“บอดี้เชพ” ปรับยุทธศาสตร์รอบ 18 ปี ขยายฐานธุรกิจสู่ดิสทริบิวเตอร์ ลดเสี่ยงบริการศูนย์ความงามอย่างเดียว พร้อมขยายฐานกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้น เล็งลงทุนตั้งโรงงานทุ่มงบขั้นต่ำ 100 ล้านบาท
นายภูพงษ์ สืบวงศ์ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอดี้เชพ คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับยุทธศาสตร์การดำเนินงาน ใหม่ในรอบ 18 ปี ซึ่งได้เริ่มทยอยทำมาแล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่จากนี้จะมีความ ชัดเจนมากขึ้น ด้วยการขยายธุรกิจจากเดิมที่เป็นธุรกิจบริการศูนย์ความงามบอดี้เชพและคริสตี้ฟรองซ์ สู่ธุรกิจการจัดจำหน่ายสินค้าด้านความงามและสุขภาพ
ซึ่งถือเป็นการลดความเสี่ยงทางธุรกิจด้วย ตั้งเป้าหมาย 3 ปีจากนี้สัดส่วนรายได้จากด้านบริการศูนย์ความงาม 65% และการจัดจำหน่ายสินค้า 35% จากปัจจุบัน ด้านบริการอยู่ที่ 80% และจำหน่ายสินค้า 20% รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าเป้าหมายของบอดี้เชพไปสู่กลุ่มวัยรุ่นและคนเริ่มต้นทำงานอายุ 20 ปีขึ้นไป จากเดิมกลุ่มลูกค้าหลักของบอดี้เชพจะมีอายุ 28 ปีขึ้นไป โดยมีฐานสมาชกิกมาก่า 150,000 คน
โดยธุรกิจศูนย์ความางามนั้นมี 2 แบรนด์หลักคือ บอดี้เชพมี 32 สาขา ล่าสุดเปิดสาขาที่เดอะไนน์พระรามเก้า และรีโนเวทที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ส่วนปีหน้าจะเปิดที่เมกะบานา ยอมรับว่าปีนี้เปิดเพียงสาขาเดียว ส่วนแบรนด์คริสตี้ฟร็องซ์ มี 40 สาขา รวมแล้วทั้งกลุ่มแชร์ 35% จากตลาดรวม 3,000 ล้านบาท ซึ่งธุกริจนี้ก็ยังเติบโตดีต่อเนื่อง
ขณะที่ธุรกิจจัดจำหน่ายมี 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มแบรนด์บอดี้เชพเองเช่น กาแฟ อาหารเสริม เป็นต้น รวมกว่า 11 รายการ 2.กลุ่มนำเข้าจากต่างประเทศมีแล้ว 3 แบรนด์คือ เรโนคินชุดดูแลเส้นผมจากเกาหลีเริ่มทำตลาดปีนี้ แบรดน์อัลพาย ซิล ชุดบำรุงผิวจากนิวซีแลนด์และแบรนด์อิริคสันแลบบอราทอรี่จากฝรั่งเศส ซึ่ง 2 แบรนด์หลังเริ้มจำหน่ายแล้วแต่จะเริ่มทำตลาดปีหน้า ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนสินค้าที่ผลิตเองในไทยด้วยการว่าจ้างโรงงานอื่นผลิตมีประมาณ 70% และเป็นสินค้านำเข้าประมาณ 30% แต่ในอนาคตจะปรับสัดส่วนเป็นสินค้าผลิตเองเหลือ 40% และนำเข้าเพิ่มเป็น 60%
นายภูพงษ์ กล่าวว่า แบรนด์เรโนคิน เป็นชุดดูแลเส้นผม นำเข้าจากเกาหลี วางงบตลาดไว้ที่ 60 ล้านบาท วางจำหน่ายที่ซูเปอร์มาร์เก็ตค่ายเดอะมอลล์ เซ็นทรัล แมกซ์แวลู ราคาแชมพู ราคา 390 บาท คอนดิชั่นเนอร์ 450 บาท และโซลูชั่น 1,850 บาท ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 10,000 ขวดต่อเดือนหรือประมาณ 390 ล้านบาทในช่วงปีแรก หรือมีส่วนแบ่ง 3% โดยใช้วงซิงกูล่าร์เป็นพรีเซ้นเตอร์ สร้างความแตกต่างเพราะตลาดส่วนใหญ่ใช้ผู้หญิงเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ของเราใช้ผู้ชาย และวงนี้มีแฟนเพจมากถึง 498,000 คน อีกด้วย
สำหรับตลาดรวมผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมปัจจุบันนี้มีมูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาทแบ่งเป็น กลุ่มความงาม 9,380 ล้านบาท หรือ 72% กลุ่มขจัดรังแค 2,970 ล้านบาท หรือ 23% กลุ่มเด็ก 650 ล้านบาท หรือ 5% หากแยกเป็นกลุ่มแชมพูประมาณ 9,400 ล้านบาทหรอื 72% กลุ่มครีมนวด 3,600 ล้านบาทหรือ 23% กลุ่มเด็ก 5%
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีช่องทางอื่นที่เป็นร้านค้าปลีกของตัวเอง ที่จำหน่ายสินค้าได้เช่น ร้านบอดี้เชพไลฟ์สไตล์ มี 10 สาา ล่าสุดจะเปิดโฉมใหม่ที่เซ็นทรัลลาดพร้าว โดยส่วนใหญ่สาขาจะตั้งอยู่ในโมเดิร์นเทรดเช่น บิ๊กซี เทสโก้โลตัส, ร้านบอดี้เชฟคาเฟ่ มี 10 สาขา เป็นร้านกาแฟสดและขายแฟรนไชส์ด้วย
นายภูพงษ์กล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตสินค้าของตัวเองรองรับการเติบโตที่ปทุมธานี อยู่ระหว่างเจรจากับญี่ปุ่นที่มีเทคโนโลยีการผลิตและเครื่องจักรอยู่แล้วที่จะถ่ายทอดให้ โดยมีแผนจะผลิตสินค้าสุขภาพและความงามและขวดพลาสติก คาดสรุปได้เร็วๆนี้ ลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของบริษัทฯโดยรวมมีอัตราการเติบโตประมาณ 15% และมั่นใจว่าทั้งปีนี้จะมีการเติบโตรวมที่ 15% เช่นกัน
นายภูพงษ์ สืบวงศ์ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอดี้เชพ คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับยุทธศาสตร์การดำเนินงาน ใหม่ในรอบ 18 ปี ซึ่งได้เริ่มทยอยทำมาแล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่จากนี้จะมีความ ชัดเจนมากขึ้น ด้วยการขยายธุรกิจจากเดิมที่เป็นธุรกิจบริการศูนย์ความงามบอดี้เชพและคริสตี้ฟรองซ์ สู่ธุรกิจการจัดจำหน่ายสินค้าด้านความงามและสุขภาพ
ซึ่งถือเป็นการลดความเสี่ยงทางธุรกิจด้วย ตั้งเป้าหมาย 3 ปีจากนี้สัดส่วนรายได้จากด้านบริการศูนย์ความงาม 65% และการจัดจำหน่ายสินค้า 35% จากปัจจุบัน ด้านบริการอยู่ที่ 80% และจำหน่ายสินค้า 20% รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าเป้าหมายของบอดี้เชพไปสู่กลุ่มวัยรุ่นและคนเริ่มต้นทำงานอายุ 20 ปีขึ้นไป จากเดิมกลุ่มลูกค้าหลักของบอดี้เชพจะมีอายุ 28 ปีขึ้นไป โดยมีฐานสมาชกิกมาก่า 150,000 คน
โดยธุรกิจศูนย์ความางามนั้นมี 2 แบรนด์หลักคือ บอดี้เชพมี 32 สาขา ล่าสุดเปิดสาขาที่เดอะไนน์พระรามเก้า และรีโนเวทที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ส่วนปีหน้าจะเปิดที่เมกะบานา ยอมรับว่าปีนี้เปิดเพียงสาขาเดียว ส่วนแบรนด์คริสตี้ฟร็องซ์ มี 40 สาขา รวมแล้วทั้งกลุ่มแชร์ 35% จากตลาดรวม 3,000 ล้านบาท ซึ่งธุกริจนี้ก็ยังเติบโตดีต่อเนื่อง
