**ถึงคราวฟ้าผ่ากระทรวงยุติธรรม มาแบบเงียบๆ เชียบๆ ด้วยฝีมือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม โผล่เป็นข่าวว่าจะโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงแบบบิ๊กล็อต รุ่งขึ้นเรื่องเข้าครม. ย้ายใหญ่เกือบ 10 ตำแหน่งทันที รวดเร็ว กระชับ ฉับไว !!
สลับปรับเปลี่ยนทั้งเลขาธิการปปง. เลขาธิการปปส. เลขาธิการปปท. มือไม้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของรัฐบาล เรียบวุธ ที่น่าจับตาคือ การเด้ง ชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เข้ากรุเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม แล้วโยกเอา พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้ซึ่งเคยทำคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกับ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม จนทำให้ประชาธิปัตย์เกือบถูกยุบพรรค มาเสียบแทน
การนำพ.ต.อ.สุชาติ บุคคลที่ทราบกันดีว่าแนบชิดกับคนในรัฐบาลมาเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในช่วงที่มีความเคลื่อนไหวการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ เป็นสิ่งที่น่าติดตามอย่างยิ่งว่าจะมาเป็นกลจักรสำคัญขับเคลื่อนหรือไม่ เพราะอธิบดีกรมราชทัณฑ์ต้องเป็นผู้พิจารณาความเห็นเรื่องนี้
เสียงท้วงติงเรื่องรังแกข้าราชการประจำ เรื่องการย้ายล้างบาง เริ่มกลายเป็นเสียงนกเสียงกา ที่รัฐบาลชุดนี้เริ่มปิดหูไม่รับฟังกันไปเสียแล้ว จ้องแต่จะแต่งตั้งคนในฝ่ายของตัวเอง คนที่ตัวเองสั่งการได้เข้ามากันมาหน้าสลอน !!
** จุดมุ่งหมายยิ่งนับวัน ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพุ่งเป้าไปที่การช่วยเหลือคนๆ เดียวเท่านั้น สุดท้ายวาทะที่ “ยิ่งลักษณ์” พร่ำบอกเรื่อยมาว่า "จะมาแก้ไขปัญหาให้คนทั้งประเทศ ไม่ได้ทำอะไรเพื่อคนๆเดียว" มันก็ “ดีแต่พูด” ไม่ต่างกัน คำพูดสวนทางการกระทำชัดเจน
การจัดตั้ง “คณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ” ตามที่กระทรวงยุติธรรม เสนอมาแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย ได้สร้างความงุนงงระคนสงสัย จับต้นชนปลายยังไม่ถูกว่า เพื่อการใดกันแน่ แต่ความหมายที่เป็นรายละเอียดอธิบายไว้นับว่าน่ากลัว หากมีอำนาจเต็มสามารถสั่งการทุกอย่างได้จริง มีหวังโกลาหลแน่สำหรับกระบวนการยุติธรรมไทย
เพราะระบุว่าจะเป็นกลไกขับเคลื่อน การทำงานของทั้งศาล องค์กรตามรัฐธรรมนูญ รัฐสภา และหน่วยงานของรัฐ ให้หลักกฎหมายไปตามหลักนิติธรรม ความชอบธรรม และความเสมอภาคของบุคคลในสังคม มีมาตรฐานเดียว ไม่มีการเลือกปฏิบัติที่เกิดจากอคติต่างๆ ของผู้ที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย
รูปแบบของคณะกรรมการจะประกอบด้วย ประธานคณะกรรมการคนหนึ่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ และกรรมการอื่นอีกไม่เกินสิบสองคน มีอำนาจหน้าที่ เช่น กำหนดยุทธศาสตร์ แนวทาง มาตรการ ข้อเสนอแนะ และกระบวนการต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อเป็นหลักประกันการใช้กฎหมายด้วยความเป็นธรรม สุจริต ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ตามหลักนิติธรรม จัดให้มีเวทีสาธารณะ เน้นการมีส่วนร่วมของสาธารณชนและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของคณะกรรมการเพื่อเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามหลักนิติธรรม
**ครอบศาล ชี้นำกำหนดทิศทางกฎหมายของทุกองค์กร ควบคุมการทำงานขององค์กรต่างๆ กลายเป็นอำนาจฝ่ายบริหารมากำกับเหนืออำนาจส่วนอื่นๆ ทั้งนิติบัญญัติ ตุลาการ ทั้งๆ ที่แต่ละฝ่ายมีการตรวจสอบการใช้อำนาจกันเองอยู่แล้ว การตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวขึ้นมา เหมือนเป็นการเข้ามาซ้อนทับ หากมีอำนาจบริหารจัดการอย่างจริงจัง เข้าไปแทรกแซงส่วนอื่นๆ มีหวังยุ่งแน่
ทั้งศาล ทั้งนิติบัญญัติ ที่มีอำนาจเป็นเอกเทศอยู่แล้ว คงไม่ยอมให้ใครมาขี่คอ กดหัว การเข้ามายุ่มย่ามเหมือนไม่ให้เกียรติกัน คงไม่ยอมปล่อยให้ใครมาบงการลบเหลี่ยมตนเอง ทำให้การตัดสินต่างๆ ไม่เป็นตัวของตัวเอง
และที่รัฐบาลระบุว่า คณะกรรมการชุดนี้จะเป็นเหมือนผู้อภิบาลสังคมในด้านกฎหมาย จะเป็นดูหลักภาพรวมให้เป็นธรรม เสมอภาคกันนั้น เอาอะไรมาวัด !!
