วันพิพากษาอนาคตของประเทศไทยหรือสงครามครั้งสุดท้าย (The Last War) ของชาวไทยใกล้เข้ามาทุกที
ถ้าจะให้บ้านเมืองอยู่รอด ปลอดจากรัฐไทยใหม่ และเป็นไทยอย่างเดิม ผมเห็นว่าเราจะต้องยอมให้กฎหมายเป็นใหญ่ ไม่ให้อำเภอใจของบุคคลหรือคณะบุคคลเป็นใหญ่กว่ากฎหมาย
ถ่วงดึงหรือเร่งใช้กฎหมายที่จะเป็นประโยชน์ต่อตนและหมู่คณะเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงชาติ
ขบวนการพิจารณาหรือการบังคับใช้กฎหมายให้ถูกลักษณะทันท่วงที และให้มีผลสมกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นๆ ย่อมมีความสำคัญยิ่ง เพราะหาไม่แล้วกฎหมายก็จะกลายเป็นหมัน และความยุติธรรมกลายเป็นความ
อยุติธรรมสมดังภาษิตกฎหมายที่ว่า “justice delayed is justice denied” แปลว่าความยุติธรรมล่าช้า คือการปฏิเสธความยุติธรรม
การไม่บังคับใช้กฎหมายของผู้มีอำนาจหน้าที่ ไม่สามารถอ้างได้ว่าไม่รู้ หรือรู้แต่กระทำไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับระเบียบปฏิบัติหรือเงื่อนไขอื่นๆ เช่น สถานการณ์หรือความจำเป็นทางการเมืองไม่เอื้ออำนวยย่อมฟังไม่ขึ้น แม้กระทั่งการละเลยทางอ้อมหรือความไม่จงใจก็ยกมาอ้างไม่ได้ ซ้ำกลับจะต้องโทษฐาน Obstruction of Justice คือถ่วงหรือขัดขวาง (ขบวนการ) ความยุติธรรม อันเป็นข้อหาที่ประธานาธิบดีนิกสันต้องหล่นจากเก้าอี้ ทั้งๆ ที่ชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 อย่างท่วมท้น
ผมกำลังจะเตือนอย่างเป็นทางการว่าตลอดอายุการทำงานของ กกต.ปัจจุบันเต็มไปด้วยการละเลยหรือจงใจขัดขวางความยุติธรรม จนกระทั่งบ้านเมืองต้องตกอยู่ใต้วิกฤตกลียุค และกำลังจะเผชิญอันตรายหายนะที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
หากเมื่อใดก็ตาม การเมืองเป็นใหญ่ กฎหมายเป็นรอง และกองทัพเป็นลูกไล่ เมืองไทยที่เราเคยรู้จัก รักและภูมิใจ ก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน
ที่ว่ากฎหมายเป็นใหญ่นั้นเป็นอย่างไร ชาติที่เป็นประชาธิปไตยเข้าใจกันหมด นั่นก็คือ the government of law, not of men หรือการปกครองโดยกฎหมายมิใช่ด้วยบุคคล
ในสังคมประชาธิปไตย คนไม่มีวันจะใหญ่กว่ากฎหมายไปได้ ไม่ว่าจะมีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหน แม้กระทั่งคนที่ทั่วโลกรับหรือเชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีอำนาจที่สุดในโลก อันได้แก่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็ใหญ่กว่ากฎหมายไปไม่ได้ และถ้าหากกระทำผิดกฎหมาย หากเป็นที่ปรากฏก็ไม่อาจจะหลีกพ้นอาญาของกฎหมายไปได้
ตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดีนิกสัน ที่กระทำความผิดในข้อหาที่สังคมไทยอาจจะเห็นว่าเล็กน้อยที่สุด ได้แก่การปิดบังความจริง และไม่ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการสอบสวนการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่พรรครีปับลิกันของประธานาธิบดีที่แอบงัดห้องเข้าไปขโมยความลับการหาเสียงเป็นประธานาธิบดีของพรรคคู่ต่อสู้ คือ พรรคเดโมแครตในตึกวอเตอร์เกตกลางกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
