“ปัญญาพลวัตร”
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
มนุษย์มักให้ความสำคัญกับสิ่งที่รับรู้ได้ เห็นได้ชัดเจนในเชิงประจักษ์ และมักด่วนสรุปว่าสิ่งที่ปรากฎนั้นเป็นความจริงแท้ หากสิ่งใดยังไม่ปรากฏให้เห็น ผู้คนทั่วไปมีแนวโน้มละเลย ไม่ให้ความสนใจ หรือไม่ให้ความสำคัญ รวมทั้งอาจสรุปว่าสิ่งนั้นไม่ดำรงอยู่ หรือไม่มีอยู่จริง
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งที่มีพลังในการกระตุ้น ปลุกเร้า กล่อมเกลาให้ผู้คนให้ผู้คนเชื่อและยอมรับได้ง่ายกว่าสิ่งที่ยังไม่ปรากฎ เพราะคนทั่วไปจำนวนมากมีวิธีคิดแบบเรียบง่ายว่า เมื่อสิ่งใดยังไม่ปรากฎให้เห็นก็แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ดำรงอยู่ ไม่เกี่ยวข้องและไม่มีอิทธิพลใดต่อปรากฎการณ์ที่พวกเขากำลังสนใจ
อันที่จริง “สิ่งที่ปรากฏให้เห็น” อาจเป็นได้ในหลายแง่มุม อาจเป็นทั้งความเป็นจริงที่เกือบสมบูรณ์ อาจเป็นจริงบางส่วน หรือ อาจเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับความจริงที่ปรากฏให้เห็น เช่น เมื่อก่อนเกิดเหตุการณ์สึนามิ สภาพความจริงที่ปรากกฎคือ เราเห็นท้องทะเลดูเงียบสงบ น้ำทะเลเหือดแห้งลง ผู้คนสนุกสนานไปกับการจับสัตว์ทะเลที่ถอยลงน้ำไม่ทัน แต่ครั้นเวลาผ่านไปไม่นานความเงียบสงบนั้นก็ถูกแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน และคลื่นยักษ์ที่มีความรุนแรงของการทำลายล้างสูงก็ปรากฏขึ้นมา
ปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถเรียนรู้ และสามารถเสาะแสวงหาข้อมูลลึกลงไปถึงแบบแผนของสิ่งที่ยังไม่ปรากฎออกมาได้ไม่ยากนัก เพราะสิ่งที่ยังไม่ปรากฏของธรรมชาตินั้นหากมันเกิดขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง ผู้คนก็สามารถเรียนรู้แบบแผนกระบวนการก่อเกิด และสรุปเอาไว้เป็นบทเรียนเพื่อรับมือในอนาคตได้อย่างค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ยิ่งปรากกฎการณ์ธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากเท่าไร แบบแผนที่เรียนรู้ก็จะมีความแม่นยำยิ่งขึ้น เพราะปรากฎการณ์ธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีความคงเส้นคงวาสูง
หากเราทราบเงื่อนไขที่จำเป็นและเพียงพออันเป็นสาเหตุของปรากฎการณ์ธรรมชาติ เราก็จะสามารถอธิบายและทำนายได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ เพียงแต่ในปรากฎการณ์ที่ดูเหมือนเป็นธรรมชาติบางอย่าง อาจมีความยุ่งยากในการเรียนรู้แบบแผน เพราะว่าการเกิดของมันมิได้มาจากเงื่อนไขทางธรรมชาติเพียงอย่างเดียว มนุษย์กลับกลายเป็นส่วนผสมสำคัญที่ทำให้ปรากฏการณ์นั้นแสดงออกมา เช่น ปรากฎการณ์ภูเขาถล่ม หรือ น้ำท่วม เป็นต้น
ปรากฏการณ์ทางสังคมและการเมืองมีความแตกต่างจากปรากฏการณ์ธรรมชาติค่อนข้างมาก “สิ่งที่ปรากฏให้เห็น” เป็นสิ่งที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งกว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติ หลายครั้งเราหลงนึกคิดไปว่า ปรากฎการณ์ที่แสดงตัวออกมาให้เห็นชัดนั้นเป็นปรากฎการณ์จริง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหรือเราเรียนรู้มากขึ้นเราอาจต้องคิดในทางตรงกันข้าม ซึ่งทำให้เราต้องเปลี่ยนแปลงการรับรู้และแนวทางในการรับมือกับสิ่งที่ปรากฎออกมาในอีกลักษณะหนึ่ง
ปรากฎการณ์ทางสังคมและการเมืองเป็นการกระทำของมนุษย์ซึ่งมีทั้งความปรารถนา มีเจตจำนง มีความคาดหวัง มีความเชื่อ มีกฎเกณฑ์ หน้าที่และบรรทัดฐานทางสังคม เป็นองค์ประกอบในการขับเคลื่อนการกระทำ การกระทำของมนุษย์จำนวนมากที่ปรากฏออกมาให้ผู้อื่นเห็นอาจเป็นการกระทำเพื่อสร้างความเป็นจริงลวงขึ้นมาก็ได้ การเข้าใจปรากฏการณ์ที่แสดงออกมาให้ลึกซึ้งและใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดจำเป็นต้องเข้าใจบริบททางวัฒนธรรม ความปรารถนาและความเชื่อที่อยู่เบื้องหลังการกระทำ