ขณะที่ธุรกิจจัดจำหน่ายมี 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มแบรนด์บอดี้เชพเองเช่น กาแฟ อาหารเสริม เป็นต้น รวมกว่า 11 รายการ 2.กลุ่มนำเข้าจากต่างประเทศมีแล้ว 3 แบรนด์คือ เรโนคินชุดดูแลเส้นผมจากเกาหลีเริ่มทำตลาดปีนี้ แบรดน์อัลพาย ซิล ชุดบำรุงผิวจากนิวซีแลนด์และแบรนด์อิริคสันแลบบอราทอรี่จากฝรั่งเศส ซึ่ง 2 แบรนด์หลังเริ้มจำหน่ายแล้วแต่จะเริ่มทำตลาดปีหน้า ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนสินค้าที่ผลิตเองในไทยด้วยการว่าจ้างโรงงานอื่นผลิตมีประมาณ 70% และเป็นสินค้านำเข้าประมาณ 30% แต่ในอนาคตจะปรับสัดส่วนเป็นสินค้าผลิตเองเหลือ 40% และนำเข้าเพิ่มเป็น 60%
นายภูพงษ์ กล่าวว่า แบรนด์เรโนคิน เป็นชุดดูแลเส้นผม นำเข้าจากเกาหลี วางงบตลาดไว้ที่ 60 ล้านบาท วางจำหน่ายที่ซูเปอร์มาร์เก็ตค่ายเดอะมอลล์ เซ็นทรัล แมกซ์แวลู ราคาแชมพู ราคา 390 บาท คอนดิชั่นเนอร์ 450 บาท และโซลูชั่น 1,850 บาท ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 10,000 ขวดต่อเดือนหรือประมาณ 390 ล้านบาทในช่วงปีแรก หรือมีส่วนแบ่ง 3% โดยใช้วงซิงกูล่าร์เป็นพรีเซ้นเตอร์ สร้างความแตกต่างเพราะตลาดส่วนใหญ่ใช้ผู้หญิงเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ของเราใช้ผู้ชาย และวงนี้มีแฟนเพจมากถึง 498,000 คน อีกด้วย
สำหรับตลาดรวมผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมปัจจุบันนี้มีมูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาทแบ่งเป็น กลุ่มความงาม 9,380 ล้านบาท หรือ 72% กลุ่มขจัดรังแค 2,970 ล้านบาท หรือ 23% กลุ่มเด็ก 650 ล้านบาท หรือ 5% หากแยกเป็นกลุ่มแชมพูประมาณ 9,400 ล้านบาทหรอื 72% กลุ่มครีมนวด 3,600 ล้านบาทหรือ 23% กลุ่มเด็ก 5%
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีช่องทางอื่นที่เป็นร้านค้าปลีกของตัวเอง ที่จำหน่ายสินค้าได้เช่น ร้านบอดี้เชพไลฟ์สไตล์ มี 10 สาา ล่าสุดจะเปิดโฉมใหม่ที่เซ็นทรัลลาดพร้าว โดยส่วนใหญ่สาขาจะตั้งอยู่ในโมเดิร์นเทรดเช่น บิ๊กซี เทสโก้โลตัส, ร้านบอดี้เชฟคาเฟ่ มี 10 สาขา เป็นร้านกาแฟสดและขายแฟรนไชส์ด้วย
นายภูพงษ์กล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตสินค้าของตัวเองรองรับการเติบโตที่ปทุมธานี อยู่ระหว่างเจรจากับญี่ปุ่นที่มีเทคโนโลยีการผลิตและเครื่องจักรอยู่แล้วที่จะถ่ายทอดให้ โดยมีแผนจะผลิตสินค้าสุขภาพและความงามและขวดพลาสติก คาดสรุปได้เร็วๆนี้ ลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของบริษัทฯโดยรวมมีอัตราการเติบโตประมาณ 15% และมั่นใจว่าทั้งปีนี้จะมีการเติบโตรวมที่ 15% เช่นกัน