ASTVผู้จัดการรายวัน – ค่ายหนังไทยเตรียมรับมือการฉายหนังในระบบดิจิตอล เชื่อใน3ปี ปิดฉากโรงฉายแบบธรรมดาในกรุงเทพฯ “จีทีเอช” โว ปีนี้โตแน่ 40-50% แตะ 600 ล้านบาท เหตุหนังทำเงิน เนื้อเรื่องโดนใจ สินค้าจีบขอร่วมสปอนเซอร์เพิ่มขึ้น ส่วนตลาดหนังทั้งปีโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุเกิน 4,000 ล้านบาท
นายวิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม ไท หับ จำกัด หรือ จีทีเอช เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปีนี้ มั่นใจว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมเกิน 4,000 ล้านบาท เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากหลายปัจจัย เช่น รายชื่อภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศหลายเรื่อง อย่าง ทรานฟอร์มเมอร์ส แฮรี่พ็อตเตอร์ ฟาสท์ไฟว์ พระนเรศวร 3 ภาคและภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทอีกหลายเรื่อง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยรายได้จากตั๋วหนังที่โตขึ้น 40% ทั้งที่เกิดจากการปรับราคาตั๋วหนัง การขยายโรงภาพยนตร์ และการเพิ่มขึ้นของโรงภาพยนตร์ระบบดิจิตอล, 3D และ4DX ซึ่งกระตุ้นให้คนหันมาดูหนังมากขึ้นอีก 10%
อย่างไรก็ตามจากการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการปรับโรงภาพยนตร์ฉายในระบบปกติสู่ระบบดิจิตอลนั้น เป็นกระแสที่มาจากสหรัฐอเมริกา แต่เนื่องจากเครื่องมือมีต้นทุนสูง ส่งผลให้ทางค่ายหนังจะต้องมีการช่วยออกค่าใช้จ่าย ซึ่งในไทยจะใช้โมเดลนี้แก้ปัญหาเช่นกัน ในลักษณะเมื่อนำภาพยนตร์ฉายในระบบดิจิตอล จะต้องเสียค่าเครื่องมือบ้างเล็กน้อย
ทั้งนี้ถึงแม้จะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ยังเรียกคืนกลับมาได้จากราคาตั๋วหนังที่มีราคาสูงจากปกตินั่นเอง โดยในประเทศไทยเริ่มนำเรื่องนี้มาพิจารณาหารือกันบ้างแล้ว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและช่วยเหลือฝั่งโรงภาพยนตร์ มองว่าภายใน 2-3 ปี โรงภาพยนตร์ที่ฉายในระบบปกติ จะหมดไปจากกรุงเทพฯ ส่วนต่างจังหวัดอาจจะยังคงมีอยู่
ในส่วนของจีทีเอช ปีนี้วางแผนสร้างภาพยนตร์ 4 เรื่อง ลงทุนเรื่องละ 20-30 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.SuckSeed ห่วยขั้นเทพ เข้าฉายมี.ค. ทำรายได้ 80.45 ล้านบาท 2.ลัดดาแลนด์ เข้าฉาย เม.ย. ทำรายได้ 117 ล้านบาท ทั้งสองเรื่องทำรายได้เกินเป้าที่วางไว้ ส่วนครึ่งปีหลังจะมี 2 เรื่อง คือ 1. Top secret วัยรุ่นพันล้าน เข้าฉายต.ค. 2.ATM เออรัก เออเร่อ เข้าฉายพฤศจิกายนนี้ และซีรีส์ หมวดโอภาส ยอดมือปราบคดีพิศวง
ออกอากาศทางช่อง9 ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.45-21.30 น.จำนวน 26 ตอน ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา
โดยในปีนี้ในแง่ของโคสปอนเซอร์ การไทอินสินค้าในภาพยนตร์ เป็นเรื่องที่ลูกค้าให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้นมาตลอด 3-4 ปี บางเรื่องทำได้ถึง 15-20 ล้านบาท ต่ำสุดอยู่ที่ 3-4 ล้านบาท ส่วนการส่งออกภาพยนตร์ปีนี้ ภาพยนตร์เรื่อง กวนมึนโฮ เป็นภาพยนตร์ที่สามารถตีตลาดสิงคโปร์และอินโดนีเซียได้ดี เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้รายได้เติบโตขึ้น