ในกรณีเช่นนี้ ถ้าเกิดในเมืองไทย รับรองได้ว่าไม่มีวันถึงโรงถึงศาล ดีไม่ดีตำรวจคนไหนไปจับจะรับเคราะห์ถูกเด้งเสียเอง และผู้นำที่ว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นหมายเลขหนึ่งเบอร์ 36 ถึง 100 ในคณะรัฐมนตรีหรือทหาร ตำรวจ ตลอดจนข้าราชการหรือเจ้าพ่อใหญ่ๆ ก็ได้ทั้งสิ้น
แต่ในสหรัฐอเมริกาไม่ใช่ เพราะเขาถือว่าไม่ต้องกลัวกฎหมายมีอยู่ ใครทำผิดได้ก็ทำไป ขออย่าให้จับได้ก็แล้วกัน ท่านผู้อ่านที่จำคดีวอเตอร์เกตได้ ก็คงจะจำได้ว่าประธานาธิบดีนิกสันแทบจะไม่ได้ทำผิดอะไรเลย สั่งก็ไม่ได้สั่ง แต่เมื่อนักหนังสือพิมพ์หัวเห็ดคู่หนึ่งคือ วู๊ดเวิร์ด และเบิร์นสไตน์แห่งวอชิงตันโพสต์เล่นไม่เลิก พากันเจาะลึกนำเรื่องมาเปิดโปงก็พบว่าประธานาธิบดีให้การโกหก และพยายามดึงไม่ให้ความสะดวกในการสอบสวน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของลูกน้องตน
เท่านั้นเอง สังคมอเมริกาลุกขึ้นเรียกร้องให้เอากฎหมายเป็นใหญ่ แม้กระทั่งลูกพรรครีปับลิกันในสภาทั้งสองหลายคนที่ได้รับเลือกมาเพราะนิกสันไปช่วยหาเสียงให้ หรือไม่ก็พวกที่เกาะชายเสื้อหรือ Coattail ของนิกสันเข้าสภา อันได้แก่พวกที่ธรรมดาอาจจะไม่ได้รับเลือก แต่บังเอิญคนไปลงคะแนนมากและประธานาธิบดีชนะท่วมท้นในเขตเลือกตั้งนั้น ผู้สมัครพรรคเดียวกันก็พลอยได้อานิสงส์จากผู้ไปเลือกประธานาธิบดีที่มากาให้ตนด้วย พวกนี้ก็ออกมาร่วมเอะอะขอให้นิกสันลาออก มิฉะนั้นก็จะพากันลงเสียงขับไล่หรือ Impeach ในสภา จนเป็นเหตุให้นิกสัน ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงโด่งดังนำความยิ่งใหญ่มาสู่อเมริกาจากความสำเร็จของนโยบายต่างประเทศทั่วโลก และชนะการเลือกตั้งเทอมสองอย่างถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ในการเมืองอเมริกัน ต้องลาออกจากตำแหน่งไปกลางคัน เพื่อให้รองประธานาธิบดีที่ขึ้นมารับตำแหน่งแทนอภัยโทษให้ตน จึงหลีกเลี่ยงการติดคุกไปได้หวุดหวิด
หันกลับมาดูเมืองไทยของเราบ้าง ผมพูดและเขียนมานานเต็มทีและนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จนนึกว่าเอ นี่ตัวเองทำไมจึงบ้าอยู่คนเดียว คนอื่นเขาหูหนวกตาบอดหรืออย่างไร ความจริงใครๆก็คงจะมองเห็นหรือได้ประสบกับพฤติกรรมหรือวัฒนธรรมของผู้มีอำนาจในเมืองไทยที่บริหารประเทศแบบ “โกหก-ปกปิด-บิดเบือน-เชือนเฉย-ละเลยกฎหมาย-ทำลายขื่อแป” มาแล้ว แต่อาจจะนึกไม่ถึงว่า นั่นมันทำให้ประเทศไทยไร้ศีลธรรมกลายเป็นเมืองของคนโกหกและคดโกงอยู่ในปัจจุบัน และจะถูกสาปให้สาหัสยิ่งขึ้น ถ้าไม่ยอมตระหนักความจริงและรีบแก้ไขเสีย
ทุกวันนี้ ใครเชื่อบ้างว่าไม่มีผู้สมัครสักคนเดียวใช้เงินเกินหนึ่งล้านห้าแสนที่กฎหมายกำหนด แท้จริงแล้วทุกคนรู้ดี แม้กระทั่ง กกต.ก็รู้ดีว่าไม่มีสักคนเดียวที่ใช้เงินไม่เกิน กระทำผิดกฎหมายกันหน้าด้านๆ ทั้งหมด แต่ถือว่าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ซึ่งก็แปลว่าเมืองไทยไร้ความเป็นนิติรัฐอย่างแท้จริง กกต.และผู้นำการเมืองไม่เคารพนิติธรรม จริยธรรม และหลักความชอบธรรมทางการเมือง เอาการเมืองเป็นหลัก ผลักกฎหมายไปเป็นรอง