แต่ละคนต่างมีมุมมอง แต่ละฝ่ายต่างมีจุดยืน วันนี้จะไปหาใครที่มีความเป็นกลางแท้จริงได้บ้าง แม้แต่พระอรหันต์ยังคงมีกิเลสโน้มเอียง หากมีการตัดสินอย่างหนึ่งอย่างใดออกมา มันย่อมมีทั้งฝ่ายพอใจ และไม่พอใจ หากฝ่ายรัฐบาลไม่พอใจ ฝ่ายผู้มีอำนาจไม่ได้ตามต้องการ ก็จะใช้คณะกรรมการชุดนี้เข้ามาเป็นเครื่องมือ เข้ามาล้วงลูก แทรกแซง กระนั้นหรือ
การแต่งตั้งให้ นายอุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธานกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาตินั้น เป็นที่รู้กันดีทางการเมืองว่า “อุกฤษ” มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ เคยตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการอิสระอำนวยความยุติธรรมและส่งเสริมความยุติธรรม และส่งเสริมสิทธิเสรีภาพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ( กอยส. )
อีกทั้งในช่วงการต่อสู้คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ว่าจ้างนายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ แห่งสำนักกฎหมายนิติธีรฉัตร ที่เป็น ลูกศิษย์ “อุกฤษ” เป็นทนายว่าความให้ นอกจากนี้ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ล่าสุดออกมาเปิดตัวเสนอแนวคิดเรื่องโรดแมปการปรองดอง ก็เป็นศิษย์เอกของ “อุกฤษ” สมัยเรียนนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก็ชัดเจนว่าเป็นคณะกรรมการที่มาจากการบงการของรัฐบาลชัดเจน หาใช่คณะกรรมการที่เป็นกลาง สังคมยอมรับไม่ เพราะหลายคนล้วนทราบประวัติความเป็นมาทางการเมืองของตัวประธานอยู่แล้ว
วันนี้ถ้ารัฐบาลตั้งหลักไม่ดี ไม่หยุดทำอะไรที่ย่ามใจต่อเนื่องมีหวังประเทศเละเทะ รัฐบาลพังพาบก่อนเวลาอันควรแน่
ระบบกฎหมาย หลักนิติธรรม ของประเทศ แม้ว่าฝ่ายพรรคเพื่อไทย ฝ่ายคนเสื้อแดง จะตั้งเป้าโจมตี ตั้งแท่นล้มล้างมาตลอด ด้วยเพราะความไม่พอใจ ไม่เห็นความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ตัดสินอย่างที่ใจตัวเองต้องการ แต่ถ้าหักด้ามพร้าด้วยเข้า ตั้งกรรมการขึ้นมาครอบองค์กรโดยรวมทั้งหมด กำหนดทิศทางให้เป็นไปในแบบของตัวเอง เชื่อว่าทำยาก และคงทำไม่ได้แน่
นอกจากจะเกิดแรงต้านจากองค์กรต่างๆ เองแล้ว กระแสสังคมย่อมไม่เอาด้วยแน่ เพราะใช้อำนาจรัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวจัดการทุกองคาพยพเสียหมด หากยังดึงดันแข็งขืน อาจเกิดวิกฤติรอบใหม่ ม็อบออกมาเต็มบ้านเต็มเมือง จากความลำพอง เหลิงอำนาจของรัฐบาล มุ่งหมายช่วยเหลือคนๆ เดียว
หากคิดจะตีเหล็กตอนร้อน อาศัยการทำงานเชิงประชานิยม ลด แลก แจก แถม พิงหลังคะแนนเสียงประชาชน ควบคู่ไปกับความช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูแล้ว
**ท่าทีมุ่งมั่นตั้งใจทำงานช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ประเทศชาติ ประกาศนโยบายเป็นวาระแห่งชาติ สุดท้ายทุกอย่างอาจพังเพราะวาระแห่ง “ทักษิณ” คนเดียว
สลับปรับเปลี่ยนทั้งเลขาธิการปปง. เลขาธิการปปส. เลขาธิการปปท. มือไม้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของรัฐบาล เรียบวุธ ที่น่าจับตาคือ การเด้ง ชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เข้ากรุเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม แล้วโยกเอา พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้ซึ่งเคยทำคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกับ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม จนทำให้ประชาธิปัตย์เกือบถูกยุบพรรค มาเสียบแทน
