ยูเอสเอ ทูเดย์ – ผู้ใหญ่หลายคนส่ายหน้าเรื่องที่เด็กตกเป็นเหยื่อเพื่อนเกเรที่โรงเรียนและในออนไลน์ บางคนพยายามผลักดันให้รัฐสภาและโรงเรียนเพิ่มความเข้มงวดเพื่อหยุดยั้งการล่วงละเมิดดังกล่าว
แต่ขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่หลายคนกลัวที่จะยอมรับว่า การข่มเหงเป็นปัญหาใหญ่ในที่ทำงานเวลานี้เช่นกัน
กลุ่มซิวิลลิตี้ พาร์ตเนอร์ส เผยว่า ผู้ใหญ่วัยทำงาน 70% ในสหรัฐฯ สารภาพว่าเคยถูกกลั่นแกล้งในออฟฟิศ และ 53-71% ของพฤติกรรมดังกล่าวมาจากผู้บริหาร
เบิร์ต อลิซี นักจิตวิทยาและรองประธานเฮลธ์ แอดโวเคต ผู้ให้บริการโปรแกรมการให้ความช่วยเหลือพนักงานและการสร้างสมดุลชีวิต-งาน เสริมว่าเจ้านายจอมกลั่นแกล้งที่ขณะนี้พบได้มากมายคือสาเหตุที่ทำให้พนักงานไม่กล้าร้องเรียน เพราะกลัวถูกตอบโต้จึงเลือกที่จะลาออกหรืออดทนแทน ซึ่งมักเป็นอย่างหลังมากกว่าเนื่องจากงานทุกวันนี้หายากเต็มที
การกลั่นแกล้งในที่ทำงานไม่ใช่เรื่องใหม่ ซ้ำร้ายยังไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย นอกจากจะเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติหรือล่วงละเมิดเท่านั้น ศาลจึงจะประทับรับฟ้อง
ยกเว้นในกว่า 20 รัฐที่มีกฎหมาย ‘เฮลธ์ตี้ เวิร์กเพลซ’ บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งกำหนดว่าการกลั่นแกล้งในที่ทำงานเป็นการกระทำผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ดี อลิซีบอกว่า แม้ไม่มีกฎมายดังกล่าว แต่บริษัทมากมายเริ่มดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อยับยั้งพฤติกรรมเลวร้ายนั้นแล้วเนื่องจากส่งลบต่อผลประกอบการของบริษัท กล่าวคือการกลั่นแกล้งอาจทำให้บริษัทสูญเงินปีละ 83,000 ดอลลาร์จากการลางานและปัญหาที่เกี่ยวกับความเครียด
บ่อยครั้งที่บริษัทต่างๆ ขอให้อลิซีจัดการฝึกอบรมสร้างความรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการล่วงละเมิด เพื่อให้แน่ใจว่าหัวหน้างานและพนักงานตระหนักถึงพฤติกรรมการกลั่นแกล้ง รวมทั้งขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อปกป้องพนักงาน
แต่ธุรกิจอาจมีมาตรการจูงใจอื่นๆ ในการนำเสนอการฝึกอบรมดังกล่าว
ในการฟ้องร้องบางครั้ง บริษัทที่จัดให้มีการอบรมต่อต้านการรังแกในที่ทำงานอาจใช้เป็นข้อต่อสู้เพื่อไม่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้หากมีพนักงานเป็นโจทก์ฟ้องร้องและชนะคดีถูกล่วงละเมิดหรือเลือกปฏิบัติ หัวหน้างานอาจต้องเป็นผู้รับผิดชอบชำระค่าเสียหายที่ศาลสั่งให้จ่ายชดเชยแก่โจทก์ ถ้าบริษัทพิสูจน์ได้ว่าหัวหน้างานคนนั้นเคยผ่านการอบรมต่อต้านการรังแกในที่ทำงานมาแล้ว
แต่แม้บริษัทจำนวนมากขึ้นให้ความสำคัญกับปัญหานี้ อลิซียังห่วงไม่หาย เพราะหากผู้ก่อเรื่องคือผู้บริหารหัวแก้วหัวแหวนที่ทำเงินเข้าบริษัทปีละหลายล้านดอลลาร์ คงไม่มีใครกล้าหรืออยากไปแตะต้อง
และอีกสิ่งที่อลิซีห่วงคือ การข่มเหงออนไลน์ที่ทุกวันนี้แพร่หลายมาก ไม่ว่าจะจากการเป็นเพื่อนกับหัวหน้างานในเฟซบุ๊ก หรือการสื่อสารออนไลน์รูปแบบอื่นๆ เช่น อีเมล
อลิซีทิ้งท้ายว่า ถ้าพนักงานรู้สึกว่าถูกระรานในที่ทำงาน ควรทำดังต่อไปนี้
ติดต่อโปรแกรมช่วยเหลือพนักงานของบริษัท: แม้พนักงานบางคนอาจกลัวว่าเรื่องจะล่วงรู้ถึงหูผู้ก่อเหตุก็ตาม แต่ก็สมควรเสี่ยงหากเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เป็นอยู่
แจ้งแผนกทรัพยากรบุคคล: แม้ไม่ต้องแจ้งชื่อผู้ก่อเหตุ แต่สิ่งสำคัญคือคุณมีบันทึกเป็นหลักฐาน ดังนั้น หากถูกตอบโต้ คุณก็จะมีข้อพิสูจน์ได้ว่าการตอบโต้นั้นเกิดขึ้นหลังจากที่คุณร้องเรียน
ขอเกียรติศักดิ์ศรีและความเคารพ: อาจไม่จำเป็นต้องร้องเรียน เพียงแต่บอกง่ายๆ ว่าคุณต้องการการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม บ่อยครั้งที่ข้อความเพียงเท่านี้ก็ทำให้บริษัทตัดสินใจนำบุคคลภายนอกเข้ามาให้ความรู้และอบรมหัวหน้างานและพนักงาน