กรณีที่นายกรัฐมนตรีทุกคนโกหกและเชือนเฉย ละเลยกฎหมาย ทำลายขื่อแปนั้นไม่ต้องไปค้นหาที่ไหนก็เห็นโต้งๆ อยู่ว่าใครบ้างอย่างไร แต่ให้การเท็จต่อศาล การปกปิดหุ้น การยุบสภาหนีการเปิดเผยความจริงหนึ่ง และการไม่บังคับใช้กฎหมายในฐานะที่ตนรับผิดชอบตำรวจหรือคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนหนึ่ง นายกรัฐมนตรีพากันกระทำผิดกฎหมายและละเลยหน้าที่ทุกคน แต่ก็ยังลอยชายเชิดหน้าอยู่ทุกคน คดีฆาตกรรมการเมืองแต่ไหนแต่ไรมาแม้กระทั่งคดีลอบสังหารสนธิมีหมาตัวไหนรับผิดชอบบ้าง เช่นเดียวกับกรณีกระทรวงมหาดไทยทำลายระบบการแต่งตั้งเลื่อนชั้นและสอบที่ ก.พ.ค.กับ ก.พ.ระบุว่าผิดกฎหมายหรือแม้กระทั่งกรณีตำรวจที่ ป.ป.ช.ชี้โทษก็ปล่อยให้ล่วงเลยไปจนกฎหมายตกสระอาไปทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะการเมืองไม่ยอมเป็นรอง นี่ถ้าเป็นประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายจริงๆ บุคคลเหล่านี้จะต้องถูกลงโทษฐานขัดขวางความยุติธรรมหรือ obstruction of justice แน่ๆ
นายทหาร กอ.รมน.คนหนึ่งโทร.มาถามผมว่าเมืองไทยไม่มีทางออกแล้วหรือ ผมบอกว่ามีเต็มไปหมด ผมเคยเขียนหลายครั้งแล้วว่ารหัสแก้วิกฤตอยู่ที่พึ่งพระบารมี ฟังวิธีแก้จากพระราชดำรัสของในหลวง พึ่งหลักกฎหมายทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ เข้าใจรับรู้เรื่อง extraconstitutionality คือหลักที่ในยามมีภัยพิบัติ กษัตริย์หรือฝ่ายบริหารมีอำนาจวิเศษ
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันเพียงแค่ขอให้กฎหมายเป็นใหญ่ การเมืองเป็นรอง กองทัพเป็นหลัก เท่านั้นก็พอแล้ว
ผมยกตัวอย่างความผิดพลาดในอดีตของ กกต.และกองทัพที่ต่างก็ “เชือนเฉย ละเลยกฎหมาย ทำลายขื่อแป” โดยไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงตามความรับผิดชอบที่มีระบุไว้ในกฎหมาย มัวแต่เกรงใจ ประจบหรือคอยดูทิศทางการเมืองเป็นหลัก
การจลาจลที่สี่แยกคอกวัวจนสูญเสียชีวิตพันเอกร่มเกล้า และทหารอีกหลายคนก็ดี การเผาบ้านเผาเมืองและชีวิตประชาชนที่บาดเจ็บล้มตายที่ราชประสงค์นั้น หากนายทะเบียนพรรคการเมืองหรือ กกต.เรียกหัวหน้าพรรคมาตักเตือนว่ากรรมการบริหารของพรรคไปเป็นแกนนำการประชุมที่คุกคามขู่เข็ญเสรีภาพขัดรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองอย่างร้ายแรงมีโทษถึงยุบพรรค หากเตือนแล้วยังขืนทำอยู่ก็ดำเนินการลงโทษได้เลย ไม่ปล่อยให้ลุกลามบานปลาย
ในขณะเดียวกันกองทัพในฐานะผู้ผูกขาดถืออาวุธและกำลัง เพียงแต่แบ่งอำนาจเล็กน้อยให้ตำรวจเท่านั้น ก็มีหน้าที่รักษาปกติสุขและความสงบในบ้านเมือง ลงมือระงับการจลาจล รวมกำลังจะก่อจลาจล ปลดอาวุธทหาร เผาศาลากลาง โดยประกาศกฎอัยการศึกหรือไม่ประกาศก็ได้ แต่ต้องเข้าระงับเหตุแล้วจึงแจ้งให้หน่วยเหนือทราบตามกฎหมาย มิใช่มัวแต่..ฉายไปฉายมาตามก้นนักการเมือง แล้วหลอกประชาชนว่าปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ทั้งๆ ที่นั่นแหละคือปัญหาความสงบอันเป็นหน้าที่รับผิดชอบของทหาร ซึ่งกองทัพจะต้องเป็นหลัก
