ASTVผู้จัดการรายวัน - โรงแรมดุสิตเปิดแผนธุรกิจรุกขยายธุรกิจออกต่างประเทศ ชี้ภาพรวมธุรกิจโรงแรมปีนี้ดีขึ้น หลังพบนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาไทย จากปัจจัยบวกการเมืองเริ่มนิ่ง เชื่อหากสถานการณ์ยังนิ่ง คาดสิ้นปีบริษัทมีรายโต 15%
นายชนินทร์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดุสิต อินตอร์เนชั่นแนล ผู้บริหารโรงแรมในเครือดุสิตธานี เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศมากขึ้น ด้วยการเข้าไปตั้งสำนักงานในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน และอินเดีย ล่าสุดบริษัทได้ใช้งบลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท
สำหรับการสร้างโรงแรมในมัลดีฟ คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในเดือน ธ.ค. นี้
นอกจากนี้มีแผนจะเข้าบริหารงานโรงแรมในอาบูดาบี และนิวเดลี ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่ในเมืองไทย บริษัทเตรียมงบประมาณไว้ที่ 200-300 ล้านบาท เพื่อทำการปรับปรุงโรงแรมเดิมที่เปิดให้บริการ 5 แห่ง คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และหัวหิน
ส่วนของภาพรวมของธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากการเมืองไทยเริ่มนิ่งหลังจากเกิดความวุ่นวายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เริ่มกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยโดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวชาวเอเชีย, และตะวันออกกลาง แต่ขณะที่ยุโรปยังกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยไม่มากนัก
เนื่องจากยังไม่มั่นใจในการเมืองของไทย
อย่างไรก็ตามจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวเอเชียและตะวันออกกลางที่เข้ามาท่อเที่ยวในไทยมากขึ้น แต่มาในจำนวนวันที่น้อย เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่จะเข้ามาอยู่ในประเทศไทยค่อนข้างนานคือประมาณ 2-3 สัปดาห์ จึงส่งผลต่อบริษัทต้องมีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจด้วยการหันมาทำการประชาสัมพันธ์ เพื่อกระตุ้นให้ชาวเอเชียและตะวันออกกลางมาเที่ยวในไทยมากขึ้น แม้ว่าจะเข้าเที่ยวในไทยไม่นานเหมือนกับชาวยุโรป เนื่องจากการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวเอเชียและตะวันออกกลางใกล้เคียงกับชาวยุโรป
ทั้งนี้หากการเมืองไทยในปีนี้นิ่งถือเป็นเรื่องดีต่อธุรกิจท่องเที่ยวในปีหน้า เพราะจากปัจจัยลบทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยคงต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวอีก 1-2 ปี สถานการณ์ทุกอย่างจึงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วงขณะนี้คือ สนามบินสุวรรณภูมิ
และสนามบินภูเก็ตค่อนข้างเต็ม รัฐบาลน่าจะเข้ามาแก้ไขในเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
“เชื่อว่าการเมืองหลังเลือกตั้งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ปีนี้ถือเป็นปีที่เราจะสร้างฐานที่ดีให้กับปีหน้า และทำให้ภาพรวมโรงแรมมียอดการเข้าพักที่ดีขึ้น แต่ที่ห่วงคือ ภาคเหนือ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวน้อยมาก เพราะไม่มีอะไรดึงดูด
ประกอบกับนักท่องเที่ยวเอเชียนิยมมาท่องเที่ยวในไทยเพียงไม่กี่วัน และก็จะนิยมไปแค่เมืองท่องเที่ยวหลักๆ เช่น ภูเก็ต และพัทยาเท่านั้น” นายชนินทร์ กล่าว
สำหรับภาพรวมอัตราการเข้าพักโรงแรมในเครือของบริษัทในขณะนี้เฉลี่ยประมาณ 60% ถ้าครึ่งปีหลังไม่มีปัจจัยลบเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองในประเทศหรือปัญหาเศรษฐกิจโลก ซึ่งอเมริกาจะมีการคืนหนี้ในช่วงไตรมาส 3 นี้ เชื่อว่าอัตราการเข้าพักน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 70 และมีรายได้รวมทั้งปีเติบโตไม่ต่ำกว่า 15%
