ASTVผู้จัดการายวัน – ธุรกิจสระว่ายน้ำยังโตได้แม้เศรษฐกิจโลกชะลอ “พูล แอนด์ สปา” เผยเจ้าของโครงการอสังหาฯ โรงแรม ธุรกิจสปาให้ความสำคัญติดตั้งในโครงการ เชื่อหลังการเมืองนิ่งความเชื่อมั่นฟื้น หวั่นปัญหาวิกฤตการเงินยุโรปฉุดกำลังซื้อลด หันมาใช้สินค้าจากเอเชียถูกกว่ายุโรป 30-40% ล่าสุดร่วมงาน Pool&Spa Exhibition Asia 2011 คาดดันตลาดสระว่ายน้ำโต 15-20%
นางกุลศรา โสณกุล ณ อยุทธยา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท พูล แอนด์ สปา โปรดักส์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทรับก่อสร้างสระว่ายน้ำ ติดตั้งระบบสระว่ายน้ำ สไลเดอร์ บ่อนนวดตัว น้ำร้อนและน้ำพุไฮเทค อุปกรณ์ เคมีภัณฑ์สระว่ายน้ำและสวนน้ำครบวงจรรายใหญ่ของไทย โดยนำเข้าทั้งจากในยุโรปและเอเชีย ซึ่งที่ผ่านมาตลาดรวมสระว่ายน้ำในไทยมีอัตราการเติบโตแบบทรงตัวปีละ 5-10% โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมีการเติบโตไม่ถึง 5% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถ่อยและปัญหาการเมือง ทำให้ลูกค้าเจ้าของโครงการจัดสรร อาคารชุด หรือ โรงแรมรีสอร์ทชะลอการติดตั้งมาจนกระทั้งในปีนี้จึงเริ่มทะยอยติดตั้งหลังจากที่ปัญหาทางการเมืองคลี่คลายและมีรัฐบาลใหม่
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยลบจากปัญหาวิกฤตการเงินในต่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบกำลังซื้อของนักลงทุนหรือเจ้าของโครงการ ทำให้หันมาซื้อสินค้าในราคาที่ถูกลง อาทิ การซื้อสินค้าเกรดเอจากเอเชีย แทนสินค้าเกรดเอจากยุโรป ซึ่งจะมีราคาต่างกันประมาณ 30-40% แต่จะไม่ถึงขั้นไม่ติดตั้งสระว่ายน้ำ เพราะถือเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการและถือเป็นหน้าตาของทางโครงการ
“การที่เงินดอลล่าสหรัฐอ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าเป็นผลดีต่อผู้นำเข้า แต่ถือว่าไม่มากเพราะเมื่อเทียบกับการปรับขึ้นราคาสินค้าของกลุ่มประเทศในแถบยุโรป อเมริกาแล้วถือว่าน้อยมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาปรับขึ้นปีละ 2 ครั้งๆละ 3-8% จากเดิมที่จะปรับขึ้นทุกๆ 2 ปี ส่วนผู้ผลิตสินค้าในเอเชียเองก็ปรับขึ้นราคาสินค้าเช่นเดียวกัน โดยมีสาเหตุเชื่อว่ามาจากราคาน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีค่าภาษีนำเข้าตั้งแต่ 5-30% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า ซึ่งหากมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยนก็เชื่อว่าจะช่วยเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจแต่อาจมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นได้”
ปัจจุบันบริษัทมียอดขายประมาณ 700-800 ล้านบาท/ปี โดยขายผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ ขายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่กว่า 300 รายทั่วประเทศ ในสัดส่วน 60% ขายเข้าโครงการทั้งที่อยู่อาศัยและโรงแรม รีสอร์ท 30% และส่งออกอุปกรณ์สระว่ายน้ำไปยังประเทศเพื่อบ้านอาทิ พม่า ลาว กัมพูชา และสิงคโปร์เป็นต้นอีกประมาณ 10% โดยมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 50% จากมูลค่าตลาดรวมสระว่ายน้ำ 1,400-1,500 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทได้เข้าร่วมในการจัดงาน “Pool&Spa Exhibition Asia 2011” ที่จัดขึ้นครั้งแรกในเมืองไทยและถือเป็นงานใหญ่ระดับเอเชียและเป็นโอกาสในการแสดงความพร้อมของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างผู้ผลิต ผู้นำเข้าสินค้าและผู้ซื้อ รวมไปถึงการเสิรมในการลงทุนด้านสปาที่มีการขยายตัวสูงถึง 20-25% ต่อปี จากมูลค่าตลาดรวม 400 ล้านบาท/ปี อย่างไรก็ตามการจัดงานในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรม หันมาให้ความสำคัญแก่สิ่งอำนวยความสะดวกด้านสระว่ายน้ำและสปา เพื่อสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว โดยคาดว่าหลังจากงานนี้จะทำให้ธุรกิจสระว่ายน้ำของไทยมีการเติบโตอย่างน้อย 15-20%