แต่ขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่หลายคนกลัวที่จะยอมรับว่า การข่มเหงเป็นปัญหาใหญ่ในที่ทำงานเวลานี้เช่นกัน
กลุ่มซิวิลลิตี้ พาร์ตเนอร์ส เผยว่า ผู้ใหญ่วัยทำงาน 70% ในสหรัฐฯ สารภาพว่าเคยถูกกลั่นแกล้งในออฟฟิศ และ 53-71% ของพฤติกรรมดังกล่าวมาจากผู้บริหาร
เบิร์ต อลิซี นักจิตวิทยาและรองประธานเฮลธ์ แอดโวเคต ผู้ให้บริการโปรแกรมการให้ความช่วยเหลือพนักงานและการสร้างสมดุลชีวิต-งาน เสริมว่าเจ้านายจอมกลั่นแกล้งที่ขณะนี้พบได้มากมายคือสาเหตุที่ทำให้พนักงานไม่กล้าร้องเรียน เพราะกลัวถูกตอบโต้จึงเลือกที่จะลาออกหรืออดทนแทน ซึ่งมักเป็นอย่างหลังมากกว่าเนื่องจากงานทุกวันนี้หายากเต็มที
การกลั่นแกล้งในที่ทำงานไม่ใช่เรื่องใหม่ ซ้ำร้ายยังไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย นอกจากจะเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติหรือล่วงละเมิดเท่านั้น ศาลจึงจะประทับรับฟ้อง
ยกเว้นในกว่า 20 รัฐที่มีกฎหมาย ‘เฮลธ์ตี้ เวิร์กเพลซ’ บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งกำหนดว่าการกลั่นแกล้งในที่ทำงานเป็นการกระทำผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ดี อลิซีบอกว่า แม้ไม่มีกฎมายดังกล่าว แต่บริษัทมากมายเริ่มดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อยับยั้งพฤติกรรมเลวร้ายนั้นแล้วเนื่องจากส่งลบต่อผลประกอบการของบริษัท กล่าวคือการกลั่นแกล้งอาจทำให้บริษัทสูญเงินปีละ 83,000 ดอลลาร์จากการลางานและปัญหาที่เกี่ยวกับความเครียด
บ่อยครั้งที่บริษัทต่างๆ ขอให้อลิซีจัดการฝึกอบรมสร้างความรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการล่วงละเมิด เพื่อให้แน่ใจว่าหัวหน้างานและพนักงานตระหนักถึงพฤติกรรมการกลั่นแกล้ง รวมทั้งขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อปกป้องพนักงาน
แต่ธุรกิจอาจมีมาตรการจูงใจอื่นๆ ในการนำเสนอการฝึกอบรมดังกล่าว
ในการฟ้องร้องบางครั้ง บริษัทที่จัดให้มีการอบรมต่อต้านการรังแกในที่ทำงานอาจใช้เป็นข้อต่อสู้เพื่อไม่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้หากมีพนักงานเป็นโจทก์ฟ้องร้องและชนะคดีถูกล่วงละเมิดหรือเลือกปฏิบัติ หัวหน้างานอาจต้องเป็นผู้รับผิดชอบชำระค่าเสียหายที่ศาลสั่งให้จ่ายชดเชยแก่โจทก์ ถ้าบริษัทพิสูจน์ได้ว่าหัวหน้างานคนนั้นเคยผ่านการอบรมต่อต้านการรังแกในที่ทำงานมาแล้ว
แต่แม้บริษัทจำนวนมากขึ้นให้ความสำคัญกับปัญหานี้ อลิซียังห่วงไม่หาย เพราะหากผู้ก่อเรื่องคือผู้บริหารหัวแก้วหัวแหวนที่ทำเงินเข้าบริษัทปีละหลายล้านดอลลาร์ คงไม่มีใครกล้าหรืออยากไปแตะต้อง
และอีกสิ่งที่อลิซีห่วงคือ การข่มเหงออนไลน์ที่ทุกวันนี้แพร่หลายมาก ไม่ว่าจะจากการเป็นเพื่อนกับหัวหน้างานในเฟซบุ๊ก หรือการสื่อสารออนไลน์รูปแบบอื่นๆ เช่น อีเมล
อลิซีทิ้งท้ายว่า ถ้าพนักงานรู้สึกว่าถูกระรานในที่ทำงาน ควรทำดังต่อไปนี้
ติดต่อโปรแกรมช่วยเหลือพนักงานของบริษัท: แม้พนักงานบางคนอาจกลัวว่าเรื่องจะล่วงรู้ถึงหูผู้ก่อเหตุก็ตาม แต่ก็สมควรเสี่ยงหากเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เป็นอยู่
แจ้งแผนกทรัพยากรบุคคล: แม้ไม่ต้องแจ้งชื่อผู้ก่อเหตุ แต่สิ่งสำคัญคือคุณมีบันทึกเป็นหลักฐาน ดังนั้น หากถูกตอบโต้ คุณก็จะมีข้อพิสูจน์ได้ว่าการตอบโต้นั้นเกิดขึ้นหลังจากที่คุณร้องเรียน
ขอเกียรติศักดิ์ศรีและความเคารพ: อาจไม่จำเป็นต้องร้องเรียน เพียงแต่บอกง่ายๆ ว่าคุณต้องการการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม บ่อยครั้งที่ข้อความเพียงเท่านี้ก็ทำให้บริษัทตัดสินใจนำบุคคลภายนอกเข้ามาให้ความรู้และอบรมหัวหน้างานและพนักงาน