นายชนินทร์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดุสิต อินตอร์เนชั่นแนล ผู้บริหารโรงแรมในเครือดุสิตธานี เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศมากขึ้น ด้วยการเข้าไปตั้งสำนักงานในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน และอินเดีย ล่าสุดบริษัทได้ใช้งบลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท
สำหรับการสร้างโรงแรมในมัลดีฟ คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในเดือน ธ.ค. นี้
นอกจากนี้มีแผนจะเข้าบริหารงานโรงแรมในอาบูดาบี และนิวเดลี ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่ในเมืองไทย บริษัทเตรียมงบประมาณไว้ที่ 200-300 ล้านบาท เพื่อทำการปรับปรุงโรงแรมเดิมที่เปิดให้บริการ 5 แห่ง คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และหัวหิน
ส่วนของภาพรวมของธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากการเมืองไทยเริ่มนิ่งหลังจากเกิดความวุ่นวายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เริ่มกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยโดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวชาวเอเชีย, และตะวันออกกลาง แต่ขณะที่ยุโรปยังกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยไม่มากนัก
เนื่องจากยังไม่มั่นใจในการเมืองของไทย
อย่างไรก็ตามจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวเอเชียและตะวันออกกลางที่เข้ามาท่อเที่ยวในไทยมากขึ้น แต่มาในจำนวนวันที่น้อย เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่จะเข้ามาอยู่ในประเทศไทยค่อนข้างนานคือประมาณ 2-3 สัปดาห์ จึงส่งผลต่อบริษัทต้องมีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจด้วยการหันมาทำการประชาสัมพันธ์ เพื่อกระตุ้นให้ชาวเอเชียและตะวันออกกลางมาเที่ยวในไทยมากขึ้น แม้ว่าจะเข้าเที่ยวในไทยไม่นานเหมือนกับชาวยุโรป เนื่องจากการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวเอเชียและตะวันออกกลางใกล้เคียงกับชาวยุโรป
ทั้งนี้หากการเมืองไทยในปีนี้นิ่งถือเป็นเรื่องดีต่อธุรกิจท่องเที่ยวในปีหน้า เพราะจากปัจจัยลบทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยคงต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวอีก 1-2 ปี สถานการณ์ทุกอย่างจึงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วงขณะนี้คือ สนามบินสุวรรณภูมิ
และสนามบินภูเก็ตค่อนข้างเต็ม รัฐบาลน่าจะเข้ามาแก้ไขในเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
“เชื่อว่าการเมืองหลังเลือกตั้งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ปีนี้ถือเป็นปีที่เราจะสร้างฐานที่ดีให้กับปีหน้า และทำให้ภาพรวมโรงแรมมียอดการเข้าพักที่ดีขึ้น แต่ที่ห่วงคือ ภาคเหนือ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวน้อยมาก เพราะไม่มีอะไรดึงดูด
ประกอบกับนักท่องเที่ยวเอเชียนิยมมาท่องเที่ยวในไทยเพียงไม่กี่วัน และก็จะนิยมไปแค่เมืองท่องเที่ยวหลักๆ เช่น ภูเก็ต และพัทยาเท่านั้น” นายชนินทร์ กล่าว
สำหรับภาพรวมอัตราการเข้าพักโรงแรมในเครือของบริษัทในขณะนี้เฉลี่ยประมาณ 60% ถ้าครึ่งปีหลังไม่มีปัจจัยลบเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองในประเทศหรือปัญหาเศรษฐกิจโลก ซึ่งอเมริกาจะมีการคืนหนี้ในช่วงไตรมาส 3 นี้ เชื่อว่าอัตราการเข้าพักน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 70 และมีรายได้รวมทั้งปีเติบโตไม่ต่ำกว่า 15%