อุตสาหกรรมภาพยนตร์บูม โตแน่ 20% “เอสเอฟ” มั่นใจสิ้นปีโต 25% เหตุรายชื่อหนังทำเงินสูง พร้อมเท 600 ล้านบาท ขยายสาขาเพิ่มอีก 3 แห่ง ย้ำชัดยังไม่มีการปรับราคาตั๋วหนัง มุ่งบริหารจัดการอย่างดีที่สุดแม้ต้นทุนพุ่ง
นายสุพัฒน์ งามวงศ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปีนี้ เชื่อมั่นว่าจะมีการเติบโตสูงถึง 20% เนื่องจากปีนี้มีภาพยนตร์ทำเงินทั้งในและต่างประเทศค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสองและสาม เช่น ฟาสไฟว์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงกว่าเป้าหมายคือ ซัคซี๊ด และลัดดาแลนด์ ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสสองนี้ เอสเอฟน่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน
ขณะที่ไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมามีการเติบโตที่ 15% ทั้งนี้ภาพยนตร์บางส่วนจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสสาม ดังนั้นจึงประเมินว่าในไตรมาสสามน่าจะโตได้อีก 25% รวมถึงในช่วงไตรมาสสี่ด้วย โดยทั้งปีแล้วทางเอสเอฟคาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 25%
สำหรับการเติบโตดังกล่าว นอกจากปัจจัยทางด้านภาพยนตร์ที่เข้าฉายแล้ว ยังมาจากการที่เอสเอฟมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดต่อเนื่องตลอดปี ทั้งกับลูกค้าโดยตรง และกับพาร์ทเนอร์ในการทำโปรโมชั่นร่วมกัน
ขณะที่ในแง่ของการจำหน่ายตั๋วหนังนั้น ยังไม่มีแผนที่จะปรับราคาขึ้นในช่วงนี้ หลังจากที่ปรับไปครั้งล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าต้นทุนบางอย่างจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ทางบริษัทจะเน้นต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆควบคู่กันไปก่อนที่จะตัดสินใจปรับราคาตั๋วหนังอีกครั้ง โดยเฉพาะ 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. การแข่งขันในตลาด 2. ต้นทุนต่างๆ และ 3.ลูกค้า แต่ทั้งนี้พร้อมบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดมากกว่ามุ่งเรื่องการปรับราคาตั๋วหนัง
นายสุพัฒน์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามปีนี้ทางบริษัทพร้อมลงทุนขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ด้วยงบลงทุนรวมกว่า 600 ล้านบาท จำนวน 3 สาขา ประกอบด้วย 1. เทอร์มินอล 21 จะเปิดให้บริการในเดือนต.ค.นี้ ภายใต้แบรนด์ เอสเอฟซีนีม่าซิตี้ จำนวน 8โรง 2.เซ็นทรัล พลาซ่า พระราม9 ในเดือนธ.ค.นี้ ภายใต้แบรนด์ เอสเอฟเอ็กซ์ และ 3.อุบลราชธานี จำนวน 7 โรง ภายใต้แบรนด์เอสเอฟซีนีม่าซิตี้ ขณะที่สาขาเซ็นทรัล ลาดพร้าวนั้น คาดว่าจะกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้งในช่วงเดือนส.ค.ที่จะถึงนี้ พร้อมกับศูนย์การค้า
นายสุพัฒน์ งามวงศ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปีนี้ เชื่อมั่นว่าจะมีการเติบโตสูงถึง 20% เนื่องจากปีนี้มีภาพยนตร์ทำเงินทั้งในและต่างประเทศค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสองและสาม เช่น ฟาสไฟว์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงกว่าเป้าหมายคือ ซัคซี๊ด และลัดดาแลนด์ ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสสองนี้ เอสเอฟน่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน
ขณะที่ไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมามีการเติบโตที่ 15% ทั้งนี้ภาพยนตร์บางส่วนจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสสาม ดังนั้นจึงประเมินว่าในไตรมาสสามน่าจะโตได้อีก 25% รวมถึงในช่วงไตรมาสสี่ด้วย โดยทั้งปีแล้วทางเอสเอฟคาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 25%
สำหรับการเติบโตดังกล่าว นอกจากปัจจัยทางด้านภาพยนตร์ที่เข้าฉายแล้ว ยังมาจากการที่เอสเอฟมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดต่อเนื่องตลอดปี ทั้งกับลูกค้าโดยตรง และกับพาร์ทเนอร์ในการทำโปรโมชั่นร่วมกัน
ขณะที่ในแง่ของการจำหน่ายตั๋วหนังนั้น ยังไม่มีแผนที่จะปรับราคาขึ้นในช่วงนี้ หลังจากที่ปรับไปครั้งล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าต้นทุนบางอย่างจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ทางบริษัทจะเน้นต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆควบคู่กันไปก่อนที่จะตัดสินใจปรับราคาตั๋วหนังอีกครั้ง โดยเฉพาะ 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. การแข่งขันในตลาด 2. ต้นทุนต่างๆ และ 3.ลูกค้า แต่ทั้งนี้พร้อมบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดมากกว่ามุ่งเรื่องการปรับราคาตั๋วหนัง
นายสุพัฒน์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามปีนี้ทางบริษัทพร้อมลงทุนขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ด้วยงบลงทุนรวมกว่า 600 ล้านบาท จำนวน 3 สาขา ประกอบด้วย 1. เทอร์มินอล 21 จะเปิดให้บริการในเดือนต.ค.นี้ ภายใต้แบรนด์ เอสเอฟซีนีม่าซิตี้ จำนวน 8โรง 2.เซ็นทรัล พลาซ่า พระราม9 ในเดือนธ.ค.นี้ ภายใต้แบรนด์ เอสเอฟเอ็กซ์ และ 3.อุบลราชธานี จำนวน 7 โรง ภายใต้แบรนด์เอสเอฟซีนีม่าซิตี้ ขณะที่สาขาเซ็นทรัล ลาดพร้าวนั้น คาดว่าจะกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้งในช่วงเดือนส.ค.ที่จะถึงนี้ พร้อมกับศูนย์การค้า