หรือมั่นใจว่าปีนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 40-50% คิดเป็นมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท จากปีก่อนมีหนังเข้าฉาย 3 เรื่อง มีรายได้ราว 400 ล้านบาท ส่วนปีหน้าจะสร้างหนังเท่าปีนี้
นายวิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม ไท หับ จำกัด หรือ จีทีเอช เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปีนี้ มั่นใจว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมเกิน 4,000 ล้านบาท เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากหลายปัจจัย เช่น รายชื่อภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศหลายเรื่อง อย่าง ทรานฟอร์มเมอร์ส แฮรี่พ็อตเตอร์ ฟาสท์ไฟว์ พระนเรศวร 3 ภาคและภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทอีกหลายเรื่อง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยรายได้จากตั๋วหนังที่โตขึ้น 40% ทั้งที่เกิดจากการปรับราคาตั๋วหนัง การขยายโรงภาพยนตร์ และการเพิ่มขึ้นของโรงภาพยนตร์ระบบดิจิตอล, 3D และ4DX ซึ่งกระตุ้นให้คนหันมาดูหนังมากขึ้นอีก 10%
อย่างไรก็ตามจากการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการปรับโรงภาพยนตร์ฉายในระบบปกติสู่ระบบดิจิตอลนั้น เป็นกระแสที่มาจากสหรัฐอเมริกา แต่เนื่องจากเครื่องมือมีต้นทุนสูง ส่งผลให้ทางค่ายหนังจะต้องมีการช่วยออกค่าใช้จ่าย ซึ่งในไทยจะใช้โมเดลนี้แก้ปัญหาเช่นกัน ในลักษณะเมื่อนำภาพยนตร์ฉายในระบบดิจิตอล จะต้องเสียค่าเครื่องมือบ้างเล็กน้อย
ทั้งนี้ถึงแม้จะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ยังเรียกคืนกลับมาได้จากราคาตั๋วหนังที่มีราคาสูงจากปกตินั่นเอง โดยในประเทศไทยเริ่มนำเรื่องนี้มาพิจารณาหารือกันบ้างแล้ว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและช่วยเหลือฝั่งโรงภาพยนตร์ มองว่าภายใน 2-3 ปี โรงภาพยนตร์ที่ฉายในระบบปกติ จะหมดไปจากกรุงเทพฯ ส่วนต่างจังหวัดอาจจะยังคงมีอยู่
ในส่วนของจีทีเอช ปีนี้วางแผนสร้างภาพยนตร์ 4 เรื่อง ลงทุนเรื่องละ 20-30 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.SuckSeed ห่วยขั้นเทพ เข้าฉายมี.ค. ทำรายได้ 80.45 ล้านบาท 2.ลัดดาแลนด์ เข้าฉาย เม.ย. ทำรายได้ 117 ล้านบาท ทั้งสองเรื่องทำรายได้เกินเป้าที่วางไว้ ส่วนครึ่งปีหลังจะมี 2 เรื่อง คือ 1. Top secret วัยรุ่นพันล้าน เข้าฉายต.ค. 2.ATM เออรัก เออเร่อ เข้าฉายพฤศจิกายนนี้ และซีรีส์ หมวดโอภาส ยอดมือปราบคดีพิศวง
ออกอากาศทางช่อง9 ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.45-21.30 น.จำนวน 26 ตอน ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา
โดยในปีนี้ในแง่ของโคสปอนเซอร์ การไทอินสินค้าในภาพยนตร์ เป็นเรื่องที่ลูกค้าให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้นมาตลอด 3-4 ปี บางเรื่องทำได้ถึง 15-20 ล้านบาท ต่ำสุดอยู่ที่ 3-4 ล้านบาท ส่วนการส่งออกภาพยนตร์ปีนี้ ภาพยนตร์เรื่อง กวนมึนโฮ เป็นภาพยนตร์ที่สามารถตีตลาดสิงคโปร์และอินโดนีเซียได้ดี เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้รายได้เติบโตขึ้น
หรือมั่นใจว่าปีนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 40-50% คิดเป็นมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท จากปีก่อนมีหนังเข้าฉาย 3 เรื่อง มีรายได้ราว 400 ล้านบาท ส่วนปีหน้าจะสร้างหนังเท่าปีนี้