วันนี้ขออนุญาต นำความเห็นของ คุณชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ความเห็นของท่านนี้ ทำไมต้องนำมาวิเคราะห์ ก็เพราะจะได้เห็นว่า ขนาดนักวิชาการใหญ่ยังเลอะเลือนเรื่องระบอบประชาธิปไตย เคยสอนนักศึกษามามากต่อมาก เคยเขียนบทความเสนอความเห็นมาก็มากมาย แต่ว่า ท่านผู้นี้ไม่รู้เรื่องระบอบประชาธิปไตยเลย แล้วก็ยังเป็นนักวิชาการตัวแทนแนวคิดฝ่ายเผด็จการรัฐธรรมนูญสายพลเรือนของคณะราษฎรที่ฝ่ายซ้ายอิงแอบอยู่นั่นเอง มาดูความเห็นของเขาบางส่วน
คุณชาญวิทย์ได้เขียนบทความขนาดสั้นชื่อ “ตัวเงินตัวทองร่วมรัก- เกมเก่าของผู้ดี-คนชั้นสูง-ชั้นกลาง-ชาวกรุง” ลงในเฟสบุ๊คส่วนตัวความว่า
ข่าวที่คุณสินสวัสดิ์ ยอดบางเตย สถาบันปรีดีฯ นำมาโพสต์เรื่อง “ตัวเงินตัวทอง” ร่วมรักกันที่รัฐสภานั้นเป็นเกมเก่าที่ใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก (ด้วยการทรมานสัตว์ จับมาปล่อยให้ถูกจังหวะ/เป็นข่าว )เพื่อทำลายระบอบประชาธิปไตย ที่ “ปกติ” ต้องมีการเลือกตั้ง และ “ปกติ”ต้องมีนักการเมือง...(มติชน 30 ก.ค. 54)
แสดงให้เห็นว่า คุณชาญวิทย์ เกษตรศิริ มีอคติใส่ร้ายว่า “ตัวเงินตัวทองร่วมรัก” เป็นเกมเก่าของผู้ดี-คนชั้นสูง-ชั้นกลาง-ชาวกรุงแท้จริง “ตัวเงินตัวทอง” มันจะทำอะไรกันมันก็เป็นธรรมชาติของมันเพราะมันอยู่ใกล้สวนสัตว์ การคิดเลยเถิดไปว่าเป็นแผนของผู้อื่นนั้น ดูเหมือนจะเป็นแนวคิดเดียวกับพวกเสื้อแดงเพื่อขยายความขัดแย้งหรือไม่ก็เชลียร์เอาใจรัฐบาลใหม่เพื่อประโยชน์อะไรบางอย่างหรือไม่
ส่วนการทำลายระบอบประชาธิปไตย อันใครๆ ก็ทำลายไม่ได้ นับแต่ 2475 เป็นต้นมา เพราะยังไม่มีระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นเลยในประเทศไทย ทั้งนี้เพราะไม่เคยมีการสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย จะมีก็แต่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญที่คณะยึดอำนาจ คณะรัฐประหารเป็นผู้จัดทำขึ้นแล้วก็ขัดแย้งกันแตกออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งเป็นพลเรือนมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งคุณชาญวิทย์ เข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย อีกฝ่ายหนึ่งฝ่ายรัฐประหารที่ทนเห็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโกงกินชาติบ้านเมืองไม่ไหว ทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ แต่แล้วก็มายกร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ มันก็เป็นเผด็จการรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฝ่าย ก็แค่ฝ่ายหนึ่งยึดอำนาจ ฝ่ายหนึ่งเลือกตั้ง โดยต่างก็มีลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งเพราะพวกเขาเห็นผิด แล้วก็บิดเบือน โฆษณากันยกใหญ่ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย “ประชาธิปไตยต้องไปเลือกตั้ง” ทำนองนี้ แท้จริงก็คือแนวคิดเผด็จการรัฐธรรมนูญสุดโต่ง 2 ฝ่ายนั่นเอง
การมีระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง คือ ประการแรก ต้องมีการสถาปนาหลักการปกครองโดยผู้มีอำนาจมีปัญญาและรักชาติอย่างแท้จริง หลักการปกครอง (Principle of Government) คือระบอบ อันเป็นสัญญาประชาคม (Social contracts) โดยแก่นสาระสำคัญคือปวงชนในชาติ เราจะมีหลักการปกครองแห่งชาติร่วมกัน เราจะมีหลักแห่งความมั่นคงแห่งชาติร่วมกัน เราจะมีหลักนิติธรรมแห่งชาติร่วมกัน และเรามีจุดมุ่งหมายแห่งชาติร่วมกันในการปกครองโดยธรรม อุปมา ดวงอาทิตย์ต้องมาก่อนเป็นหลักของดาวเคราะห์ ฉันใด หลักการปกครอง (ระบอบ) ต้องสถาปนาก่อนรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น (ผู้เขียนเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9)