นางกุลศรา โสณกุล ณ อยุทธยา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท พูล แอนด์ สปา โปรดักส์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทรับก่อสร้างสระว่ายน้ำ ติดตั้งระบบสระว่ายน้ำ สไลเดอร์ บ่อนนวดตัว น้ำร้อนและน้ำพุไฮเทค อุปกรณ์ เคมีภัณฑ์สระว่ายน้ำและสวนน้ำครบวงจรรายใหญ่ของไทย โดยนำเข้าทั้งจากในยุโรปและเอเชีย ซึ่งที่ผ่านมาตลาดรวมสระว่ายน้ำในไทยมีอัตราการเติบโตแบบทรงตัวปีละ 5-10% โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมีการเติบโตไม่ถึง 5% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถ่อยและปัญหาการเมือง ทำให้ลูกค้าเจ้าของโครงการจัดสรร อาคารชุด หรือ โรงแรมรีสอร์ทชะลอการติดตั้งมาจนกระทั้งในปีนี้จึงเริ่มทะยอยติดตั้งหลังจากที่ปัญหาทางการเมืองคลี่คลายและมีรัฐบาลใหม่
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยลบจากปัญหาวิกฤตการเงินในต่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบกำลังซื้อของนักลงทุนหรือเจ้าของโครงการ ทำให้หันมาซื้อสินค้าในราคาที่ถูกลง อาทิ การซื้อสินค้าเกรดเอจากเอเชีย แทนสินค้าเกรดเอจากยุโรป ซึ่งจะมีราคาต่างกันประมาณ 30-40% แต่จะไม่ถึงขั้นไม่ติดตั้งสระว่ายน้ำ เพราะถือเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการและถือเป็นหน้าตาของทางโครงการ
“การที่เงินดอลล่าสหรัฐอ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าเป็นผลดีต่อผู้นำเข้า แต่ถือว่าไม่มากเพราะเมื่อเทียบกับการปรับขึ้นราคาสินค้าของกลุ่มประเทศในแถบยุโรป อเมริกาแล้วถือว่าน้อยมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาปรับขึ้นปีละ 2 ครั้งๆละ 3-8% จากเดิมที่จะปรับขึ้นทุกๆ 2 ปี ส่วนผู้ผลิตสินค้าในเอเชียเองก็ปรับขึ้นราคาสินค้าเช่นเดียวกัน โดยมีสาเหตุเชื่อว่ามาจากราคาน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีค่าภาษีนำเข้าตั้งแต่ 5-30% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า ซึ่งหากมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยนก็เชื่อว่าจะช่วยเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจแต่อาจมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นได้”
ปัจจุบันบริษัทมียอดขายประมาณ 700-800 ล้านบาท/ปี โดยขายผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ ขายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่กว่า 300 รายทั่วประเทศ ในสัดส่วน 60% ขายเข้าโครงการทั้งที่อยู่อาศัยและโรงแรม รีสอร์ท 30% และส่งออกอุปกรณ์สระว่ายน้ำไปยังประเทศเพื่อบ้านอาทิ พม่า ลาว กัมพูชา และสิงคโปร์เป็นต้นอีกประมาณ 10% โดยมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 50% จากมูลค่าตลาดรวมสระว่ายน้ำ 1,400-1,500 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทได้เข้าร่วมในการจัดงาน “Pool&Spa Exhibition Asia 2011” ที่จัดขึ้นครั้งแรกในเมืองไทยและถือเป็นงานใหญ่ระดับเอเชียและเป็นโอกาสในการแสดงความพร้อมของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างผู้ผลิต ผู้นำเข้าสินค้าและผู้ซื้อ รวมไปถึงการเสิรมในการลงทุนด้านสปาที่มีการขยายตัวสูงถึง 20-25% ต่อปี จากมูลค่าตลาดรวม 400 ล้านบาท/ปี อย่างไรก็ตามการจัดงานในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรม หันมาให้ความสำคัญแก่สิ่งอำนวยความสะดวกด้านสระว่ายน้ำและสปา เพื่อสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว โดยคาดว่าหลังจากงานนี้จะทำให้ธุรกิจสระว่ายน้ำของไทยมีการเติบโตอย่างน้อย 15-20%