'ถมทะเล สร้างเมืองใหม่' แท้งตั้งแต่ยังไม่ท้อง เจอข้อหาหนักขายชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อม

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในที่สุดเมกะโปรเจ็กต์สุดอลังการภายใต้ชื่อโครงการ 'ถมทะเลสร้างเมืองใหม่'ที่ 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ออกโรงผลักดัน เพื่อหวังสร้างภาพเรียกคะแนนนิยมให้นายกฯโคลนนิ่ง อย่าง 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ก็มีอันต้องพับกระดานและส่อเค้าว่าจะแท้งตั้งแต่ยังไม่ตั้งท้อง !!

เพราะพลันที่ นช.ทักษิณออกโรงโหมกระแสผ่านสื่อถึงถึงไอเดียอันบรรเจิดของสุดยอดโปรเจ็กต์ดังกล่าว ซึ่งจะมีการถมทะเลบริเวณปากน้ำ จ.สมุทรปราการ ไปจนถึง จ.สมุทรสาคร เป็นพื้นที่ประมาณ 3 แสนไร่ ก็เกิดเสียงคัดค้านอย่างหนักจากบรรดานักวิชาการและกลุ่มเอ็นจีโอที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยเกรงว่าโครงการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทางทะเล

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจะพบว่าโครงการ 'ถมทะเลสร้างเมืองใหม่' นั้นเป็นโครงการที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียงมาตั้งแต่หาเสียงแล้ว โดยเจ้าของแนวคิดนี้คือ 'นายปลอดประสพ สุรัสวดี' ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ และแกนนำพรรคเพื่อไทย อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้คุ้นชินกับการ 'แปลงทรัพยากรธรรมชาติเป็นทุน' โดยนายปลอดประสพระบุว่าการถมทะเลเพื่อสร้างเมืองใหม่ นั้นเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยมีการถมทะเลสร้างแนวเขื่อนป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ รวมทั้งดำเนินการฟื้นฟูทะเลไปพร้อมกัน โดยจะต้องเข้าไปแก้กฎหมายสิ่งแวดล้อมทั้งหมด เพราะกฎหมายที่ใช้อยู่ไม่เอื้อต่อการแก้ปัญหา

โดยโครงการถมทะเลดังกล่าวนั้นระดับบิ๊กของพรรคเพื่อไทย วาดหวังว่าจะได้ประโยชน์สองเด้ง หนึ่ง-คือการถมทะเลจากปากอ่าวออกไป 10 กิโลเมตร พร้อมกับสร้างเขื่อนกันน้ำทะเลเป็นแนวยาวเพื่อป้องกันและรักษาระดับน้ำทะเลไม่ให้เข้ามาท่วมกรุงเทพฯ สอง-การถมทะเลจากเมืองปากน้ำ จ.สมุทรปราการ ไปจนถึงจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งจะทำให้ได้ที่ดินเพิ่มขึ้นรวมประมาณ 3 แสนไร่ แผ่นดินงอกใหม่นี้จะถูกสร้างเป็นเมืองใหม่โดยแบ่งเป็นพื้นที่สาธารณะ 2 แสนไร่ อีก 1 แสนไร่ จะนำไปขายให้กับเอกชนที่จะเข้ามาลงทุน โดยกะว่าจะฟันกำไรถึงไร่ละ 20 ล้าน รวมแสนไร่ก็เป็นเงินมหาศาลถึง 2 ล้านล้านบาท

เมืองใหม่แห่งนี้ ถูกวางไว้ว่าจะเป็นแหล่งศูนย์กลางธุรกิจแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ศูนย์ธุรกิจทางไอที คล้ายกับซิลิคอนวัลเลย์ ศูนย์กลางการรักษาพยาบาล ศูนย์กลางการเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทข้ามชาติในภูมิภาคนี้ ทำให้ประชากรมีงานทำไม่ต่ำกว่า 100,000 อัตรา โดยมีระบบการคมนาคมที่สะดวกรองรับ เช่น รถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อกับกรุงเทพได้สะดวกและภายในระยะเวลาอันสั้น โมเดลการสร้างเมืองใหม่นี้จะคล้ายๆ เมือง Putrajaya และ Cyberjaya ของมาเลเซีย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการนี้นับเป็นการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เพื่อสร้างรายได้ในกับ 'ระบอบทุน'

ด้วยเหตุดังกล่าว อภิมหาโปรเจ็กต์ที่คุกคามธรรมชาติเช่นนี้ย่อมถูกคัดค้านอย่างหนักจากกลุ่มองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอนุรักษ์ กลุ่มเอ็นจีโอ กลุ่มนักกฎหมายสิ่งแวดล้อม กลุ่มประชาคม และชุมชนริมทะเลที่ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการทำประมงชายฝั่ง ซึ่งไม่ใช่แค่ข้อข้องใจที่ว่ารัฐบาลจะเอาเงินไหนมาลงทุนถมทะเล ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแต่ละตารางเมตรสูงถึงหลักหมื่น คำนวณจากพื้นที่ 3 แสนไร่ ก็ต้องใช้ประมาณถึง 1.5 ล้านล้านบาท

นอกจากนั้นโครงการนี้ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนมากมาย ตั้งแต่การแก้ไขกฎหมาย การเปลี่ยนสีผังเมือง การทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) รายงานประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA) การรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย ต้องให้องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพให้ความเห็นก่อนดำเนินโครงการ ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550