การที่ กกต.เพิกเฉยกรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ปล่อยให้ขึ้นไปเป็นประธานรัฐสภาเสียก่อนแล้วจึงสอยทีหลัง อันเป็นความคิดผิดๆ ที่ยังฝังอยู่ในกมลสันดาลของ กกต.อยู่ถึงวันนี้ ก็เป็นปฐมเหตุให้การเมืองไทยขาดความชอบธรรมเกิดการประท้วงต่อสู้กันมาไม่ขาดสาย กฎหมายบัญญัติว่า เมื่อ “มีหลักฐานอันควรเชื่อได้” ว่าการเลือกตั้งจะ “ไม่สุจริตเที่ยงธรรม” กกต.จะต้องดำเนินการวินิจฉัย สั่งการ “โดยพลัน”
ความผิดพลาดของ กกต.และกองทัพในอดีตยังมีมาก และยังส่อแววว่า กกต.จะซ้ำรอยอีกในอนาคต ในขณะที่กองทัพอาจจะได้รับบทเรียนแล้ว หากกองทัพเป็นหลักมิยอมให้กองกำลังติดอาวุธหรือมวลชนของพรรคการเมืองใดๆ ข่มขู่ให้ กกต.และสังคมไทยกลัวจนขี้ขึ้นสมอง การรักษากฎหมายให้เคร่งครัดตามครรลองและความชอบธรรมจึงจะเกิดขึ้น และเปิดโอกาสให้สังคมไทยแก้ปัญหาโดยสันติวิธีได้
ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่านายกรัฐมนตรีจะต้องชื่อนั้นชื่อนี้ หรือพรรคนั้นพรรคนี้เท่านั้นจึงจะเป็นรัฐบาลได้ ประเด็นอยู่ที่ใครก็ได้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและไม่มีข้อห้ามตามกฎหมาย พรรคใดก็ได้ที่มิได้ละเมิดกฎหมายหรือมีบุคคลต้องห้าม หากพรรคและผู้สมัครพากันละเมิดกฎหมายจนเหตุให้การเลือกตั้งไม่สุจริตยุติธรรม มีพยานหลักฐานหนักแน่น มีคำฟ้องที่มีน้ำหนัก มีผู้รู้ทั้งฝ่ายศาล วิชาการ ทนายพากันเป็นห่วงตักเตือนอยู่เช่นนี้ ขืนมักง่ายปล่อยไปก่อนสอยทีหลัง ตั้งรัฐบาลได้ไม่กี่เดือนก็จะเป็นโมฆะยุบพรรคกันหมดทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน บ้านเมืองก็จะเป็นประเทศโมฆะไร้คนเชื่อถือ ผู้คนที่รักชาติประชาธิปไตยหรือฝ่ายที่เอาแต่ใจก็ลุกฮือขึ้นคัดค้านบีบบังคับไม่มีที่สิ้นสุด กลียุคครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทยก็คงจะหลีกไม่พ้น
กกต.มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรม เมื่อมีหลักฐานคำฟ้องและร้องเรียนเป็นภูเขาเลากาอยู่อย่างนี้ กกต.จะต้องพิจารณาวินิจฉัยโดยพลันเสียก่อน มิใช่หน้าที่กงการของ กกต.ที่จะต้องไปห่วงว่าจะตั้งรัฐบาลได้หรือไม่เมื่อใด จนกระทั่งจะปรับตัวเลขให้เป็นไปตามนั้น ประเทศประชาธิปไตย เช่น อังกฤษ อิตาลี ฝรั่งเศส เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์เลือกตั้งแล้วกว่าเขาจะตั้งรัฐบาลได้ก็ผ่าเข้าไปเกือบ 300 วันก็มี ตั้งไม่ได้เขาก็เลือกตั้งกันใหม่ ไม่เห็นจะหนักหัวใคร
แต่การที่ กกต.ถืออำเภอใจและความสะดวกของตนเองเป็นใหญ่ กกต.นั่นแหละจะเป็นผู้กระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ปกป้องการเลือกตั้งอันไม่สุจริตเที่ยงธรรมเป็นโมฆะ และ กกต.จะเป็นผู้ถ่วงและขัดขวางความยุติธรรมตามกฎหมาย หรือ obstruction of justice เสียเอง
คำตอบจึงอยู่ที่ว่า กฎหมายต้องเป็นใหญ่ การเมืองต้องเป็นรอง กองทัพต้องเป็นหลัก บ้านเมืองจึงจะอยู่รอด