หากให้ผู้คนในสังคมตะวันตกมองปรากฎการณ์การเมืองไทย โดยที่พวกเขาไม่เข้าใจบริบททางวัฒนธรรม ความเชื่อ ความต้องการ และความรู้สึกที่อยู่เบื้องลึกของคนไทย พวกเขาก็มองได้แต่เพียงผิวเผินและสรุปอย่างไร้เดียงสาว่าสิ่งที่ปรากฎให้เห็นเป็นความจริง
ในทางกลับกันหากให้คนไทยมองปรากฎการณ์ทางการเมืองและการกระทำของนักการเมืองในตะวันตก โดยไม่เข้าใจบริบทและความเชื่อของเขา เราก็จะไม่เข้าใจ และนำไปสู่ข้อสรุปที่อาจไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง และหากเราพยายามนำบรรทัดฐาน หลักการของตะวันตก มาใช้ในสังคมไทยอย่างไร้เดียงสา บ่อยครั้งที่เราต้องพบกับความฉงนที่ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างราวกับฟ้ากับดิน
อย่างการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ผู้คนในสังคมไทยจำนวนไม่น้อยวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งที่ปรากฏกับสิ่งที่ไม่ปรากฏมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผู้บริหารพรรคที่ปรากฏตัวออกมาพยายามแสดงให้เห็นว่า ตนเองเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงภายในพรรค โดยมีการออกเป็นมติพรรคว่าให้คุณยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรค คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคลำดับหนึ่ง และเลขาธิการพรรค เป็นผู้ทำหน้าที่ในการจัดตั้งรัฐบาล
การมีมติพรรคเช่นนี้เกิดมาจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมว่า การจัดตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทย อยู่ภายใต้การบงการของกลุ่มบุคคลที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งสมาชิกพรรค หากแต่เป็นพี่ชาย พี่สะใภ้ พี่สาวและพี่เขย ของคุณยิ่งลักษณ์ ดังนั้นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยแสดงออกมาและพยายามทำให้สังคมเห็นคือ การยืนยันว่าผู้บริหารพรรคเป็นผู้มีอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาล ทั้งนี้เพราะตามจารีตประเพณีทางการเมืองไทยและการเมืองแบบประชาธิปไตยทั่วๆไป ผู้บริหารสูงสุดหรือบุคคลที่สมาชิกพรรคยอมรับให้เป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ ย่อมเป็นผู้มีอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาล อันเป็นการแสดงออกถึงการเชื่อมโยงระหว่างอำนาจของประชาชนกับตัวแทนที่พวกเขามอบอำนาจไปให้ ดังนั้นหากผู้บริหารของพรรคไม่มีอำนาจในการตัดสินใจจัดตั้งรัฐบาล ไม่มีอำนาจในการตัดสินว่าใครควรจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใด ย่อมเป็นสิ่งที่แปลกแยกออกไปจากวิถีปฏิบัติของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
กรณีการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยซึ่งมีอำนาจที่ไม่ปรากฏอยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาล หากมองอย่างผิวเผินจากมุมมองของคนนอกสังคมไทย ย่อมมองไม่ทะลุสิ่งที่ปรากฎออกมาอย่างเป็นทางการ แต่หากดูแบบแผนของพัฒนาการของพรรคเพื่อไทย ดูกลุ่มอำนาจที่เคยกำกับบงการพรรคเพื่อไทยโดยเชื่อมโยงกับอดีตที่ไม่ไกลนัก ก็จะเห็นแบบแผนที่อยู่เบื้องหลังได้ไม่ยาก ยกเว้นแต่ว่าคนหรือกลุ่มคนเหล่านั้นมีความไร้เดียงสาในการเมืองไทย และมีอวิชชาครอบงำวิธีคิดอยู่
