วานนี้ ( 16 ส.ค.) ศาลปกครองได้จัดงานสื่อมวลชนพบศาลปกครอง โดยมีนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวเปิดงานและบรรยายพิเศษใจความตอนหนึ่งว่า ศาลปกครองเป็นองค์กรตุลาการที่เกิดขึ้นมาตามรัฐธรรมนูญปี 40 ยังถือว่ามีหลายเรื่องที่ค่อนข้างใหม่และมีหลายอย่างยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ซึ่งถือว่าอยู่ในขั้นตอนที่ต้องยกระดับสถานะและพัฒนาองค์กรอีกมาก เพื่อให้ศาลปกครองเป็นเสาหลักของบ้านเมือง ทั้งนี้จากผลงานศาลปกครองที่ผ่านมาตนรู้สึกค่อนข้างพอใจ แต่ยังมีจุดอ่อนบาง เช่น เรื่องความล่าช้าของคดี แต่ทางฝ่ายผู้บริหารพยายามบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความรวดเร็วขึ้น และการเปิดแผนกคดีสิ่งแวดล้อมก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ต้องบริหารจัดการคดีสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อส่วนรวมได้รับการแก้ไขเยียวยาโดยรวดเร็วและเป็นธรรม ฉะนั้นคิดว่าหากจะให้ศาลปกครองเป็นเสาหลักของบ้านเมือง สื่อมวลชนเป็นภาคหนึ่งที่สำคัญในการให้การสนับสนุนอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะการเผยแพร่คำสั่งและคำพิพากษาของศาลปกครอง เพราะในคำสั่งมีแนวปฏิบัติที่หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องนำไปปฏิบัติ หากเป็นเช่นนั้นได้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างภาครัฐและเอกชนก็มีโอกาสลดน้อยลง
อย่างไรก็ตามศาลปกครองยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก นอกจากแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลปกครองทั่วประเทศ โดยศาลปกครองกำลังจัดเตรียมการเปิดแผนกคดีบริหารงานบุคคลที่ว่าด้วยเรื่องของการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งเป็นคดีอีกประเภทหนึ่งที่จะต้องรีบดูแล เพราะผลคำตัดสินสามารถแก้ไขปัญหาในภาพรวมได้ อีกทั้งคดีในลักษณะดังกล่าวนี้มีการฟ้องร้องเป็นจำนวนมากจึงต้องเร่งพิจารณาคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็วมิเช่นนั้นแล้วจะไม่สามารถเยียวยาผู้ฟ้องคดีได้ เนื่องจากผู้ที่ได้รับผลกระทบอาจจะเกษียณอายุราชการไปก่อนที่จะมีคำพิพากษาได้
“ผมในฐานะที่เป็นผู้นำขององค์กรขอยืนยันว่าจะนำศาลปกครองไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ เพื่อให้ศาลปกครองให้ความเป็นธรรมกับสังคม และเป็นเสาหลักให้บ้านเมืองในปัญหาต่างๆที่อยู่ในขอบเขตที่ศาลปกครองจะแก้ไขได้ เราจะทำเต็มความสามารถด้วยความสุจริตตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้ประชาชนร้องยี้ในคำตัดสินของศาลปกครอง ซึ่งสามารถให้หลักประกันได้”นายหัสวุฒิ กล่าวและว่า เป้าหมายต่อไปของศาลปกครอง จะเร่งพิจารณาคดีที่มีการฟ้องร้องก่อนปี 50 ให้เสร็จสิ้นภายในปี 54 นี้ ส่วนคดีที่มีการฟ้องร้องในปี 51-52 จะเร่งพิจารณาคดีให้เสร็จสิ้นภายในปี 55 และต่อไปศาลปกครองจะมีคดีค้างย้อนหลังไม่เกิน 2 ปี และคำพิพากษาที่ออกมาจะต้องตรงไปตรงมา สามารถอธิบายประชาชนให้เข้าใจ
**“วงศ์ศักดิ์”ปัดล้างบาง มท.30คน
นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิพาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวปฏิเเสธว่า จะไม่มีการโยกย้ายข้าราชการระดับ 7-8 กว่า 30 ตำแหน่งแต่เพื่อเยียวยาคนที่เคยถูกโยกย้ายอย่างไม่รู้เรื่อง และไม่มีความผิดไปก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะบางคนที่มีความเชี่ยวชาญในงานเดิมของเขาแล้วถูกย้ายจึงจะย้ายกลับมาทำงานเดิม ซึ่งตนได้คุยกับนายสุรพล พงษ์ทัดศิริกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทยที่ดูแลการโยกย้ายแล้ว เขาก็ไม่ขัดข้อง การโยกย้ายข้าราชการระดับ 7 เป็นอำนาจอธิบดีทำได้ แต่ระดับ 8 ได้เสนอความเห็นให้นายสุรพลพิจารณาแล้วขอนำเรียนนายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทยก่อนจึงจะเปิดเผยได้