ถ้าจะให้บ้านเมืองอยู่รอด ปลอดจากรัฐไทยใหม่ และเป็นไทยอย่างเดิม ผมเห็นว่าเราจะต้องยอมให้กฎหมายเป็นใหญ่ ไม่ให้อำเภอใจของบุคคลหรือคณะบุคคลเป็นใหญ่กว่ากฎหมาย
ถ่วงดึงหรือเร่งใช้กฎหมายที่จะเป็นประโยชน์ต่อตนและหมู่คณะเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงชาติ
ขบวนการพิจารณาหรือการบังคับใช้กฎหมายให้ถูกลักษณะทันท่วงที และให้มีผลสมกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นๆ ย่อมมีความสำคัญยิ่ง เพราะหาไม่แล้วกฎหมายก็จะกลายเป็นหมัน และความยุติธรรมกลายเป็นความ
อยุติธรรมสมดังภาษิตกฎหมายที่ว่า “justice delayed is justice denied” แปลว่าความยุติธรรมล่าช้า คือการปฏิเสธความยุติธรรม
การไม่บังคับใช้กฎหมายของผู้มีอำนาจหน้าที่ ไม่สามารถอ้างได้ว่าไม่รู้ หรือรู้แต่กระทำไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับระเบียบปฏิบัติหรือเงื่อนไขอื่นๆ เช่น สถานการณ์หรือความจำเป็นทางการเมืองไม่เอื้ออำนวยย่อมฟังไม่ขึ้น แม้กระทั่งการละเลยทางอ้อมหรือความไม่จงใจก็ยกมาอ้างไม่ได้ ซ้ำกลับจะต้องโทษฐาน Obstruction of Justice คือถ่วงหรือขัดขวาง (ขบวนการ) ความยุติธรรม อันเป็นข้อหาที่ประธานาธิบดีนิกสันต้องหล่นจากเก้าอี้ ทั้งๆ ที่ชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 อย่างท่วมท้น
ผมกำลังจะเตือนอย่างเป็นทางการว่าตลอดอายุการทำงานของ กกต.ปัจจุบันเต็มไปด้วยการละเลยหรือจงใจขัดขวางความยุติธรรม จนกระทั่งบ้านเมืองต้องตกอยู่ใต้วิกฤตกลียุค และกำลังจะเผชิญอันตรายหายนะที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
หากเมื่อใดก็ตาม การเมืองเป็นใหญ่ กฎหมายเป็นรอง และกองทัพเป็นลูกไล่ เมืองไทยที่เราเคยรู้จัก รักและภูมิใจ ก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน
ที่ว่ากฎหมายเป็นใหญ่นั้นเป็นอย่างไร ชาติที่เป็นประชาธิปไตยเข้าใจกันหมด นั่นก็คือ the government of law, not of men หรือการปกครองโดยกฎหมายมิใช่ด้วยบุคคล
ในสังคมประชาธิปไตย คนไม่มีวันจะใหญ่กว่ากฎหมายไปได้ ไม่ว่าจะมีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหน แม้กระทั่งคนที่ทั่วโลกรับหรือเชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีอำนาจที่สุดในโลก อันได้แก่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็ใหญ่กว่ากฎหมายไปไม่ได้ และถ้าหากกระทำผิดกฎหมาย หากเป็นที่ปรากฏก็ไม่อาจจะหลีกพ้นอาญาของกฎหมายไปได้
ตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดีนิกสัน ที่กระทำความผิดในข้อหาที่สังคมไทยอาจจะเห็นว่าเล็กน้อยที่สุด ได้แก่การปิดบังความจริง และไม่ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการสอบสวนการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่พรรครีปับลิกันของประธานาธิบดีที่แอบงัดห้องเข้าไปขโมยความลับการหาเสียงเป็นประธานาธิบดีของพรรคคู่ต่อสู้ คือ พรรคเดโมแครตในตึกวอเตอร์เกตกลางกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