การนำพ.ต.อ.สุชาติ บุคคลที่ทราบกันดีว่าแนบชิดกับคนในรัฐบาลมาเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในช่วงที่มีความเคลื่อนไหวการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ เป็นสิ่งที่น่าติดตามอย่างยิ่งว่าจะมาเป็นกลจักรสำคัญขับเคลื่อนหรือไม่ เพราะอธิบดีกรมราชทัณฑ์ต้องเป็นผู้พิจารณาความเห็นเรื่องนี้
เสียงท้วงติงเรื่องรังแกข้าราชการประจำ เรื่องการย้ายล้างบาง เริ่มกลายเป็นเสียงนกเสียงกา ที่รัฐบาลชุดนี้เริ่มปิดหูไม่รับฟังกันไปเสียแล้ว จ้องแต่จะแต่งตั้งคนในฝ่ายของตัวเอง คนที่ตัวเองสั่งการได้เข้ามากันมาหน้าสลอน !!
** จุดมุ่งหมายยิ่งนับวัน ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพุ่งเป้าไปที่การช่วยเหลือคนๆ เดียวเท่านั้น สุดท้ายวาทะที่ “ยิ่งลักษณ์” พร่ำบอกเรื่อยมาว่า "จะมาแก้ไขปัญหาให้คนทั้งประเทศ ไม่ได้ทำอะไรเพื่อคนๆเดียว" มันก็ “ดีแต่พูด” ไม่ต่างกัน คำพูดสวนทางการกระทำชัดเจน
การจัดตั้ง “คณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ” ตามที่กระทรวงยุติธรรม เสนอมาแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย ได้สร้างความงุนงงระคนสงสัย จับต้นชนปลายยังไม่ถูกว่า เพื่อการใดกันแน่ แต่ความหมายที่เป็นรายละเอียดอธิบายไว้นับว่าน่ากลัว หากมีอำนาจเต็มสามารถสั่งการทุกอย่างได้จริง มีหวังโกลาหลแน่สำหรับกระบวนการยุติธรรมไทย
เพราะระบุว่าจะเป็นกลไกขับเคลื่อน การทำงานของทั้งศาล องค์กรตามรัฐธรรมนูญ รัฐสภา และหน่วยงานของรัฐ ให้หลักกฎหมายไปตามหลักนิติธรรม ความชอบธรรม และความเสมอภาคของบุคคลในสังคม มีมาตรฐานเดียว ไม่มีการเลือกปฏิบัติที่เกิดจากอคติต่างๆ ของผู้ที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย
รูปแบบของคณะกรรมการจะประกอบด้วย ประธานคณะกรรมการคนหนึ่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ และกรรมการอื่นอีกไม่เกินสิบสองคน มีอำนาจหน้าที่ เช่น กำหนดยุทธศาสตร์ แนวทาง มาตรการ ข้อเสนอแนะ และกระบวนการต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อเป็นหลักประกันการใช้กฎหมายด้วยความเป็นธรรม สุจริต ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ตามหลักนิติธรรม จัดให้มีเวทีสาธารณะ เน้นการมีส่วนร่วมของสาธารณชนและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของคณะกรรมการเพื่อเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามหลักนิติธรรม
**ครอบศาล ชี้นำกำหนดทิศทางกฎหมายของทุกองค์กร ควบคุมการทำงานขององค์กรต่างๆ กลายเป็นอำนาจฝ่ายบริหารมากำกับเหนืออำนาจส่วนอื่นๆ ทั้งนิติบัญญัติ ตุลาการ ทั้งๆ ที่แต่ละฝ่ายมีการตรวจสอบการใช้อำนาจกันเองอยู่แล้ว การตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวขึ้นมา เหมือนเป็นการเข้ามาซ้อนทับ หากมีอำนาจบริหารจัดการอย่างจริงจัง เข้าไปแทรกแซงส่วนอื่นๆ มีหวังยุ่งแน่
ทั้งศาล ทั้งนิติบัญญัติ ที่มีอำนาจเป็นเอกเทศอยู่แล้ว คงไม่ยอมให้ใครมาขี่คอ กดหัว การเข้ามายุ่มย่ามเหมือนไม่ให้เกียรติกัน คงไม่ยอมปล่อยให้ใครมาบงการลบเหลี่ยมตนเอง ทำให้การตัดสินต่างๆ ไม่เป็นตัวของตัวเอง
และที่รัฐบาลระบุว่า คณะกรรมการชุดนี้จะเป็นเหมือนผู้อภิบาลสังคมในด้านกฎหมาย จะเป็นดูหลักภาพรวมให้เป็นธรรม เสมอภาคกันนั้น เอาอะไรมาวัด !!