**สมยศทิ้งเก้าอี้บอร์ดสมัยเนวิน
มีรายงานข่าวว่า พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.)ได้ เตรียมลาออกจากการเป็นกรรมการ (บอร์ด) ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ 2 แห่ง คือบอร์ดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบอร์ดการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ภายหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ทั้งนี้เพื่อแสดงสปิริตเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล
โดยระบุว่า เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เป็นเพื่อนกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยเพราะนายเนวินไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการทำงานเลย ขณะเดียวกันตนก็ไม่ได้ขัดแย้งกับพล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ที่เข้ามาเป็นรมช.คมนาคมด้วย
** บิ๊กอ๊อดรับปากเหล่าทัพไม่ล้วงโผทหาร
พ.อ.ธนา ธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า จากกรณีที่หลายคนมีความเป็นห่วงเรื่องการโยกย้ายนายทหารนั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม กล่าวในระหว่างการประชุมพูดคุยกับผบ.เหล่าทัพว่า ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวท่านว่า ท่านจะพิจารณาปรับย้ายกำลังพลด้วยความยุติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ ยืนยันว่า จะไม่มีการโยกย้ายนอกฤดูกาล การโยกย้ายที่ไม่ถูกต้อง จะไม่มีเรื่องเหล่านี้แน่นอน ซึ่งเมื่อผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม คือ ผบ.เหล่าทัพได้รับฟังแล้วคงคลายความกังวลใจ เพราะรมว.กลาโหมได้เน้นย้ำเรื่องความโปร่งใสเป็นพิเศษ ส่วนการตั้งนายทหารประสานงาน เพื่อทำหน้าที่ในการประสานงานพูดคุยกับทางเหล่าทัพก่อนที่จะมีการประชุมสภา กลาโหม เพราะบางเรื่องอาจมีความเห็นไม่ตรงกัน ดังนั้นเมื่อมีการประสานพูดคุยทำความเข้าใจกันก่อนก็จะทำให้ไม่เกิดปัญหาภาพ ความขัดแย้งเกิดขึ้น ทั้งนี้นายทหารที่ประสานกับเหล่าทัพไม่ใช่ล็อบบี้ยิสต์ แต่มีหน้าที่ในการการทำงานระหว่างกระทรวงกลาโหมกับเหล่าทัพมีความใกล้ชิดกัน มากยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาช่วงที่พล.อ.วิมล วงศ์วานิช อดีตผู้บัญชาการทหารบกที่มีบุคลิกเฉียบขาดมาดำรงตำแหน่งช่วงเหตุการณ์ พฤษภาคม 2535 ก็ เคยมีการตั้งคณะประสานงานเช่นนี้มาแล้ว ในส่วนของรมว.กลาโหมท่านนี้เข้ามาดำรงตำแหน่งในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงฉับ พลันจึงเห็นว่า การตั้งคณะทหารชุดนี้น่าจะสร้างความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมกับเหล่าทัพ ได้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามศาลปกครองยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก นอกจากแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลปกครองทั่วประเทศ โดยศาลปกครองกำลังจัดเตรียมการเปิดแผนกคดีบริหารงานบุคคลที่ว่าด้วยเรื่องของการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งเป็นคดีอีกประเภทหนึ่งที่จะต้องรีบดูแล เพราะผลคำตัดสินสามารถแก้ไขปัญหาในภาพรวมได้ อีกทั้งคดีในลักษณะดังกล่าวนี้มีการฟ้องร้องเป็นจำนวนมากจึงต้องเร่งพิจารณาคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็วมิเช่นนั้นแล้วจะไม่สามารถเยียวยาผู้ฟ้องคดีได้ เนื่องจากผู้ที่ได้รับผลกระทบอาจจะเกษียณอายุราชการไปก่อนที่จะมีคำพิพากษาได้
“ผมในฐานะที่เป็นผู้นำขององค์กรขอยืนยันว่าจะนำศาลปกครองไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ เพื่อให้ศาลปกครองให้ความเป็นธรรมกับสังคม และเป็นเสาหลักให้บ้านเมืองในปัญหาต่างๆที่อยู่ในขอบเขตที่ศาลปกครองจะแก้ไขได้ เราจะทำเต็มความสามารถด้วยความสุจริตตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้ประชาชนร้องยี้ในคำตัดสินของศาลปกครอง ซึ่งสามารถให้หลักประกันได้”นายหัสวุฒิ กล่าวและว่า เป้าหมายต่อไปของศาลปกครอง จะเร่งพิจารณาคดีที่มีการฟ้องร้องก่อนปี 50 ให้เสร็จสิ้นภายในปี 54 นี้ ส่วนคดีที่มีการฟ้องร้องในปี 51-52 จะเร่งพิจารณาคดีให้เสร็จสิ้นภายในปี 55 และต่อไปศาลปกครองจะมีคดีค้างย้อนหลังไม่เกิน 2 ปี และคำพิพากษาที่ออกมาจะต้องตรงไปตรงมา สามารถอธิบายประชาชนให้เข้าใจ