ในกรณีเช่นนี้ ถ้าเกิดในเมืองไทย รับรองได้ว่าไม่มีวันถึงโรงถึงศาล ดีไม่ดีตำรวจคนไหนไปจับจะรับเคราะห์ถูกเด้งเสียเอง และผู้นำที่ว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นหมายเลขหนึ่งเบอร์ 36 ถึง 100 ในคณะรัฐมนตรีหรือทหาร ตำรวจ ตลอดจนข้าราชการหรือเจ้าพ่อใหญ่ๆ ก็ได้ทั้งสิ้น
แต่ในสหรัฐอเมริกาไม่ใช่ เพราะเขาถือว่าไม่ต้องกลัวกฎหมายมีอยู่ ใครทำผิดได้ก็ทำไป ขออย่าให้จับได้ก็แล้วกัน ท่านผู้อ่านที่จำคดีวอเตอร์เกตได้ ก็คงจะจำได้ว่าประธานาธิบดีนิกสันแทบจะไม่ได้ทำผิดอะไรเลย สั่งก็ไม่ได้สั่ง แต่เมื่อนักหนังสือพิมพ์หัวเห็ดคู่หนึ่งคือ วู๊ดเวิร์ด และเบิร์นสไตน์แห่งวอชิงตันโพสต์เล่นไม่เลิก พากันเจาะลึกนำเรื่องมาเปิดโปงก็พบว่าประธานาธิบดีให้การโกหก และพยายามดึงไม่ให้ความสะดวกในการสอบสวน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของลูกน้องตน
เท่านั้นเอง สังคมอเมริกาลุกขึ้นเรียกร้องให้เอากฎหมายเป็นใหญ่ แม้กระทั่งลูกพรรครีปับลิกันในสภาทั้งสองหลายคนที่ได้รับเลือกมาเพราะนิกสันไปช่วยหาเสียงให้ หรือไม่ก็พวกที่เกาะชายเสื้อหรือ Coattail ของนิกสันเข้าสภา อันได้แก่พวกที่ธรรมดาอาจจะไม่ได้รับเลือก แต่บังเอิญคนไปลงคะแนนมากและประธานาธิบดีชนะท่วมท้นในเขตเลือกตั้งนั้น ผู้สมัครพรรคเดียวกันก็พลอยได้อานิสงส์จากผู้ไปเลือกประธานาธิบดีที่มากาให้ตนด้วย พวกนี้ก็ออกมาร่วมเอะอะขอให้นิกสันลาออก มิฉะนั้นก็จะพากันลงเสียงขับไล่หรือ Impeach ในสภา จนเป็นเหตุให้นิกสัน ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงโด่งดังนำความยิ่งใหญ่มาสู่อเมริกาจากความสำเร็จของนโยบายต่างประเทศทั่วโลก และชนะการเลือกตั้งเทอมสองอย่างถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ในการเมืองอเมริกัน ต้องลาออกจากตำแหน่งไปกลางคัน เพื่อให้รองประธานาธิบดีที่ขึ้นมารับตำแหน่งแทนอภัยโทษให้ตน จึงหลีกเลี่ยงการติดคุกไปได้หวุดหวิด
หันกลับมาดูเมืองไทยของเราบ้าง ผมพูดและเขียนมานานเต็มทีและนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จนนึกว่าเอ นี่ตัวเองทำไมจึงบ้าอยู่คนเดียว คนอื่นเขาหูหนวกตาบอดหรืออย่างไร ความจริงใครๆก็คงจะมองเห็นหรือได้ประสบกับพฤติกรรมหรือวัฒนธรรมของผู้มีอำนาจในเมืองไทยที่บริหารประเทศแบบ “โกหก-ปกปิด-บิดเบือน-เชือนเฉย-ละเลยกฎหมาย-ทำลายขื่อแป” มาแล้ว แต่อาจจะนึกไม่ถึงว่า นั่นมันทำให้ประเทศไทยไร้ศีลธรรมกลายเป็นเมืองของคนโกหกและคดโกงอยู่ในปัจจุบัน และจะถูกสาปให้สาหัสยิ่งขึ้น ถ้าไม่ยอมตระหนักความจริงและรีบแก้ไขเสีย
ทุกวันนี้ ใครเชื่อบ้างว่าไม่มีผู้สมัครสักคนเดียวใช้เงินเกินหนึ่งล้านห้าแสนที่กฎหมายกำหนด แท้จริงแล้วทุกคนรู้ดี แม้กระทั่ง กกต.ก็รู้ดีว่าไม่มีสักคนเดียวที่ใช้เงินไม่เกิน กระทำผิดกฎหมายกันหน้าด้านๆ ทั้งหมด แต่ถือว่าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ซึ่งก็แปลว่าเมืองไทยไร้ความเป็นนิติรัฐอย่างแท้จริง กกต.และผู้นำการเมืองไม่เคารพนิติธรรม จริยธรรม และหลักความชอบธรรมทางการเมือง เอาการเมืองเป็นหลัก ผลักกฎหมายไปเป็นรอง