ประการที่สอง เมื่อมีการสถาปนาหลักการปกครองเสร็จแล้ว ประชาชนเข้าใจดีแล้ว จากนั้นผู้มีอำนาจทำการยกร่างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเป็นวิธีการปกครอง (Methods of Government) โดยมีหลักการปกครองเป็นศูนย์กลางของรัฐธรรมนูญทุกมาตรา ดังนี้แล้วจึงสำเร็จสมประสงค์ในการสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยธรรม
การที่คณะราษฎรยึดอำนาจได้แล้ว ไปร่างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ทำลายชาติยาวนาน 79 ปี และถูกสืบทอดโดย 2 ฝ่าย 2 แนวทางดังกล่าวและยังมีพวกคอมมิวนิสต์ได้ทำแนวร่วมตามลัทธิเหมาเจ๋อตุงอิงแอบอยู่กับฝ่ายพลเรือน เช่น พรรคเพื่อไทยในขณะนี้
แท้จริงแนวคิดของ คุณชาญวิทย์ เกษตรศิริ ก็คือแนวคิดที่อิงอยู่กับฝ่าย นายปรีดี พนมยงค์ คณะราษฎรฝ่ายพลเรือนเองก็แตกออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมี นายควง อภัยวงศ์ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นหัวเรือใหญ่ที่อิงแอบอยู่กับกองทัพยึดมั่นในระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญอย่างที่สุด ดังเช่น นายชวน นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เป็นต้นโดยที่พวกสานุศิษย์คณะราษฎร ทั้ง 2 ฝ่ายหาได้รู้สำนึกผิดไม่ นี่คืออุปสรรคสำคัญที่แท้จริงของชาติบ้านเมือง
การติติงนักการเมืองว่าเลวทราม การติติงนักวิชาการว่าขายตัว ไม่แสวงหาความรู้ที่แท้จริง เธอก็เป็นได้เพียงอาชญากรทางปัญญาไม่มีคุณค่าอะไร ทั้งยังทำลายชาติประชาชนอีกด้วย ที่พวกเขาเห็นระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้วจะให้เรียกว่าอะไรดี
รัฐบาลใหม่โดยพรรคเพื่อไทย ก็เป็นรัฐบาลที่มาโดยวิธีการประชาธิปไตย (เลือกตั้ง) ภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา นี่คือความจริง และการเลือกตั้งก็เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการขึ้นสู่อำนาจไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ขอให้ คุณชาญวิทย์ เข้าใจถูกต้องจะเป็นคุณต่อลูกศิษย์ลูกหาจะได้ไม่เข้าใจผิดต่อไป
หากรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” กลายเป็น “ยิ่งลัก” สมบัติของชาติไปเป็นพรรคตนและพวกพ้อง ก็จะถูกประชาชนขับไล่หรือถูกยึดอำนาจโค่นระบอบเผด็จการแล้วสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ความถูกต้องในแผ่นดินจะได้เกิดขึ้นจริงเสียที
คุณชาญวิทย์ได้เขียนบทความขนาดสั้นชื่อ “ตัวเงินตัวทองร่วมรัก- เกมเก่าของผู้ดี-คนชั้นสูง-ชั้นกลาง-ชาวกรุง” ลงในเฟสบุ๊คส่วนตัวความว่า
ข่าวที่คุณสินสวัสดิ์ ยอดบางเตย สถาบันปรีดีฯ นำมาโพสต์เรื่อง “ตัวเงินตัวทอง” ร่วมรักกันที่รัฐสภานั้นเป็นเกมเก่าที่ใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก (ด้วยการทรมานสัตว์ จับมาปล่อยให้ถูกจังหวะ/เป็นข่าว )เพื่อทำลายระบอบประชาธิปไตย ที่ “ปกติ” ต้องมีการเลือกตั้ง และ “ปกติ”ต้องมีนักการเมือง...(มติชน 30 ก.ค. 54)
แสดงให้เห็นว่า คุณชาญวิทย์ เกษตรศิริ มีอคติใส่ร้ายว่า “ตัวเงินตัวทองร่วมรัก” เป็นเกมเก่าของผู้ดี-คนชั้นสูง-ชั้นกลาง-ชาวกรุงแท้จริง “ตัวเงินตัวทอง” มันจะทำอะไรกันมันก็เป็นธรรมชาติของมันเพราะมันอยู่ใกล้สวนสัตว์ การคิดเลยเถิดไปว่าเป็นแผนของผู้อื่นนั้น ดูเหมือนจะเป็นแนวคิดเดียวกับพวกเสื้อแดงเพื่อขยายความขัดแย้งหรือไม่ก็เชลียร์เอาใจรัฐบาลใหม่เพื่อประโยชน์อะไรบางอย่างหรือไม่
ส่วนการทำลายระบอบประชาธิปไตย อันใครๆ ก็ทำลายไม่ได้ นับแต่ 2475 เป็นต้นมา เพราะยังไม่มีระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นเลยในประเทศไทย ทั้งนี้เพราะไม่เคยมีการสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย จะมีก็แต่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญที่คณะยึดอำนาจ คณะรัฐประหารเป็นผู้จัดทำขึ้นแล้วก็ขัดแย้งกันแตกออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งเป็นพลเรือนมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งคุณชาญวิทย์ เข้าใจว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย อีกฝ่ายหนึ่งฝ่ายรัฐประหารที่ทนเห็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโกงกินชาติบ้านเมืองไม่ไหว ทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ แต่แล้วก็มายกร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ มันก็เป็นเผด็จการรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฝ่าย ก็แค่ฝ่ายหนึ่งยึดอำนาจ ฝ่ายหนึ่งเลือกตั้ง โดยต่างก็มีลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งเพราะพวกเขาเห็นผิด แล้วก็บิดเบือน โฆษณากันยกใหญ่ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย “ประชาธิปไตยต้องไปเลือกตั้ง” ทำนองนี้ แท้จริงก็คือแนวคิดเผด็จการรัฐธรรมนูญสุดโต่ง 2 ฝ่ายนั่นเอง
การมีระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง คือ ประการแรก ต้องมีการสถาปนาหลักการปกครองโดยผู้มีอำนาจมีปัญญาและรักชาติอย่างแท้จริง หลักการปกครอง (Principle of Government) คือระบอบ อันเป็นสัญญาประชาคม (Social contracts) โดยแก่นสาระสำคัญคือปวงชนในชาติ เราจะมีหลักการปกครองแห่งชาติร่วมกัน เราจะมีหลักแห่งความมั่นคงแห่งชาติร่วมกัน เราจะมีหลักนิติธรรมแห่งชาติร่วมกัน และเรามีจุดมุ่งหมายแห่งชาติร่วมกันในการปกครองโดยธรรม อุปมา ดวงอาทิตย์ต้องมาก่อนเป็นหลักของดาวเคราะห์ ฉันใด หลักการปกครอง (ระบอบ) ต้องสถาปนาก่อนรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น (ผู้เขียนเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9)
ประการที่สอง เมื่อมีการสถาปนาหลักการปกครองเสร็จแล้ว ประชาชนเข้าใจดีแล้ว จากนั้นผู้มีอำนาจทำการยกร่างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเป็นวิธีการปกครอง (Methods of Government) โดยมีหลักการปกครองเป็นศูนย์กลางของรัฐธรรมนูญทุกมาตรา ดังนี้แล้วจึงสำเร็จสมประสงค์ในการสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยธรรม
การที่คณะราษฎรยึดอำนาจได้แล้ว ไปร่างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ทำลายชาติยาวนาน 79 ปี และถูกสืบทอดโดย 2 ฝ่าย 2 แนวทางดังกล่าวและยังมีพวกคอมมิวนิสต์ได้ทำแนวร่วมตามลัทธิเหมาเจ๋อตุงอิงแอบอยู่กับฝ่ายพลเรือน เช่น พรรคเพื่อไทยในขณะนี้
แท้จริงแนวคิดของ คุณชาญวิทย์ เกษตรศิริ ก็คือแนวคิดที่อิงอยู่กับฝ่าย นายปรีดี พนมยงค์ คณะราษฎรฝ่ายพลเรือนเองก็แตกออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมี นายควง อภัยวงศ์ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นหัวเรือใหญ่ที่อิงแอบอยู่กับกองทัพยึดมั่นในระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญอย่างที่สุด ดังเช่น นายชวน นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เป็นต้นโดยที่พวกสานุศิษย์คณะราษฎร ทั้ง 2 ฝ่ายหาได้รู้สำนึกผิดไม่ นี่คืออุปสรรคสำคัญที่แท้จริงของชาติบ้านเมือง
การติติงนักการเมืองว่าเลวทราม การติติงนักวิชาการว่าขายตัว ไม่แสวงหาความรู้ที่แท้จริง เธอก็เป็นได้เพียงอาชญากรทางปัญญาไม่มีคุณค่าอะไร ทั้งยังทำลายชาติประชาชนอีกด้วย ที่พวกเขาเห็นระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้วจะให้เรียกว่าอะไรดี
รัฐบาลใหม่โดยพรรคเพื่อไทย ก็เป็นรัฐบาลที่มาโดยวิธีการประชาธิปไตย (เลือกตั้ง) ภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา นี่คือความจริง และการเลือกตั้งก็เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการขึ้นสู่อำนาจไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ขอให้ คุณชาญวิทย์ เข้าใจถูกต้องจะเป็นคุณต่อลูกศิษย์ลูกหาจะได้ไม่เข้าใจผิดต่อไป
หากรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” กลายเป็น “ยิ่งลัก” สมบัติของชาติไปเป็นพรรคตนและพวกพ้อง ก็จะถูกประชาชนขับไล่หรือถูกยึดอำนาจโค่นระบอบเผด็จการแล้วสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ความถูกต้องในแผ่นดินจะได้เกิดขึ้นจริงเสียที