ASTVผู้จัดการรายวัน - ค่าย“ปอร์เช่” ยิ้มรับยอดขาย “คาเยนน์ ไฮบริด” เอสยูวีลูกผสมพลังไฟฟ้า-น้ำมัน หลังได้รับการสนับสนุนด้านภาษีจากรัฐบาล จนทำราคาขายได้ถูกกว่ารุ่นเครื่องยนต์ปกติ พร้อมเสริมทัพ “พานาเมร่า ไฮบริด” ราคา 9.6 ล้านบาท คาดทั้งสองรุ่นช่วยผลักดันยอดขายรวมเพิ่มเท่าตัว หรือจาก 70-80 คันเป็น 140 คันต่อปี
นายวินธร บุนนาค ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทเปิดตัว ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส ไฮบริด เมื่อปีที่แล้ว ปรากฏว่าได้การตอบรับเป็นอย่างดี จนถึงวันนี้มียอดจองกว่า 100 คัน ซึ่งบริษัทเพิ่งจะเริ่มส่งมอบไปให้ลูกค้าได้เพียง 30 คัน และเตรียมทยอยส่งมอบเพิ่มอีก 25 คันภายในสิ้นปีนี้
“จากความสำเร็จดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราได้ภาษีอัตราพิเศษจากการเป็นรถไฮบริด หรือจ่ายภาษีรวมประมาณ 116% เท่านั้น (ภาษีนำเข้า,ภาษีสรรพสามิต,ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น) เมื่อเทียบกับอัตราปกติ 328% สำหรับรถยนต์นำเข้าที่ใช้เครื่องยนต์เกิน 3000 ซีซี หรือให้กำลังสูงสุด 220 แรงม้า ส่งผลให้บริษัทสามารถทำราคาขาย ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส ไฮบริดได้เพียง 7.9 ล้านบาท ซึ่งต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ปกติที่มีราคา 9.2 ล้านบาท”
อย่างไรก็ตามเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้า ล่าสุดบริษัทจึงเปิดตัว “ปอร์เช่ พานาเมร่า เอส ไฮบริด” รถ 4 ประตูแกรนทัวริสโม่ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ วี6 ขนาด 3.0 ลิตร 333 แรงม้า ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่จะเพิ่มกำลังได้อีก 47 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ทริปทรอนิก 8 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 6.0 วินาที ขณะที่อัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย 6.8 ลิตร/100 กม. สนนราคา 9.6 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองมาแล้ว 15 คัน และบริษัทจะเริ่มส่งมอบรถคันแรกได้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้เป็นต้นไป
นายวินธร กล่าวว่า แม้โรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนี จะผลิตรถไฮบริด 2 รุ่นนี้ได้ไม่พอกับความต้องการของลูกค้า ขณะที่ประเทศไทยโดยเอเอเอส ออโต้เซอร์วิส ก็ได้โควตาจำกัด แต่กระนั้นยังเชื่อว่า ด้วยราคาสมเหตุสมผลจะทำให้ คาเยนน์ ไฮบริด และพานาเมร่า ไฮบริด ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และเข้ามาสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆให้ปอร์เช่ ดังจะเห็นได้จากเดิมบริษัทขาย ปอร์เช่ อยู่ปีละ 70 - 80 คัน แต่ถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะทำยอดถึง 128 คัน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นสัดส่วนของรถไฮบริด 60%
นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมเปิดตัวโฉมใหม่ของ 911 สปอร์ตคาร์รุ่นใหญ่ (รหัส 991) ในช่วงกลางปีหน้า และเมื่อบวกกับรถยนต์ไฮบริดทั้งสองรุ่นที่กำลังได้รับความนิยมแล้ว คาดว่าในปี 2555 ปอร์เช่จะทำยอดขายรวมได้ถึง 140 คัน ในส่วนของการแข่งขันกับผู้นำเข้าอิสระที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น นายวินธร กล่าวว่า ปอร์เช่เป็นรถที่ตลาดให้ความสนใจ อย่างปีนี้คาดว่าบรรดาเกรย์มาร์เก็ตน่าจะขายปอร์เช่รวมประมาณ 40 คัน เนื่องจากมีวิธีการนำเข้า ที่ทำให้สามารถตั้งราคาขายได้ถูกกว่าตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
“ยอดขายเกรย์มาร์เก็ต40 คันต่อปี ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับยอดของบริษัท แต่เรายังเชื่อว่าเกรย์มาร์เก็ตไม่สามารถให้บริการหลังการขาย และซ่อมได้ตามที่รับปากกับลูกค้า ซึ่งต่างจากบริษัท เอเอเอส ที่จัดการปัญหาทุกอย่างได้ ขณะเดียวกันยังมีการรับประกันจากโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีนาน 9 ปี อีกด้วย จึงอยากให้ลูกค้าชาวไทยหันมาซื้อรถปอร์เช่อย่างถูกต้อง จากตัวแทนจำหน่ายดีกว่า”นายวินธรกล่าว