แต่ละคนต่างมีมุมมอง แต่ละฝ่ายต่างมีจุดยืน วันนี้จะไปหาใครที่มีความเป็นกลางแท้จริงได้บ้าง แม้แต่พระอรหันต์ยังคงมีกิเลสโน้มเอียง หากมีการตัดสินอย่างหนึ่งอย่างใดออกมา มันย่อมมีทั้งฝ่ายพอใจ และไม่พอใจ หากฝ่ายรัฐบาลไม่พอใจ ฝ่ายผู้มีอำนาจไม่ได้ตามต้องการ ก็จะใช้คณะกรรมการชุดนี้เข้ามาเป็นเครื่องมือ เข้ามาล้วงลูก แทรกแซง กระนั้นหรือ
การแต่งตั้งให้ นายอุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธานกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาตินั้น เป็นที่รู้กันดีทางการเมืองว่า “อุกฤษ” มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ เคยตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการอิสระอำนวยความยุติธรรมและส่งเสริมความยุติธรรม และส่งเสริมสิทธิเสรีภาพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ( กอยส. )
อีกทั้งในช่วงการต่อสู้คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ว่าจ้างนายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ แห่งสำนักกฎหมายนิติธีรฉัตร ที่เป็น ลูกศิษย์ “อุกฤษ” เป็นทนายว่าความให้ นอกจากนี้ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ล่าสุดออกมาเปิดตัวเสนอแนวคิดเรื่องโรดแมปการปรองดอง ก็เป็นศิษย์เอกของ “อุกฤษ” สมัยเรียนนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก็ชัดเจนว่าเป็นคณะกรรมการที่มาจากการบงการของรัฐบาลชัดเจน หาใช่คณะกรรมการที่เป็นกลาง สังคมยอมรับไม่ เพราะหลายคนล้วนทราบประวัติความเป็นมาทางการเมืองของตัวประธานอยู่แล้ว
วันนี้ถ้ารัฐบาลตั้งหลักไม่ดี ไม่หยุดทำอะไรที่ย่ามใจต่อเนื่องมีหวังประเทศเละเทะ รัฐบาลพังพาบก่อนเวลาอันควรแน่
ระบบกฎหมาย หลักนิติธรรม ของประเทศ แม้ว่าฝ่ายพรรคเพื่อไทย ฝ่ายคนเสื้อแดง จะตั้งเป้าโจมตี ตั้งแท่นล้มล้างมาตลอด ด้วยเพราะความไม่พอใจ ไม่เห็นความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ตัดสินอย่างที่ใจตัวเองต้องการ แต่ถ้าหักด้ามพร้าด้วยเข้า ตั้งกรรมการขึ้นมาครอบองค์กรโดยรวมทั้งหมด กำหนดทิศทางให้เป็นไปในแบบของตัวเอง เชื่อว่าทำยาก และคงทำไม่ได้แน่
นอกจากจะเกิดแรงต้านจากองค์กรต่างๆ เองแล้ว กระแสสังคมย่อมไม่เอาด้วยแน่ เพราะใช้อำนาจรัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวจัดการทุกองคาพยพเสียหมด หากยังดึงดันแข็งขืน อาจเกิดวิกฤติรอบใหม่ ม็อบออกมาเต็มบ้านเต็มเมือง จากความลำพอง เหลิงอำนาจของรัฐบาล มุ่งหมายช่วยเหลือคนๆ เดียว
หากคิดจะตีเหล็กตอนร้อน อาศัยการทำงานเชิงประชานิยม ลด แลก แจก แถม พิงหลังคะแนนเสียงประชาชน ควบคู่ไปกับความช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูแล้ว
**ท่าทีมุ่งมั่นตั้งใจทำงานช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ประเทศชาติ ประกาศนโยบายเป็นวาระแห่งชาติ สุดท้ายทุกอย่างอาจพังเพราะวาระแห่ง “ทักษิณ” คนเดียว