ในการนำเสนอสินค้าให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และมีอำนาจการตัดสินใจซื้อได้ตรงจุด
อย่างไร ในการสำรวจ ยังพบว่า คนกรุงเทพฯมีความกังวล ในเรื่องของค่าครองชีพที่สูงขึ้น ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด และ พบว่า สถาบันครอบครัว คุณภาพชีวิต มีอิทธิพลสูง ต่อความสุขของคนกรุงเทพฯ โดยผลสำรวจพบ ความสุขเพิ่มเป็น 85% เพราะความแข็งแรงของสถาบันครอบครัว และ 80% มีการปรับตัวให้มีความสมดุลในชีวิตงานและชีวิตส่วนตัว
การสำรวจครั้งนี้ เก็บตัวอย่างจาก คนกรุงเทพฯ จำนวน 500 คน อายุ 18 ปีขึ้นไป มีรายได้ครอบครัวตั้งแต่ 10,000 บาท ขึ้นไป เพื่อประโยชน์ต่อหน่วยงานราชการและเอกชน ในการพัฒนาปรับปรุงสังคมและคุณภาพชีวิต ผลิตภัณฑ์ ให้สอดคล้อง กับความต้องการที่แท้จริง