กรณีที่นายกรัฐมนตรีทุกคนโกหกและเชือนเฉย ละเลยกฎหมาย ทำลายขื่อแปนั้นไม่ต้องไปค้นหาที่ไหนก็เห็นโต้งๆ อยู่ว่าใครบ้างอย่างไร แต่ให้การเท็จต่อศาล การปกปิดหุ้น การยุบสภาหนีการเปิดเผยความจริงหนึ่ง และการไม่บังคับใช้กฎหมายในฐานะที่ตนรับผิดชอบตำรวจหรือคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนหนึ่ง นายกรัฐมนตรีพากันกระทำผิดกฎหมายและละเลยหน้าที่ทุกคน แต่ก็ยังลอยชายเชิดหน้าอยู่ทุกคน คดีฆาตกรรมการเมืองแต่ไหนแต่ไรมาแม้กระทั่งคดีลอบสังหารสนธิมีหมาตัวไหนรับผิดชอบบ้าง เช่นเดียวกับกรณีกระทรวงมหาดไทยทำลายระบบการแต่งตั้งเลื่อนชั้นและสอบที่ ก.พ.ค.กับ ก.พ.ระบุว่าผิดกฎหมายหรือแม้กระทั่งกรณีตำรวจที่ ป.ป.ช.ชี้โทษก็ปล่อยให้ล่วงเลยไปจนกฎหมายตกสระอาไปทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะการเมืองไม่ยอมเป็นรอง นี่ถ้าเป็นประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายจริงๆ บุคคลเหล่านี้จะต้องถูกลงโทษฐานขัดขวางความยุติธรรมหรือ obstruction of justice แน่ๆ
นายทหาร กอ.รมน.คนหนึ่งโทร.มาถามผมว่าเมืองไทยไม่มีทางออกแล้วหรือ ผมบอกว่ามีเต็มไปหมด ผมเคยเขียนหลายครั้งแล้วว่ารหัสแก้วิกฤตอยู่ที่พึ่งพระบารมี ฟังวิธีแก้จากพระราชดำรัสของในหลวง พึ่งหลักกฎหมายทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ เข้าใจรับรู้เรื่อง extraconstitutionality คือหลักที่ในยามมีภัยพิบัติ กษัตริย์หรือฝ่ายบริหารมีอำนาจวิเศษ
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันเพียงแค่ขอให้กฎหมายเป็นใหญ่ การเมืองเป็นรอง กองทัพเป็นหลัก เท่านั้นก็พอแล้ว
ผมยกตัวอย่างความผิดพลาดในอดีตของ กกต.และกองทัพที่ต่างก็ “เชือนเฉย ละเลยกฎหมาย ทำลายขื่อแป” โดยไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงตามความรับผิดชอบที่มีระบุไว้ในกฎหมาย มัวแต่เกรงใจ ประจบหรือคอยดูทิศทางการเมืองเป็นหลัก
การจลาจลที่สี่แยกคอกวัวจนสูญเสียชีวิตพันเอกร่มเกล้า และทหารอีกหลายคนก็ดี การเผาบ้านเผาเมืองและชีวิตประชาชนที่บาดเจ็บล้มตายที่ราชประสงค์นั้น หากนายทะเบียนพรรคการเมืองหรือ กกต.เรียกหัวหน้าพรรคมาตักเตือนว่ากรรมการบริหารของพรรคไปเป็นแกนนำการประชุมที่คุกคามขู่เข็ญเสรีภาพขัดรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองอย่างร้ายแรงมีโทษถึงยุบพรรค หากเตือนแล้วยังขืนทำอยู่ก็ดำเนินการลงโทษได้เลย ไม่ปล่อยให้ลุกลามบานปลาย
ในขณะเดียวกันกองทัพในฐานะผู้ผูกขาดถืออาวุธและกำลัง เพียงแต่แบ่งอำนาจเล็กน้อยให้ตำรวจเท่านั้น ก็มีหน้าที่รักษาปกติสุขและความสงบในบ้านเมือง ลงมือระงับการจลาจล รวมกำลังจะก่อจลาจล ปลดอาวุธทหาร เผาศาลากลาง โดยประกาศกฎอัยการศึกหรือไม่ประกาศก็ได้ แต่ต้องเข้าระงับเหตุแล้วจึงแจ้งให้หน่วยเหนือทราบตามกฎหมาย มิใช่มัวแต่..ฉายไปฉายมาตามก้นนักการเมือง แล้วหลอกประชาชนว่าปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ทั้งๆ ที่นั่นแหละคือปัญหาความสงบอันเป็นหน้าที่รับผิดชอบของทหาร ซึ่งกองทัพจะต้องเป็นหลัก