พรรคเพื่อไทย แปรสภาพมาจากพรรคพลังประชาชนที่ถูกยุบด้วยเหตุที่กรรมการบริหารพรรคกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ส่วนพรรคพลังประชาชนก็แปรสภาพมาจากพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบเพราะใช้วิธีการเข้าสู่อำนาจในลักษณะที่ไม่เป็นประชาธิไตยตามการวินิจฉัยและพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยจึงเป็นมรดกตกทอดหรือแปรสภาพจากพรรคอื่นๆอีกสองพรรคที่กรรมการบริหารพรรคบางคนใช้วิธีการที่ไม่เป็นประชาธิไตยให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน โดยเฉพาะอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นอาชญากรหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลไทย ยังคงเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลสูงสุดของพรรคเพื่อไทย เพราะหากเขาไม่มีอิทธิพลสูงสุด ก็ย่อมไม่สามารถทำให้พรรคเพื่อไทยยอมรับน้องสาวของเขาซึ่งเป็นบุคคลที่ไร้ชื่อเสียง ไร้ประสบการณ์ และไร้บารมีทางการเมือง กลายมาเป็นผู้สมัครลำดับหนึ่งในบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยได้อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นก็มีหลักฐานปรากฏอย่างชัดเจนที่เชื่อมโยงให้เห็นถึงอิทธิพลของเขา อันได้แก่ การที่เขาเป็นผู้คิดและกำหนดนโยบายแก่พรรคเพื่อไทยนำไปใช้ในการหาเสียง และสมาชิกของพรรคเพื่อไทยก็ดูเหมือนจะมีความภาคภูมิใจในสิ่งนี้จึงมีการเขียนประกาศให้สาธารณะทราบอย่างแพร่หลายว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” อันที่จริงโดยนัยที่แอบแฝงอยู่ก็คือ “ทักษิณสั่ง เพื่อไทยทำ” นั่นเอง
ส่วนเครือญาติอาวุโสคนอื่นๆของคุณยิ่งลักษณ์ที่มีอิทธิพลต่อการจัดตั้งรัฐบาล ก็ล้วนแล้วแต่เคยแสดงอิทธิพลของพวกเขามาก่อนสมัยที่อยู่ในพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทย ในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ อิทธิพลของพวกเขาก็ดูเหมือนมิได้ลดน้อยถอยลงไปเท่าไรนัก
แต่ด้วยเหตุที่ว่าพรรคเพื่อไทยซึ่งพยายามอ้างและประกาศต่อสาธารณะอยู่ตลอดเวลาว่า เป็นพรรคที่เชิดชูยึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตย รวมทั้งมีความพยายามในการสร้างภาพลักษณ์ของพรรคว่าเป็นพรรคของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนชาวเสื้อแดง และยังได้วิพากษ์วิจารณ์พรรคคู่แข่งว่าเป็นพรรคของอำมาตย์ แต่ก็เป็นเรื่องตลกร้ายเพราะ พรรคประชาธิปัตย์ที่พวกเขากล่าวหาว่าเป็นอำมาตย์ กลับมีวิธีการเลือกผู้บริหารพรรคที่มีการแข่งขันและใช้วิถีของระบอบประชาธิปไตยมากกว่าพรรคเพื่อไทยซึ่งถูกควบคุมและบงการจากบุคคลที่อยู่นอกพรรค
ความต้องการที่จะแสดงให้ประชาชนเห็นว่า พรรคเพื่อไทย มีความเป็นประชาธิปไตย ผู้บริหารพรรคและคุณยิ่งลักษณ์ จึงต้องสร้างที่ปรากฎออกมาให้สอดคล้องกับสิ่งที่พรรคได้เคยประกาศและสอดคล้องกับความคาดหวังของประชาชน โดยพยายามปกปิด ซ่อนเร้นสิ่งที่ไม่ปรากฏซึ่งควบคุมบงการพรรคอยู่ให้มิดชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ดูเหมือนจะเป็นภารกิจที่ไม่ง่ายเท่าไรนัก เพราะการสั่งสมภูมิปัญญาและการพัฒนาการของการเมืองภาคประชาชนในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนรู้เท่าทันพรรคเพื่อไทยยิ่งขึ้น และเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล หากยังตกอยู่ภายใต้การบงการของคนนอกพรรค ไม่ช้าพรรคเพื่อไทยคงต้องประสบกับชะตากรรมที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชาชน
ยังมีเรื่องราวของภาคประชาชนอีกมากที่พรรคเพื่อไทยไม่รู้ และยังไม่ปรากฏออกมา และหากสิ่งเหล่านั้นปรากฏออกมาเมื่อไร อาจเป็นวันที่ยากลำบากที่สุดของพรรคเพื่อไทย