ASTVผู้จัดการรายวัน – “คอร์ติน่า วอทช์” ลุยตลาดนาฬิกาไทยไม่หยุด สุดได้สิทธิ์อีก 3 แบรนด์ “บุลการี-มองต์บลัง-โอเดอร์มาร์ส ปิเกต์” เสริมพอร์ตโฟลิโอ พร้อมทุ่ม 10 ล้านบาท ผุดบูติกชอปโรเล็กซ์ มั่นใจดันรายได้ปีนี้โต 15%
นายคริส จาติกรัตน์ ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท คอร์ติน่า วอทช์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดนาฬิการวมปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท เติบโต2หลัก โดยที่ตลาดนาฬิการะดับกลางที่มีมูลค่าระหว่าง 10,000 – 100,000 บาท มีส่วนแบ่งกว่า 50% เติบโตดีมาก ส่วนกลุ่มระดับล่างระดับราคาต่ำกว่า 10,000 บาท มีสัดส่วน 20-25% ส่วนตลาดพรีเมียมมีสัดส่วน 20-25% เช่นเดียวกันก็ล้วนเติบโตดี
ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนที่จะรุกตลาดนาฬิกาในไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยแผนนำเข้าแบรนด์ใหม่ในปีนี้อีก 3 แบรนด์ เพื่อตอบสนองทุกกลุ่มตลาด โดยเฉพาะตลาดระดับบนที่มีมูลค่าต่อเรือนมากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไปตลาดยังตอบรับดี เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อสูง จากปัจจุบันที่บริษัทฯมีแบรนด์นาฬิการับผิดชอบทำตลาดในไทยกว่า 30 แบรนด์แล้ว โดยมีระดับราคาตั้งแต่หลักแสนบาทไปถึงหลักสิบล้านบาทต่อเรือน
ล่าสุดได้สิทธิ์ทำตลาดอีก 3 แบรนด์คือ บุลการี (Bvlgari), มองต์บลัง (Montblanc) และ โอเดอร์มาร์ส ปิเกต์ (Audemars Piquet) เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้น และมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันให้ผลประกอบการปีนี้ของบริษัทฯเติบโตอีก 15% ใกล้เคียงกับตลาดระดับบนที่คาดว่าจะเติบโต 15%
นอกจากนั้นยังลงทุนอีกประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อเปิดบูติกชอปของนาฬิกาแบรนด์โรเล็กซ์ (Rolex) ที่เซ็นทรัลชิดลม พื้นที่ 70 ตารางเมตร และการรีโนเวตชอปที่เซ็นทรัลเวิลด์ด้วย ล่าสุดได้เปิดตัว “คอร์ทิน่าวอทช์เอสเปซ” (Cortina Watch Espace) ที่ศูนย์การค้าเอราวัณแบงคอก ถือเป็นชอปนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย
ปัจจุบันคอร์ติน่าวอทช์มีรายได้หลักมาจากแบรนด์ Patek Philippe รองลงมาคือ Rolex และ Cartier โดยปัจจุบันมีฐานลูกค้ากว่า 5,000 ราย แบ่งเป็นคนไทย 80% ต่างชาติ 20% ซึ่งในปีนี้ฐานลูกค้าจากต่างชาติก็มีการเติบโตไม่แพ้คนไทย เนื่องจากว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้นแล้ว
แผนตลาดครึ่งปีหลัง ล่าสุดนี้ได้เข้าร่วมงาน เซ็นทรัลวอทช์แฟร์ วันที่ 24 ส.ค. – 27 ก.ย.ศกนี้ที่เซ็นทรัลชิดลม ซึ่งไฮไลท์ในงานนี้ของบริษัทฯคือ แบรนด์ ซาการ์ (SARCAR) รุ่น เลอคารูเซล (Le Carrousel) ราคา 12,744,000 บาทต่อเรือน ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่มีเพียงเรือนเดียวในไทย ตัวเรือนนาฬิกาผลิตจากทองคำขาวประดับเพชรรอบเรือน
นายคริส จาติกรัตน์ ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท คอร์ติน่า วอทช์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดนาฬิการวมปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท เติบโต2หลัก โดยที่ตลาดนาฬิการะดับกลางที่มีมูลค่าระหว่าง 10,000 – 100,000 บาท มีส่วนแบ่งกว่า 50% เติบโตดีมาก ส่วนกลุ่มระดับล่างระดับราคาต่ำกว่า 10,000 บาท มีสัดส่วน 20-25% ส่วนตลาดพรีเมียมมีสัดส่วน 20-25% เช่นเดียวกันก็ล้วนเติบโตดี
ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนที่จะรุกตลาดนาฬิกาในไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยแผนนำเข้าแบรนด์ใหม่ในปีนี้อีก 3 แบรนด์ เพื่อตอบสนองทุกกลุ่มตลาด โดยเฉพาะตลาดระดับบนที่มีมูลค่าต่อเรือนมากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไปตลาดยังตอบรับดี เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อสูง จากปัจจุบันที่บริษัทฯมีแบรนด์นาฬิการับผิดชอบทำตลาดในไทยกว่า 30 แบรนด์แล้ว โดยมีระดับราคาตั้งแต่หลักแสนบาทไปถึงหลักสิบล้านบาทต่อเรือน
ล่าสุดได้สิทธิ์ทำตลาดอีก 3 แบรนด์คือ บุลการี (Bvlgari), มองต์บลัง (Montblanc) และ โอเดอร์มาร์ส ปิเกต์ (Audemars Piquet) เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้น และมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันให้ผลประกอบการปีนี้ของบริษัทฯเติบโตอีก 15% ใกล้เคียงกับตลาดระดับบนที่คาดว่าจะเติบโต 15%
นอกจากนั้นยังลงทุนอีกประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อเปิดบูติกชอปของนาฬิกาแบรนด์โรเล็กซ์ (Rolex) ที่เซ็นทรัลชิดลม พื้นที่ 70 ตารางเมตร และการรีโนเวตชอปที่เซ็นทรัลเวิลด์ด้วย ล่าสุดได้เปิดตัว “คอร์ทิน่าวอทช์เอสเปซ” (Cortina Watch Espace) ที่ศูนย์การค้าเอราวัณแบงคอก ถือเป็นชอปนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย
ปัจจุบันคอร์ติน่าวอทช์มีรายได้หลักมาจากแบรนด์ Patek Philippe รองลงมาคือ Rolex และ Cartier โดยปัจจุบันมีฐานลูกค้ากว่า 5,000 ราย แบ่งเป็นคนไทย 80% ต่างชาติ 20% ซึ่งในปีนี้ฐานลูกค้าจากต่างชาติก็มีการเติบโตไม่แพ้คนไทย เนื่องจากว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้นแล้ว
แผนตลาดครึ่งปีหลัง ล่าสุดนี้ได้เข้าร่วมงาน เซ็นทรัลวอทช์แฟร์ วันที่ 24 ส.ค. – 27 ก.ย.ศกนี้ที่เซ็นทรัลชิดลม ซึ่งไฮไลท์ในงานนี้ของบริษัทฯคือ แบรนด์ ซาการ์ (SARCAR) รุ่น เลอคารูเซล (Le Carrousel) ราคา 12,744,000 บาทต่อเรือน ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่มีเพียงเรือนเดียวในไทย ตัวเรือนนาฬิกาผลิตจากทองคำขาวประดับเพชรรอบเรือน