ASTVผู้จัดการรายวัน - “พล.ต.จำลอง” ยื่นคำร้องค้านการเลือกตั้งอีกรอบ ยกสิทธิตาม รธน.ประกอบเพิ่มเติม “ปานเทพ” ชี้ ม.40 ระบุชัดคนไทยต้องได้รับความยุติธรรม วอนศาลพิจารณาข้อเท็จจริง หยุดอ้างไม่มี กฎหมายรองรับ ยกกรณีสิทธิการชุมนุม-สิ่งแวดล้อมที่บางกรณีศาลคุ้มครองทันที เชื่อเป็นหนทางเดียวในการรักษาสิทธิของประชาชนและสร้างบรรทัดฐานในอนาคต
วานนี้ (15 ก.ย.) ศาลฎีกา สนามหลวง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายสมคิด หอมเนตร ในฐานะประชาชนผู้เสียสิทธิการเลือกตั้งตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้วินิจฉัยจากเหตุที่ไม่ได้ยื่นเปลี่ยนสิทธิการใช้สิทธินอกเขตเลือกตั้ง ได้ร่วมกันเข้ายื่นคำร้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อขอศาลฎีกาเพิกถอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2554 ที่ผ่านมา และให้จัดการเลือกตั้งใหม่ หลังจากที่เคยยื่นคำร้องมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อช่วงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา แต่ปรากฎว่าศาลได้ยกคำร้อง
นายปานเทพ ได้เปิดเผยว่า แม้ว่าก่อนหน้านี้เราจะเคยยื่นคำร้องให้ศาลตัดสินเพิกถอนการเลือกตั้งมาก่อนหน้านี้เมื่อ 2 เดือนก่อน แต่ศาลได้ยกคำร้อง โดยอ้างเหตุว่าไม่มีกฎหมายรองรับให้ศาลตัดสินเพิกถอนการเลือกตั้งนั้น แต่ในครั้งนี้ เราได้พบประเด็นที่คิดว่าน่าจะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาได้อีกครั้งหนี่ง โดยอ้างสิทธิตามมาตรา 40 ของรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิได้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม เพราะฉะนั้นแล้วแม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้บัญญัติอย่างชัดเจนในการเพิกถอนการเลือกตั้ง แต่หากประชาชนไม่ได้รับความเป็ฯธรรมจากศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะไปร้องที่ศาลอื่นได้ เนื่องจาก กกต.เป้นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
ในการยื่นคำร้องครั้งนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ พล.ต.จำลอง และนายสมคิด ที่เป็นผู้เสียสิทธิโดยตรง จะยื่นคำร้องโดยเน้นเรื่องการอ้างสิทธิต่อรัฐธรรมนูญ ว่าประชาชนมีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากกระบวนการยุติธรรม ประกอบกับหลักฐานเดิมที่เคยยื่นไปก่อนหน้านี้ ขณะที่ตนมาในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากนางภาณี ถิรังกรู ซึ่งเป็นประชาชนที่ถูกบันทึกและไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตล่วงหน้า ทำให้เสียสิทธิร่วมกับประชาชนอีกราว 2 ล้านคน จะมีการยื่นบางมุมที่ไม่เหมือนกันในเรื่องข้อกฎหมาย โดยจะเน้นเรื่องสาเหตุที่ศาลตัดสินว่า ใช้อำนาจข้อใด แต่ถ้าศาลไม่พิจารณาเลย ประชาชนจะเสียสิทธิตามรัฐธรรมนูญทันที และไม่มีทางที่จะไปฟ้องที่ศาลอื่นได้ เพราะประชาชนจะเสียสิทธิไปตลอดกาลไม่ว่าการเลือกตั้งจะไม่ชอบธรรมหรือ กกต.จะทำผิดพลาดมากน้อยแค่ไหน เราจึงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการสร้างบรรทัดฐานเรื่องนี้ต่อไป
“ครั้งก่อนศาลฎีกาไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง และไม่วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งชอบธรรมหรือไม่ เพียงแต่บอกว่าศาลไม่มีอำนาจที่จะไปพิจารณาเพิกถอนการเลือกตั้ง เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ แต่เราเห็นว่าปแม้จะไม่มีกฎหมาย ก็ไม่สามารถอ้างเหตุเพื่อไม่พิจารณาไม่ได้ เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนว่าประชาชนมีสิทธิที่จะได้รับความยุติธรรม” นายปานเทพ ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายกรณีที่ผ่านมาศาลมักจะยกคำร้อง การยื่นคำร้องอีกครั้งมีความมั่นใจขนาดไหน นายปานเทพ กล่าวว่า เราคิดเพียงว่าต้องลองให้สุดทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ศาลไม่วินิฉัยข้อเท็จจริงก่อนหน้านี้ และชี้แจงว่าไม่มีกฎหมายรองรับ ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันรองรับสิทธิของประชาชน แม้ว่าไม่มีกฎหมายรองรับศาลก็จะเป็นต้องพิจารณาในกรณีแบบนี้ ไม่เช่นนั้นย่อมหมายถึงรัฐธรรมนูญไม่วสามารถใช้ได้ในทางปฏิบัติ ในความเป็นจริงสามารถเทียบเคียงได้กับกรณีสิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ และกรณีที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม จะเห็นได้ว่าประชาชนได้รับสิทธิคุ้มครองทันที แม้ว่ากฎหมายลูกยังไม่ออกมาก็ตาม
ด้าน พล.ต.จำลอง กล่าวเสริมว่า ต้องทบทวนว่าเราไม่ได้เพิ่งมาเริ่มฟ้อง เพราะคราวก่อนที่ยื่นคำร้องไปนั้นก่อนหน้าที่ กกต.จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งด้วยซ้ำ โดยเราเห็นว่าการเลือกตั้งไม่ถูกต้องเป็นโมฆะ เพราะทำให้คน 2 ล้านคนไม่มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกตั้ง ทั้งๆที่ไปที่หน่วยลงคะแนนแล้ว ครั้งนี้มายื่นคำร้องอีกทีหนึ่งว่า ศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งต้องกรุณารับคำร้องและวินิจฉัยเรื่องนี้ มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่มีหนทางใดที่ประชาชนจะไปยื่นฟ้องต่อศาลได้อีก
“เราพยายามไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 72 ของรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ลงคะแนนไม่ได้ ก็ต้องพยายามใช้สิทธิให้ได้ การจะเลือกตั้งได้ก็ต้องมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ถึงจะยุติธรรมสำหรับเรา และเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไปในการป้องกันกรณีนี้ที่ทำให้คนกว่า 2 ล้านคนเสียสิทธิในการเลือกตั้ง หากศาลฎีกาไม่รับคำร้อง ก็ต้องรบกวนให้ผู้ใหญ่ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมออกมาแนะนำว่าให้ไปร้องที่ศาลไหน” พล.ต.จำลอง กล่าว
วานนี้ (15 ก.ย.) ศาลฎีกา สนามหลวง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายสมคิด หอมเนตร ในฐานะประชาชนผู้เสียสิทธิการเลือกตั้งตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้วินิจฉัยจากเหตุที่ไม่ได้ยื่นเปลี่ยนสิทธิการใช้สิทธินอกเขตเลือกตั้ง ได้ร่วมกันเข้ายื่นคำร้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อขอศาลฎีกาเพิกถอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2554 ที่ผ่านมา และให้จัดการเลือกตั้งใหม่ หลังจากที่เคยยื่นคำร้องมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อช่วงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา แต่ปรากฎว่าศาลได้ยกคำร้อง
นายปานเทพ ได้เปิดเผยว่า แม้ว่าก่อนหน้านี้เราจะเคยยื่นคำร้องให้ศาลตัดสินเพิกถอนการเลือกตั้งมาก่อนหน้านี้เมื่อ 2 เดือนก่อน แต่ศาลได้ยกคำร้อง โดยอ้างเหตุว่าไม่มีกฎหมายรองรับให้ศาลตัดสินเพิกถอนการเลือกตั้งนั้น แต่ในครั้งนี้ เราได้พบประเด็นที่คิดว่าน่าจะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาได้อีกครั้งหนี่ง โดยอ้างสิทธิตามมาตรา 40 ของรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิได้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม เพราะฉะนั้นแล้วแม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้บัญญัติอย่างชัดเจนในการเพิกถอนการเลือกตั้ง แต่หากประชาชนไม่ได้รับความเป็ฯธรรมจากศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะไปร้องที่ศาลอื่นได้ เนื่องจาก กกต.เป้นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
