ASTVผู้จัดการรายวัน-“กิตติรัตน์”ตั้งเป้าส่งออกปี 55 โต 15% ไม่หวั่นเศรษฐกิจสหรัฐฯ อียู ชะลอตัว ชี้ไม่กระทบส่งออก เหตุคนยังต้องกินต้องใช้ พร้อมมอบทูตพาณิชย์แจงคู่ค้า ข้าวไทยราคาสูงขึ้นแน่ ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับภาคส่งออก แต่ต้องการสร้างรายได้ให้คนไทยประเทศด้วย
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2555 คาดน่าจะขยายตัวได้ประมาณ 15% จากปีนี้เป้า 15% มูลค่ามากกว่า 224,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จะทำได้แน่นอน แม้ว่าปีหน้าจะต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) ที่ชะลอตัวลง แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจอียูเกิดขึ้นต่อเนื่องมาอย่างน้อย 2 ปีมาแล้ว และไม่มีผลกระทบกับการส่งออกของไทยมากนัก เพราะผู้บริโภคยังต้องกินต้องใช้สินค้า ส่วนกรณีรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างการแก้ปัญหา และเร็วๆ นี้ น่าจะมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 3 ออกมาได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ และส่งผลให้ยังคงมีการซื้อสินค้า
ทั้งนี้ ผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ จะเป็นผลดีกับประเทศอื่นๆ เพราะระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เปิดกว้างมาก เมื่อมีการกระตุ้นจนทำให้ผู้บริโภคสหรัฐฯ มีเงินมากขึ้น ก็จะนำเข้าสินค้ามากขึ้น จึงเชื่อว่าการส่งออกสินค้าไทยในปี 2554 และ 2555 จะยังคงขยายตัวได้ดี
นายกิตติรัตน์กล่าวว่า การมอบนโยบายการทำงานให้กับหัวหน้าสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ได้ฝากให้ทูตพาณิชย์ให้ความสำคัญกับประเด็นต่างๆ เพื่อผลักดันให้การส่งออกของไทยให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ และยั่งยืน นอกจากนี้ ขอให้ส่งเสริมให้มีการสร้างตราสินค้าไทย, พัฒนาธุรกิจบริการที่มีศักยภาพ, พัฒนาสินค้าและบริการ
ขณะเดียวกัน ได้ขอให้ทูตพาณิชย์ไปชี้แจงให้กับลูกค้าในประเทศที่เป็นผู้นำเข้าข้าวจากไทยให้เข้าใจถึงนโยบายการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ที่มีผลทำให้ราคาข้าวไทยในตลาดโลกสูงขึ้น ซึ่งการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว รัฐบาลไม่ได้ตั้งใจที่จะบิดเบือนกลไกราคา แต่เพื่อช่วยเหลือให้เกษตรกรขายข้าวได้ในราคาสูงขึ้น มีรายได้สูงขึ้นและมีผลต่อเนื่องให้ราคาข้าวไทยสูงขึ้นด้วย
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2555 คาดน่าจะขยายตัวได้ประมาณ 15% จากปีนี้เป้า 15% มูลค่ามากกว่า 224,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จะทำได้แน่นอน แม้ว่าปีหน้าจะต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) ที่ชะลอตัวลง แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจอียูเกิดขึ้นต่อเนื่องมาอย่างน้อย 2 ปีมาแล้ว และไม่มีผลกระทบกับการส่งออกของไทยมากนัก เพราะผู้บริโภคยังต้องกินต้องใช้สินค้า ส่วนกรณีรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างการแก้ปัญหา และเร็วๆ นี้ น่าจะมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 3 ออกมาได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ และส่งผลให้ยังคงมีการซื้อสินค้า
ทั้งนี้ ผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ จะเป็นผลดีกับประเทศอื่นๆ เพราะระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เปิดกว้างมาก เมื่อมีการกระตุ้นจนทำให้ผู้บริโภคสหรัฐฯ มีเงินมากขึ้น ก็จะนำเข้าสินค้ามากขึ้น จึงเชื่อว่าการส่งออกสินค้าไทยในปี 2554 และ 2555 จะยังคงขยายตัวได้ดี
นายกิตติรัตน์กล่าวว่า การมอบนโยบายการทำงานให้กับหัวหน้าสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ได้ฝากให้ทูตพาณิชย์ให้ความสำคัญกับประเด็นต่างๆ เพื่อผลักดันให้การส่งออกของไทยให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ และยั่งยืน นอกจากนี้ ขอให้ส่งเสริมให้มีการสร้างตราสินค้าไทย, พัฒนาธุรกิจบริการที่มีศักยภาพ, พัฒนาสินค้าและบริการ
ขณะเดียวกัน ได้ขอให้ทูตพาณิชย์ไปชี้แจงให้กับลูกค้าในประเทศที่เป็นผู้นำเข้าข้าวจากไทยให้เข้าใจถึงนโยบายการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ที่มีผลทำให้ราคาข้าวไทยในตลาดโลกสูงขึ้น ซึ่งการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว รัฐบาลไม่ได้ตั้งใจที่จะบิดเบือนกลไกราคา แต่เพื่อช่วยเหลือให้เกษตรกรขายข้าวได้ในราคาสูงขึ้น มีรายได้สูงขึ้นและมีผลต่อเนื่องให้ราคาข้าวไทยสูงขึ้นด้วย