นายวินธร บุนนาค ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทเปิดตัว ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส ไฮบริด เมื่อปีที่แล้ว ปรากฏว่าได้การตอบรับเป็นอย่างดี จนถึงวันนี้มียอดจองกว่า 100 คัน ซึ่งบริษัทเพิ่งจะเริ่มส่งมอบไปให้ลูกค้าได้เพียง 30 คัน และเตรียมทยอยส่งมอบเพิ่มอีก 25 คันภายในสิ้นปีนี้
“จากความสำเร็จดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราได้ภาษีอัตราพิเศษจากการเป็นรถไฮบริด หรือจ่ายภาษีรวมประมาณ 116% เท่านั้น (ภาษีนำเข้า,ภาษีสรรพสามิต,ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น) เมื่อเทียบกับอัตราปกติ 328% สำหรับรถยนต์นำเข้าที่ใช้เครื่องยนต์เกิน 3000 ซีซี หรือให้กำลังสูงสุด 220 แรงม้า ส่งผลให้บริษัทสามารถทำราคาขาย ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส ไฮบริดได้เพียง 7.9 ล้านบาท ซึ่งต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ปกติที่มีราคา 9.2 ล้านบาท”
อย่างไรก็ตามเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้า ล่าสุดบริษัทจึงเปิดตัว “ปอร์เช่ พานาเมร่า เอส ไฮบริด” รถ 4 ประตูแกรนทัวริสโม่ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ วี6 ขนาด 3.0 ลิตร 333 แรงม้า ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่จะเพิ่มกำลังได้อีก 47 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ทริปทรอนิก 8 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 6.0 วินาที ขณะที่อัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย 6.8 ลิตร/100 กม. สนนราคา 9.6 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองมาแล้ว 15 คัน และบริษัทจะเริ่มส่งมอบรถคันแรกได้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้เป็นต้นไป
นายวินธร กล่าวว่า แม้โรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนี จะผลิตรถไฮบริด 2 รุ่นนี้ได้ไม่พอกับความต้องการของลูกค้า ขณะที่ประเทศไทยโดยเอเอเอส ออโต้เซอร์วิส ก็ได้โควตาจำกัด แต่กระนั้นยังเชื่อว่า ด้วยราคาสมเหตุสมผลจะทำให้ คาเยนน์ ไฮบริด และพานาเมร่า ไฮบริด ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และเข้ามาสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆให้ปอร์เช่ ดังจะเห็นได้จากเดิมบริษัทขาย ปอร์เช่ อยู่ปีละ 70 - 80 คัน แต่ถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะทำยอดถึง 128 คัน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นสัดส่วนของรถไฮบริด 60%
นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมเปิดตัวโฉมใหม่ของ 911 สปอร์ตคาร์รุ่นใหญ่ (รหัส 991) ในช่วงกลางปีหน้า และเมื่อบวกกับรถยนต์ไฮบริดทั้งสองรุ่นที่กำลังได้รับความนิยมแล้ว คาดว่าในปี 2555 ปอร์เช่จะทำยอดขายรวมได้ถึง 140 คัน ในส่วนของการแข่งขันกับผู้นำเข้าอิสระที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น นายวินธร กล่าวว่า ปอร์เช่เป็นรถที่ตลาดให้ความสนใจ อย่างปีนี้คาดว่าบรรดาเกรย์มาร์เก็ตน่าจะขายปอร์เช่รวมประมาณ 40 คัน เนื่องจากมีวิธีการนำเข้า ที่ทำให้สามารถตั้งราคาขายได้ถูกกว่าตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
“ยอดขายเกรย์มาร์เก็ต40 คันต่อปี ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับยอดของบริษัท แต่เรายังเชื่อว่าเกรย์มาร์เก็ตไม่สามารถให้บริการหลังการขาย และซ่อมได้ตามที่รับปากกับลูกค้า ซึ่งต่างจากบริษัท เอเอเอส ที่จัดการปัญหาทุกอย่างได้ ขณะเดียวกันยังมีการรับประกันจากโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีนาน 9 ปี อีกด้วย จึงอยากให้ลูกค้าชาวไทยหันมาซื้อรถปอร์เช่อย่างถูกต้อง จากตัวแทนจำหน่ายดีกว่า”นายวินธรกล่าว