ที่สำคัญโครงการดังกล่าวยังผลกระทบต่อระบบนิเวศน์อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการกัดเซาะชายฝั่งทะเลที่จะทวีความรุนแรงขึ้นเนื่องการเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำ ขณะที่การสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเลก็ส่งผลให้เกิดการปิดกั้นน้ำที่จะระบายลงสู่ท้องทะเล ซึ่งจะทำให้กรุงเทพฯและปริมณฑลกลายเป็นเมืองบาดาลจมอยู่ใต้ท้องทะเลแทนที่จะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ดังที่ นช.ทักษิณ และนายปลอดประสพกล่าวอ้าง

อีกทั้งยังมีคำถามตามมาว่าที่ดินที่งอกขึ้นมาจากการถมทะเลนั้นรัฐบาลจะนำไปขายให้ใคร ? เพราะที่ผ่านมาโครงการนี้ยังไม่มีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กลุ่มไหนขานรับ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะขายให้ต่างชาติเหมือนเมื่อคราวรัฐบาลทักษิณซึ่งมีความพยายามจะออกกฎหมายมารองรับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี ซึ่งเรื่องถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นกฎหมายขายชาติขายแผ่นดิน และต้องล้มเลิกไปในที่สุด

โครงการถมทะเลสร้างเมืองใหม่นั้น ถูกคัดค้านถึงขั้นที่นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมออกมาประกาศว่า หากรัฐบาลดึงดันที่จะดำเนินโครงการดังกล่าว กลุ่มเอ็นจีโอก็จะยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญให้เพิกถอนนโยบายนี้

โดย 'นายศรีสุวรรณ จรรยา' นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ระบุว่า โครงการนี้เป็นการดำเนินการโดยผิดกฎหมาย เพราะการถมทะเลถือเป็นกิจการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชมชนรุนแรง ขึงต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา67(2)

“การถมทะเลเป็นกิจการรุนแรง ต้องทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพหรือ E-HIA ต้องผ่านการประชาพิจารณ์ ผ่านความเห็นจากองค์การอิสระ ใช้เวลา 2-3 ปี จึงจะทำได้ แถมยังไม่มีกฎหมายมารองรับว่า พื้นที่ดังกล่าวจะถมได้หรือไม่ ต้องไปแก้กฎหมายที่ดิน ผังเมือง ฯลฯ ถ้าแก้แล้วนำไปขายให้ต่างชาติก็จะมีความผิดเป็นกฎหมายขายชาติอีกเพราะถือว่าพื้นที่นี้เป็นที่สาธารณะประโยชน์” นายศรีสุวรณกล่าว

ขณะที่ 'นายสุทธิ อัฌชาศัย' ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก แสดงความเห็นว่า การที่พรรคเพื่อไทยจะเดินหน้านโยบายถมทะเลโดยไม่ทำ E-HIA โดยอ้างว่าประชาชนได้เลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศแล้วนั้น ถือเป็นคนละเรื่องกัน เพราะการถมทะเลถือว่าอยู่ใน 11 ประเภทกิจการรุนแรงจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้

“รัฐบาลใหม่ไม่ควรดำเนินนโยบายถมทะเลเพราะไม่สามารถพิสูจน์กรรมสิทธิ์การถือครองที่ดินได้ แต่ถ้ารัฐบาลจะทำจริงก็ต้องมีการหารือกันนอกรอบเพื่อหาทางออกในเรื่องดังกล่าว และถ้ารัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน เราก็จะเคลื่อนไหวโดยการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด” นายสุทธิกล่าว

เจอไม้นี้เข้าทำเอาพรรคเพื่อไทยต้องถอยไม่เป็นท่า โดยล่าสุด นายปลอดประสพ ผู้ริเริ่มโครงการดังกล่าว ต้องออกมาแก้เกี้ยวว่า “ พรรคเพื่อไทยไม่ได้ประกาศว่าจะทำโครงการถมทะเลสร้างเมืองใหม่บริเวณ จ.สมุทรปราการ โดยทันที แต่ประกาศไว้ว่าจะทำการศึกษาโครงการนี้เพื่อหามาตรการป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ อย่างถาวรเท่านั้น”

ทั้งที่แท้จริงแล้วโครงการนี้ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นหนึ่งในนโยบาย ที่พรรคเพื่อไทยใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยอยู่ในนโยบาย ข้อ 8. เรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และพลังงานหัวข้อ 8.1 ซึ่งระบุว่า การก่อสร้างเขื่อนลึกลงในทะเล 10 กม. ความยาว 30 กม. ตั้งแต่สมุทรสาคร ถึงปากน้ำ ถมทะเลเพื่อจัดสร้างเมืองใหม่ บนพื้นที่รวม 200,000 ไร่ โดยไม่ต้องใช้เงินกู้

การปฏิเสธถึงความพยายามในผลักดันโครงการ 'ถมทะเล สร้างเมืองใหม่' ของนายปลอดประสพในครั้งนี้ จึงเป็นการ 'โกหกคำโต' เพื่อหวังลดกระแสต่อต้านเท่านั้น

และแม้ 'โครงการถมทะเล สร้างเมืองใหม่' จะต้องมีอันต้องพับกระดาน และถูกดองไว้อย่างไม่มีกำหนด แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ 'ความไม่จริงใจ' ในการดำเนินนโยบายของ 'พรรคเพื่อไทย' พรรคการเมืองใหญ่ที่อาสามาทำงานให้กับประชาชน โดยนำผลการเลือกตั้งมาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรม !!