ASTVผู้จัดการรายวัน “คอร์ติน่าวอท์ช” เตรียมแผนสำรองพร้อมใช้ทันทีหากเกิดปัจจัยลบในไตรมาสสุดท้ายนี้ รุกอัดกิจกรรมการขายดันรายได้สิ้นปีโต 15 %
นายคริส จาติกรัตน์ กรรมการบริหาร บริษัท คอร์ติน่า วอท์ช จำกัด ผู้แทนจำหน่ายนาฬิกานำเข้า จากต่างประเทศระดับสูง เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เตรียม แผนงานสำรองไว้ แล้วสำหรับครึ่งปีหลังหรือช่วงไตรมาสสุดท้ายหากเกิด ปัจจัยลบขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง และปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทฯต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อจะได้ปรับเปลี่ยนแผนงานได้ทัน
ทั้งนี้บริษัทฯได้ทำการลดจำนวนการสต๊อกสินค้าให้น้อยลงกว่าเดิม จากเดิมที่ทำการสั่งซื้อสินค้าเพื่อไว้ขาย ประมาณ 3-4 เดือนเป็นจำนวนมาก เพื่อไม่ให้มี สินค้าค้างในสต๊อกมากเกินไปซึ่งเป็นผลมาจากข้อมูที่บริษัทฯพบว่า ปัจจุบันลูกค้าซื้อนาฬิกาในปริมาณที่น้อยลง แต่ซื้อในมูลค่าที่สูงขึ้นระดับราคา 1 ล้านบท จากเดิมอยู่ระดับราคา 2 - 3 แสนบาทที่จะขายดีในช่วง 5ปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันในส่วนของการทำตลาดนั้น ครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯจะรุกทำกิจกรรมการส่งเสริม การขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษายอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดโรดโชว์, การจัดกิจกรรมแบบพิเศษเชิญลูกค้าที่มีความจงรักภักดีกับแบรนด์ต่างๆที่บริษัทมีกว่า 30 แบรนด์ เพื่อร่วมรับประทานอาหารแบบส่วนตัว กับบุคคลพิเศษในทุกเดือน
รวมถึงการมีแบรนด์ที่ หลากหลายเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า เป็นต้น ซึ่งล่าสุด บริษัทฯได้เข้าร่วม งาน “เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์2012” ในช่วง ปลายเดือนนี้ที่เซ็นทรัลชิดลม คาดหวังยอดขายเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งบริษัทฯเข้าร่วมงานดังกล่าวนี้ เป็นระยะเวลา หลายปี และประสบความสำเร็จทุกครั้ง
ส่วนแผนการลงทุนนั้น บริษัทฯวางแผนที่จะขยาย สาขาของร้านคอร์ติน่า วอท์ช ออกต่างจังหวัดมากขึ้น ในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผน และการศึกษา โดยจังหวัดทีมีความเป็นไปได้มากสุดคือ คือ ภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่ เป็นต้น ขณะที่การขยายสาขาในกรุงเทพฯยังอยู่ระหว่างการเจรจากับศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม 2 และ ศูนย์การค้าดิเอ็มบาสซี่ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป
จากปัจจุบันนีที่ คอร์ติน่า วอท์ช มีสาขาที่เซ็นทรัลชิดลม และศูนย์การค้าเอราวัณซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดด้วยพื้นที่กว่า 600 ตารางเมตร
ปัจจุบันคอร์ติน่า วอท์ช มีฐานลุกค้าประมาณ 5,000 กว่าราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระดับสูง และมีการ ซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายว่า ภายใน 2 ปีนับจากนี้ บริษัทฯต้องการได้ลูกค้าใหม่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 1,000 คน จากประชารทั้งหมดที่อาศัยในกรุงเทพฯ 10 ล้านคนที่จะซื้อนาฬิการะดับราคา 1 ล้านบาท/ปี โดยเป้าหมายยอดขายสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโต 15% จากปีที่แล้วที่มียอดขาย 500 ล้านบาท โดยปีนี้ใช้งบการทำตลาดอยู่ที่ 3% ของรายได้รวม
สำหรับนาฬิกาที่บริษัทฯเป็นผู้แทนจำหน่ายประกอบด้วย แบรนด์ดังกว่า 30 แบรนด์ อาทิ Patek Philippe , Rolex , Cartier, Sarcar, Bvlgari, Montblanc, Audemars Piquet, Piguet, Ball, Baume & Mercier, Bell & Ross, Chopard, Chronoswiss, Concord, Ferragamo, Girard Perregaux, Graham, IWC, Jaeger-LeCoultre, Jean Mairet-Gillman, Locman, Longines, Milus, Montblanc, NHC, Nubeo, Omega, Porsche Design, Rolex, Sarcar, Tudor & Wyler. เป็นต้น
*********
คอนโดมิเนียมในพัทยายังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง
9 สิงหาคม 2555 กรุงเทพฯ - ความร้อนแรงของตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยายังคงร้อนแรง อัตราการซื้อขายโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 4.6% จากปีพ.ศ.2554 จากรายงานภาวะตลาดคอนโดมิเนียมพัทยา ณ ครึ่งปีแรก พ.ศ.2555 ของคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
หน่วยที่เปิดขายใหม่รายครึ่งปี ณ ครึ่งปีแรก พ.ศ.2555
Source : Colliers International Thailand Research
หน่วยที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปีพ.ศ.2555 นั้นใกล้เคียงกับครึ่งปีหลังพ.ศ. 2554 เนื่องด้วยมีโครงการที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทจำนวนมาก เปิดขายในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่จอมเทียน
สุรเชษฐ กองชีพ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่าในช่วงระหว่าง 6 เดือนแรกของปีนี้มีคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่มากกว่า 10,000 ยูนิต โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากครึ่งปีหลังของปีพ.ศ. 2554 เนื่องมาจากมีโครงการขนาดใหญ่ที่มียูนิตมากกว่า 1,000 ยูนิตเปิดขายหลายโครงการ
“จอมเทียนเป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเฉพาะตามแนวถนนจอมเทียนสาย 2 ที่มีโครงการขนาดใหญ่ที่มียูนิตมากกว่า 1,000 ยูนิตหลายโครงการที่มีรูปแบบโครงการในสไตล์รีสอร์ท โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ซื้อระดับกลางถึงล่างของตลาด มีราคาขายระหว่าง 800,000 บาท ถึง 3 ล้านบาท ตั้งแต่ปีพ.ศ.2553 ถึงครึ่งปีแรกของปีพ.ศ.2555 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายมากกว่า 13,500 ยูนิต โดยเฉพาะตามแนวถนนจอมเทียนสาย 2”
จากรายงานฉบับล่าสุดของคอลลิเออร์ส ประเทศไทย รายงานว่าประมาณ 5,900 ยูนิตที่มีกำหนดการแล้วเสร็จ และโอนในช่วงครึ่งปีหลังของปีพ.ศ.2555 หรือประมาณ 12% ของหน่วยทั้งหมดในตลาด ประเด็นที่น่าสนใจอีก 1 ประเด็นก็คือจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าน่าจะประมาณ 8 ล้านคนในปีพ.ศ.2555 โครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างของทั้งภาครัฐบาล และเอกชน อีกทั้งการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดคอนโดมิเนียม และอัตราการขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้มั่นใจว่าอนาคตของพัทยานั้นสดใสแน่นอน
ด้านนายมาร์ค โบว์ลิ่ง ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขายและเช่าที่อยู่อาศัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย สาขาพัทยา กล่าวว่า พัทยายังคงเป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากผู้ซื้อชาวไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ระดับกลาง และผู้ประกอบการหลายรายจากกรุงเทพมหานครที่ให้ความสำคัญต่อตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยามากขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินในกรุงเทพฯ ที่สูงขึ้น อีกทั้งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีความน่าสนใจรวมทั้ง พัทยา
“ผู้ประกอบการท้องถิ่นหลายรายประสบปัญหาในการขายห้องให้กับคนไทยในสัดส่วน 51% ของทั้งโครงการ ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่จากกรุงเทพฯ กลับประสบปัญหาในการขายห้องให้กับชาวต่างชาติ แต่กลับขายดีมากในกลุ่มคนไทย เนื่องจากชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้ซื้อชาวไทย มากกว่าในกลุ่มคนต่างชาติ ผู้ซื้อชาวไทยยังคงให้ความเชื่อมั่นต่อผู้ประกอบการรายใหญ่ นอกจากนี้ผู้ประกอบการหลายรายยังเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก และการบริหารโครงการโดยแบรนด์โรงแรมชั้นนำ อีกทั้งเพิ่มสิ่งที่น่าสนใจอืนๆ เช่น สวนน้ำ สวนสนุก และการตกแต่งในรูปแบบแปลกๆ” โบว์ลิ่งกล่าวและเสริมว่า
จำนวนคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในครึ่งปีแรก 2555
ที่มา : คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
“จอมเทียนสามารถตอบสนองต่อกลุ่มลุกค้าทุกระดับ เนื่องจากมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อีกทั้งปริมาณน้ำประปาก็เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการหลายรายยังคงมีแผนการณ์ที่จะเปิดขายโครงการในอนาคต และทำให้มีความเสี่ยงที่จะโอเวอร์ซัพพลายในอนาคต”
นายคริส จาติกรัตน์ กรรมการบริหาร บริษัท คอร์ติน่า วอท์ช จำกัด ผู้แทนจำหน่ายนาฬิกานำเข้า จากต่างประเทศระดับสูง เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เตรียม แผนงานสำรองไว้ แล้วสำหรับครึ่งปีหลังหรือช่วงไตรมาสสุดท้ายหากเกิด ปัจจัยลบขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง และปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทฯต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อจะได้ปรับเปลี่ยนแผนงานได้ทัน
ทั้งนี้บริษัทฯได้ทำการลดจำนวนการสต๊อกสินค้าให้น้อยลงกว่าเดิม จากเดิมที่ทำการสั่งซื้อสินค้าเพื่อไว้ขาย ประมาณ 3-4 เดือนเป็นจำนวนมาก เพื่อไม่ให้มี สินค้าค้างในสต๊อกมากเกินไปซึ่งเป็นผลมาจากข้อมูที่บริษัทฯพบว่า ปัจจุบันลูกค้าซื้อนาฬิกาในปริมาณที่น้อยลง แต่ซื้อในมูลค่าที่สูงขึ้นระดับราคา 1 ล้านบท จากเดิมอยู่ระดับราคา 2 - 3 แสนบาทที่จะขายดีในช่วง 5ปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันในส่วนของการทำตลาดนั้น ครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯจะรุกทำกิจกรรมการส่งเสริม การขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษายอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดโรดโชว์, การจัดกิจกรรมแบบพิเศษเชิญลูกค้าที่มีความจงรักภักดีกับแบรนด์ต่างๆที่บริษัทมีกว่า 30 แบรนด์ เพื่อร่วมรับประทานอาหารแบบส่วนตัว กับบุคคลพิเศษในทุกเดือน
รวมถึงการมีแบรนด์ที่ หลากหลายเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า เป็นต้น ซึ่งล่าสุด บริษัทฯได้เข้าร่วม งาน “เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์2012” ในช่วง ปลายเดือนนี้ที่เซ็นทรัลชิดลม คาดหวังยอดขายเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งบริษัทฯเข้าร่วมงานดังกล่าวนี้ เป็นระยะเวลา หลายปี และประสบความสำเร็จทุกครั้ง
ส่วนแผนการลงทุนนั้น บริษัทฯวางแผนที่จะขยาย สาขาของร้านคอร์ติน่า วอท์ช ออกต่างจังหวัดมากขึ้น ในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผน และการศึกษา โดยจังหวัดทีมีความเป็นไปได้มากสุดคือ คือ ภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่ เป็นต้น ขณะที่การขยายสาขาในกรุงเทพฯยังอยู่ระหว่างการเจรจากับศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม 2 และ ศูนย์การค้าดิเอ็มบาสซี่ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป
จากปัจจุบันนีที่ คอร์ติน่า วอท์ช มีสาขาที่เซ็นทรัลชิดลม และศูนย์การค้าเอราวัณซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดด้วยพื้นที่กว่า 600 ตารางเมตร
ปัจจุบันคอร์ติน่า วอท์ช มีฐานลุกค้าประมาณ 5,000 กว่าราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระดับสูง และมีการ ซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายว่า ภายใน 2 ปีนับจากนี้ บริษัทฯต้องการได้ลูกค้าใหม่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 1,000 คน จากประชารทั้งหมดที่อาศัยในกรุงเทพฯ 10 ล้านคนที่จะซื้อนาฬิการะดับราคา 1 ล้านบาท/ปี โดยเป้าหมายยอดขายสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโต 15% จากปีที่แล้วที่มียอดขาย 500 ล้านบาท โดยปีนี้ใช้งบการทำตลาดอยู่ที่ 3% ของรายได้รวม
สำหรับนาฬิกาที่บริษัทฯเป็นผู้แทนจำหน่ายประกอบด้วย แบรนด์ดังกว่า 30 แบรนด์ อาทิ Patek Philippe , Rolex , Cartier, Sarcar, Bvlgari, Montblanc, Audemars Piquet, Piguet, Ball, Baume & Mercier, Bell & Ross, Chopard, Chronoswiss, Concord, Ferragamo, Girard Perregaux, Graham, IWC, Jaeger-LeCoultre, Jean Mairet-Gillman, Locman, Longines, Milus, Montblanc, NHC, Nubeo, Omega, Porsche Design, Rolex, Sarcar, Tudor & Wyler. เป็นต้น
*********
คอนโดมิเนียมในพัทยายังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง
9 สิงหาคม 2555 กรุงเทพฯ - ความร้อนแรงของตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยายังคงร้อนแรง อัตราการซื้อขายโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 4.6% จากปีพ.ศ.2554 จากรายงานภาวะตลาดคอนโดมิเนียมพัทยา ณ ครึ่งปีแรก พ.ศ.2555 ของคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
