พิจิตร - บึงสีไฟแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของพิจิตร ใกล้วิกฤตวัชพืช-ผักตบ ปกคลุมเกือบเต็มพื้นที่ ทำให้คุณภาพน้ำตกต่ำ ส่งกลิ่นเน่าเหม็น จนมีปลาตายลอยเป็นแพ เดินซ้ำรอยโปรเจกต์อัปยศ “ท่าเรือน้ำลึกพิจิตร” ที่ผลาญงบมหาศาล สุดท้ายกลายเป็นลานแข่งรถ-ลานรักวัยรุ่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตรเป็นบึงน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของประเทศไทย มีเนื้อที่กว่า 5 พันไร่และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งเดียวของจังหวัดพิจิตร ที่เป็นที่เชิดหน้าชูตา เพราะเป็นที่ตั้งรูปปั้นพญาชาละวันที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังมีศาลาพักผ่อนกลางบึงสีไฟ รวมถึงมีศูนย์แสดงพันธุ์ปลาน้ำจืด บ่อเลี้ยงจระเข้ อุทยานบัว หอชมนก ฯลฯ กำลังกลายเป็นสัญลักษณ์ของการผลาญงบประมาณแผ่นดินอีกแห่งหนึ่งแห่งของจังหวัด หลังจากก่อนหน้านี้ พิจิตร เคยมี “ท่าเรือน้ำลึกพิจิตร” ที่นักการเมือง ดึงงบเข้ามาก่อสร้าง แต่สุดท้ายกลายเป็นอนุสาวรีย์แห่งความอัปยศ - ลานแข่งรถ-ลานรักของวัยรุ่นไปแล้ว
ที่ผ่านมาจังหวัดพิจิตรและหลายส่วนราชการได้อ้างการใช้งบประมาณพัฒนาบึงสีไฟ ทั้งงบไทยเข้มแข็งปี 2553 จำนวน 10 ล้านบาท เพื่อการเกษตรแบบถาวร โดยชลประทานจังหวัดพิจิตรเป็นเจ้าภาพจะขุดลอกและกำจัดผักตบในบึงสีไฟ แต่มองไม่เห็นรูปธรรมชัดเจน
เช่นเดียวกับงบประมาณจากการท่องเที่ยวปี 2552/2553 พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ส.ส.พิจิตร ก็ผลักดันงบผ่านการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ให้จังหวัดพิจิตร ทำอุทยานบัว 40 ล้านบาทเศษ ก็สวยงามอยู่แค่เพียงวันที่เสธ.หนั่น มาเปิดงานเพียงแค่วันเดียว จนถึงทุกวันนี้ ก็ทิ้งไว้เป็นอุทยานร้าง ไม่มีดอกบัวให้เห็นแม้แต่ดอกเดียว
รวมถึงงบประมาณไทยเข้มแข็งปี 2554 จำนวน 64.3 ล้านบาท ก็ผลักดันผ่านการท่องเที่ยวที่กำลังรื้อสวนหย่อมเก่าบริเวณรูปปั้นพญาชาละวันที่ยังมีสภาพดีอยู่ อ้างจะปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ให้สวยงาม ซึ่งรับเหมาโดยกลุ่มธุรกิจสวนเกษตรจากชลบุรี (เจ้าเก่ากับที่ทำอุทยานบัว) จนทำให้ขณะนี้บึงสีไฟผิดเพี้ยนไปจากเดิม
แต่ล่าสุด “บึงสีไฟ” กลับเต็มไปด้วยวัชพืช-ผักตบชวาจำนวนมาก ที่แพร่กระจายปกคลุมเกือบเต็มทั้งพื้นที่ จนทำให้บึงสีไฟ เริ่มประสบปัญหาคุณภาพน้ำ ส่งกลิ่นเหม็นและทำให้ปลาน้ำจืดนานาชนิด ขาดออกซิเจน ตายลอยเป็นแพ
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหาให้แก่บึงสีไฟ กลับมีให้เห็นเพียงประปรายเท่านั้น
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา นายชาติชาย เจียมศรีพงษ์ นายกอบจ.พิจิตร ได้ส่งเครื่องจักรกลเข้าไปช่วยกำจัดผักตบชวาในบึง ขณะที่นายบัณฑูร ตั้งประดิษฐ์ รองนายกเทศบาลเมืองพิจิตร จัดส่งคนงานจำนวน 30 คน ให้เข้าไปสมทบ หวังกอบกู้สถานการณ์ไม่ให้น้ำเน่าเสียในบึงสีไฟขยายวงกว้างไปมากกว่านี้
ด้านนายสุวิทย์ วัชโรทยางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ร่วมกับนายวิชัย สนมฉ่ำ ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดพิจิตร ปล่อยเครื่องจักรกลที่เป็นเรือบรรทุกแบ็กโฮ จำนวน 3 ลำ เพื่อกำจัดผักตบชวาในบึงสีไฟเมื่อวานนี้(1 ส.ค.)
ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร บอกว่า ได้จัดงบประมาณเร่งด่วนจำนวน 2 ล้านบาท มอบให้ทางหลวงชนบท ดำเนินการขุดลอกบึงสีไฟบริเวณด้านหอชมนก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกและถือเป็นอีกจุดหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยว โดยให้เครื่องจักรทำงาน 60 วัน ซึ่งจะสามารถกำจัดผักตบชวาได้ในพื้นที่ตลอดแนวความยาว 750 เมตร และขุดลอกบึงสีไฟให้ลึกลงไปอีก 1 เมตร จะทำให้ได้งานปริมาตรดิน 51,000 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นค่างานลูกบาศก์เมตรละ 39 บาทเศษ
“ถ้าทำสำเร็จก็จะทำให้พื้นที่บริเวณหอชมนกริมบึงสีไฟด้านทิศตะวันตก กลับมาสวยงามและกลับสู่ธรรมชาติอีกครั้ง”
อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่มีการพูดถึงการถมงบประมาณลงไปในบึงสีไฟครั้งแล้ว ครั้งเล่า แต่สุดท้ายแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ กำลังเดินเข้าสู่เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความอัปยศอีกแห่งหนึ่งของพิจิตร หลังจากเคยมี “ท่าเรือน้ำลึกพิจิตร” ทำหน้าที่ประจานการผลาญงบของนักการเมืองมาแล้ว
บรรยายรูป - หลังจาก”บึงสีไฟ” ถูกปล่อยทิ้งให้เต็มไปด้วยวัชพืช และน้ำเน่าส่งกลิ่นเหม็น ประจานความไม่สนใจใยดีของผู้ที่ต้องดูแลรับผิดชอบ ตอนนี้หลายหน่วยงานรวมทั้งจังหวัดเริ่มตื่นตัวเข้ามาจัดการปัญหาแล้ว