การที่ กกต.เพิกเฉยกรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ปล่อยให้ขึ้นไปเป็นประธานรัฐสภาเสียก่อนแล้วจึงสอยทีหลัง อันเป็นความคิดผิดๆ ที่ยังฝังอยู่ในกมลสันดาลของ กกต.อยู่ถึงวันนี้ ก็เป็นปฐมเหตุให้การเมืองไทยขาดความชอบธรรมเกิดการประท้วงต่อสู้กันมาไม่ขาดสาย กฎหมายบัญญัติว่า เมื่อ “มีหลักฐานอันควรเชื่อได้” ว่าการเลือกตั้งจะ “ไม่สุจริตเที่ยงธรรม” กกต.จะต้องดำเนินการวินิจฉัย สั่งการ “โดยพลัน”
ความผิดพลาดของ กกต.และกองทัพในอดีตยังมีมาก และยังส่อแววว่า กกต.จะซ้ำรอยอีกในอนาคต ในขณะที่กองทัพอาจจะได้รับบทเรียนแล้ว หากกองทัพเป็นหลักมิยอมให้กองกำลังติดอาวุธหรือมวลชนของพรรคการเมืองใดๆ ข่มขู่ให้ กกต.และสังคมไทยกลัวจนขี้ขึ้นสมอง การรักษากฎหมายให้เคร่งครัดตามครรลองและความชอบธรรมจึงจะเกิดขึ้น และเปิดโอกาสให้สังคมไทยแก้ปัญหาโดยสันติวิธีได้
ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่านายกรัฐมนตรีจะต้องชื่อนั้นชื่อนี้ หรือพรรคนั้นพรรคนี้เท่านั้นจึงจะเป็นรัฐบาลได้ ประเด็นอยู่ที่ใครก็ได้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและไม่มีข้อห้ามตามกฎหมาย พรรคใดก็ได้ที่มิได้ละเมิดกฎหมายหรือมีบุคคลต้องห้าม หากพรรคและผู้สมัครพากันละเมิดกฎหมายจนเหตุให้การเลือกตั้งไม่สุจริตยุติธรรม มีพยานหลักฐานหนักแน่น มีคำฟ้องที่มีน้ำหนัก มีผู้รู้ทั้งฝ่ายศาล วิชาการ ทนายพากันเป็นห่วงตักเตือนอยู่เช่นนี้ ขืนมักง่ายปล่อยไปก่อนสอยทีหลัง ตั้งรัฐบาลได้ไม่กี่เดือนก็จะเป็นโมฆะยุบพรรคกันหมดทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน บ้านเมืองก็จะเป็นประเทศโมฆะไร้คนเชื่อถือ ผู้คนที่รักชาติประชาธิปไตยหรือฝ่ายที่เอาแต่ใจก็ลุกฮือขึ้นคัดค้านบีบบังคับไม่มีที่สิ้นสุด กลียุคครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทยก็คงจะหลีกไม่พ้น
กกต.มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรม เมื่อมีหลักฐานคำฟ้องและร้องเรียนเป็นภูเขาเลากาอยู่อย่างนี้ กกต.จะต้องพิจารณาวินิจฉัยโดยพลันเสียก่อน มิใช่หน้าที่กงการของ กกต.ที่จะต้องไปห่วงว่าจะตั้งรัฐบาลได้หรือไม่เมื่อใด จนกระทั่งจะปรับตัวเลขให้เป็นไปตามนั้น ประเทศประชาธิปไตย เช่น อังกฤษ อิตาลี ฝรั่งเศส เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์เลือกตั้งแล้วกว่าเขาจะตั้งรัฐบาลได้ก็ผ่าเข้าไปเกือบ 300 วันก็มี ตั้งไม่ได้เขาก็เลือกตั้งกันใหม่ ไม่เห็นจะหนักหัวใคร
แต่การที่ กกต.ถืออำเภอใจและความสะดวกของตนเองเป็นใหญ่ กกต.นั่นแหละจะเป็นผู้กระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ปกป้องการเลือกตั้งอันไม่สุจริตเที่ยงธรรมเป็นโมฆะ และ กกต.จะเป็นผู้ถ่วงและขัดขวางความยุติธรรมตามกฎหมาย หรือ obstruction of justice เสียเอง
คำตอบจึงอยู่ที่ว่า กฎหมายต้องเป็นใหญ่ การเมืองต้องเป็นรอง กองทัพต้องเป็นหลัก บ้านเมืองจึงจะอยู่รอด