ในการยื่นคำร้องครั้งนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ พล.ต.จำลอง และนายสมคิด ที่เป็นผู้เสียสิทธิโดยตรง จะยื่นคำร้องโดยเน้นเรื่องการอ้างสิทธิต่อรัฐธรรมนูญ ว่าประชาชนมีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากกระบวนการยุติธรรม ประกอบกับหลักฐานเดิมที่เคยยื่นไปก่อนหน้านี้ ขณะที่ตนมาในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากนางภาณี ถิรังกรู ซึ่งเป็นประชาชนที่ถูกบันทึกและไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตล่วงหน้า ทำให้เสียสิทธิร่วมกับประชาชนอีกราว 2 ล้านคน จะมีการยื่นบางมุมที่ไม่เหมือนกันในเรื่องข้อกฎหมาย โดยจะเน้นเรื่องสาเหตุที่ศาลตัดสินว่า ใช้อำนาจข้อใด แต่ถ้าศาลไม่พิจารณาเลย ประชาชนจะเสียสิทธิตามรัฐธรรมนูญทันที และไม่มีทางที่จะไปฟ้องที่ศาลอื่นได้ เพราะประชาชนจะเสียสิทธิไปตลอดกาลไม่ว่าการเลือกตั้งจะไม่ชอบธรรมหรือ กกต.จะทำผิดพลาดมากน้อยแค่ไหน เราจึงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการสร้างบรรทัดฐานเรื่องนี้ต่อไป
“ครั้งก่อนศาลฎีกาไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง และไม่วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งชอบธรรมหรือไม่ เพียงแต่บอกว่าศาลไม่มีอำนาจที่จะไปพิจารณาเพิกถอนการเลือกตั้ง เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ แต่เราเห็นว่าปแม้จะไม่มีกฎหมาย ก็ไม่สามารถอ้างเหตุเพื่อไม่พิจารณาไม่ได้ เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนว่าประชาชนมีสิทธิที่จะได้รับความยุติธรรม” นายปานเทพ ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายกรณีที่ผ่านมาศาลมักจะยกคำร้อง การยื่นคำร้องอีกครั้งมีความมั่นใจขนาดไหน นายปานเทพ กล่าวว่า เราคิดเพียงว่าต้องลองให้สุดทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ศาลไม่วินิฉัยข้อเท็จจริงก่อนหน้านี้ และชี้แจงว่าไม่มีกฎหมายรองรับ ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันรองรับสิทธิของประชาชน แม้ว่าไม่มีกฎหมายรองรับศาลก็จะเป็นต้องพิจารณาในกรณีแบบนี้ ไม่เช่นนั้นย่อมหมายถึงรัฐธรรมนูญไม่วสามารถใช้ได้ในทางปฏิบัติ ในความเป็นจริงสามารถเทียบเคียงได้กับกรณีสิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ และกรณีที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม จะเห็นได้ว่าประชาชนได้รับสิทธิคุ้มครองทันที แม้ว่ากฎหมายลูกยังไม่ออกมาก็ตาม
ด้าน พล.ต.จำลอง กล่าวเสริมว่า ต้องทบทวนว่าเราไม่ได้เพิ่งมาเริ่มฟ้อง เพราะคราวก่อนที่ยื่นคำร้องไปนั้นก่อนหน้าที่ กกต.จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งด้วยซ้ำ โดยเราเห็นว่าการเลือกตั้งไม่ถูกต้องเป็นโมฆะ เพราะทำให้คน 2 ล้านคนไม่มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกตั้ง ทั้งๆที่ไปที่หน่วยลงคะแนนแล้ว ครั้งนี้มายื่นคำร้องอีกทีหนึ่งว่า ศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งต้องกรุณารับคำร้องและวินิจฉัยเรื่องนี้ มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่มีหนทางใดที่ประชาชนจะไปยื่นฟ้องต่อศาลได้อีก
“เราพยายามไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 72 ของรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ลงคะแนนไม่ได้ ก็ต้องพยายามใช้สิทธิให้ได้ การจะเลือกตั้งได้ก็ต้องมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ถึงจะยุติธรรมสำหรับเรา และเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไปในการป้องกันกรณีนี้ที่ทำให้คนกว่า 2 ล้านคนเสียสิทธิในการเลือกตั้ง หากศาลฎีกาไม่รับคำร้อง ก็ต้องรบกวนให้ผู้ใหญ่ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมออกมาแนะนำว่าให้ไปร้องที่ศาลไหน” พล.ต.จำลอง กล่าว