**“วงศ์ศักดิ์”ปัดล้างบาง มท.30คน
นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิพาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวปฏิเเสธว่า จะไม่มีการโยกย้ายข้าราชการระดับ 7-8 กว่า 30 ตำแหน่งแต่เพื่อเยียวยาคนที่เคยถูกโยกย้ายอย่างไม่รู้เรื่อง และไม่มีความผิดไปก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะบางคนที่มีความเชี่ยวชาญในงานเดิมของเขาแล้วถูกย้ายจึงจะย้ายกลับมาทำงานเดิม ซึ่งตนได้คุยกับนายสุรพล พงษ์ทัดศิริกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทยที่ดูแลการโยกย้ายแล้ว เขาก็ไม่ขัดข้อง การโยกย้ายข้าราชการระดับ 7 เป็นอำนาจอธิบดีทำได้ แต่ระดับ 8 ได้เสนอความเห็นให้นายสุรพลพิจารณาแล้วขอนำเรียนนายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทยก่อนจึงจะเปิดเผยได้
**สมยศทิ้งเก้าอี้บอร์ดสมัยเนวิน
มีรายงานข่าวว่า พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.)ได้ เตรียมลาออกจากการเป็นกรรมการ (บอร์ด) ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ 2 แห่ง คือบอร์ดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบอร์ดการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ภายหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ทั้งนี้เพื่อแสดงสปิริตเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล
โดยระบุว่า เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เป็นเพื่อนกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยเพราะนายเนวินไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการทำงานเลย ขณะเดียวกันตนก็ไม่ได้ขัดแย้งกับพล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ที่เข้ามาเป็นรมช.คมนาคมด้วย
** บิ๊กอ๊อดรับปากเหล่าทัพไม่ล้วงโผทหาร
พ.อ.ธนา ธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า จากกรณีที่หลายคนมีความเป็นห่วงเรื่องการโยกย้ายนายทหารนั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม กล่าวในระหว่างการประชุมพูดคุยกับผบ.เหล่าทัพว่า ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวท่านว่า ท่านจะพิจารณาปรับย้ายกำลังพลด้วยความยุติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ ยืนยันว่า จะไม่มีการโยกย้ายนอกฤดูกาล การโยกย้ายที่ไม่ถูกต้อง จะไม่มีเรื่องเหล่านี้แน่นอน ซึ่งเมื่อผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม คือ ผบ.เหล่าทัพได้รับฟังแล้วคงคลายความกังวลใจ เพราะรมว.กลาโหมได้เน้นย้ำเรื่องความโปร่งใสเป็นพิเศษ ส่วนการตั้งนายทหารประสานงาน เพื่อทำหน้าที่ในการประสานงานพูดคุยกับทางเหล่าทัพก่อนที่จะมีการประชุมสภา กลาโหม เพราะบางเรื่องอาจมีความเห็นไม่ตรงกัน ดังนั้นเมื่อมีการประสานพูดคุยทำความเข้าใจกันก่อนก็จะทำให้ไม่เกิดปัญหาภาพ ความขัดแย้งเกิดขึ้น ทั้งนี้นายทหารที่ประสานกับเหล่าทัพไม่ใช่ล็อบบี้ยิสต์ แต่มีหน้าที่ในการการทำงานระหว่างกระทรวงกลาโหมกับเหล่าทัพมีความใกล้ชิดกัน มากยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาช่วงที่พล.อ.วิมล วงศ์วานิช อดีตผู้บัญชาการทหารบกที่มีบุคลิกเฉียบขาดมาดำรงตำแหน่งช่วงเหตุการณ์ พฤษภาคม 2535 ก็ เคยมีการตั้งคณะประสานงานเช่นนี้มาแล้ว ในส่วนของรมว.กลาโหมท่านนี้เข้ามาดำรงตำแหน่งในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงฉับ พลันจึงเห็นว่า การตั้งคณะทหารชุดนี้น่าจะสร้างความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมกับเหล่าทัพ ได้ดียิ่งขึ้น