หน่วยที่เปิดขายใหม่รายครึ่งปี ณ ครึ่งปีแรก พ.ศ.2555
Source : Colliers International Thailand Research
หน่วยที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปีพ.ศ.2555 นั้นใกล้เคียงกับครึ่งปีหลังพ.ศ. 2554 เนื่องด้วยมีโครงการที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทจำนวนมาก เปิดขายในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่จอมเทียน
สุรเชษฐ กองชีพ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่าในช่วงระหว่าง 6 เดือนแรกของปีนี้มีคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่มากกว่า 10,000 ยูนิต โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากครึ่งปีหลังของปีพ.ศ. 2554 เนื่องมาจากมีโครงการขนาดใหญ่ที่มียูนิตมากกว่า 1,000 ยูนิตเปิดขายหลายโครงการ
“จอมเทียนเป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเฉพาะตามแนวถนนจอมเทียนสาย 2 ที่มีโครงการขนาดใหญ่ที่มียูนิตมากกว่า 1,000 ยูนิตหลายโครงการที่มีรูปแบบโครงการในสไตล์รีสอร์ท โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ซื้อระดับกลางถึงล่างของตลาด มีราคาขายระหว่าง 800,000 บาท ถึง 3 ล้านบาท ตั้งแต่ปีพ.ศ.2553 ถึงครึ่งปีแรกของปีพ.ศ.2555 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายมากกว่า 13,500 ยูนิต โดยเฉพาะตามแนวถนนจอมเทียนสาย 2”
จากรายงานฉบับล่าสุดของคอลลิเออร์ส ประเทศไทย รายงานว่าประมาณ 5,900 ยูนิตที่มีกำหนดการแล้วเสร็จ และโอนในช่วงครึ่งปีหลังของปีพ.ศ.2555 หรือประมาณ 12% ของหน่วยทั้งหมดในตลาด ประเด็นที่น่าสนใจอีก 1 ประเด็นก็คือจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าน่าจะประมาณ 8 ล้านคนในปีพ.ศ.2555 โครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างของทั้งภาครัฐบาล และเอกชน อีกทั้งการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดคอนโดมิเนียม และอัตราการขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้มั่นใจว่าอนาคตของพัทยานั้นสดใสแน่นอน
ด้านนายมาร์ค โบว์ลิ่ง ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขายและเช่าที่อยู่อาศัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย สาขาพัทยา กล่าวว่า พัทยายังคงเป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากผู้ซื้อชาวไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ระดับกลาง และผู้ประกอบการหลายรายจากกรุงเทพมหานครที่ให้ความสำคัญต่อตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยามากขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินในกรุงเทพฯ ที่สูงขึ้น อีกทั้งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีความน่าสนใจรวมทั้ง พัทยา
“ผู้ประกอบการท้องถิ่นหลายรายประสบปัญหาในการขายห้องให้กับคนไทยในสัดส่วน 51% ของทั้งโครงการ ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่จากกรุงเทพฯ กลับประสบปัญหาในการขายห้องให้กับชาวต่างชาติ แต่กลับขายดีมากในกลุ่มคนไทย เนื่องจากชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้ซื้อชาวไทย มากกว่าในกลุ่มคนต่างชาติ ผู้ซื้อชาวไทยยังคงให้ความเชื่อมั่นต่อผู้ประกอบการรายใหญ่ นอกจากนี้ผู้ประกอบการหลายรายยังเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก และการบริหารโครงการโดยแบรนด์โรงแรมชั้นนำ อีกทั้งเพิ่มสิ่งที่น่าสนใจอืนๆ เช่น สวนน้ำ สวนสนุก และการตกแต่งในรูปแบบแปลกๆ” โบว์ลิ่งกล่าวและเสริมว่า
จำนวนคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในครึ่งปีแรก 2555
ที่มา : คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
“จอมเทียนสามารถตอบสนองต่อกลุ่มลุกค้าทุกระดับ เนื่องจากมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อีกทั้งปริมาณน้ำประปาก็เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการหลายรายยังคงมีแผนการณ์ที่จะเปิดขายโครงการในอนาคต และทำให้มีความเสี่ยงที่จะโอเวอร์ซัพพลายในอนาคต”