วานนี้ (11 ก.ค.) นายเจริญรัตน์ ชูติกาญจน์ ปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานเปิดการให้บริการทำบัตรประจำตัวประชาชนแก่นักเรียนซึ่งมีอายุตั้งแต่ 7 ขวบขึ้นไปในกทม. ณ โรงเรียนวัดปทุมวนาราม ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งสำนักงานปกครองและทะเบียน กทม.ได้นำรถบริการงานทะเบียนเคลื่อนที่ (Mobile Service) มาอำนวยความสะดวกในการจัดทำบัตรดังกล่าวซึ่งสามารถจัดทำได้วันละ 200 ราย ใช้เวลาคนละประมาณ 10 นาที
นายเจริญรัตน์กล่าวว่า โรงเรียนวัดปทุมวนารามฯ มีเด็กที่ถึงเกณฑ์ทำบัตรประชาชนจำนวน 578 คน ซึ่งรถเคลื่อนที่จะอำนวยความสะดวกที่โรงเรียนแห่งนี้เป็นเวลา 4 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 11-14 ก.ค. 2554 จากนั้นจะย้ายไปให้บริการที่โรงเรียนอื่นต่อไป อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่กทม.มีเด็กอายุ 7 ขวบ-14 ปีที่ต้องเข้ารับการทำบัตรประชาชนตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 กว่า 649,868 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก ตนเองจึงได้สั่งการให้ทุกสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ประสานไปยังโรงเรียนในพื้นที่ของตนเองถึงการวางแผนร่วมกันกับผู้ปกครอง ให้นำบุตรหลานเข้ามาทำบัตรประจำตัวประชาชน ทั้งนี้ แต่ละเขตจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับทำบัตรประจำตัวประชาชนเขตละ 1 เครื่อง สามารถทำได้วันละ 120-130 คน ซึ่งแน่นอนว่าต้องกระทบกับประชาชนทั่วไปที่เข้ามารับบริการ ดังนั้นจึงขอให้ผู้ปกครองนำเด็กเข้ามาทำบัตรประจำตัวประชาชนในช่วงบ่ายเป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับเด็กอายุ 7 ขวบที่มาทำบัตรประจำตัวประชาชนคนแรก ณ รถบริการงานทะเบียนเคลื่อนที่ ได้แก่ เด็กหญิงโศรยา เทพบุตร หรือน้องไอซ์ นักเรียนชั้น ป.1 ที่กล่าวว่า ตื่นเต้นและจะเก็บบัตรนี้ไว้เอง แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำบัตรประจำตัวประชาชนไปทำไม
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวยังได้รายงานบรรยากาศในต่างจังหวัดด้วยว่า ที่สำนักทะเบียนราษฎรเทศบาลเมืองพิจิตร ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่มีผู้ปกครองและครูอาจารย์ นำเด็กชาย-หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 7 ขวบ-14 ปีมายื่นคำร้องเพื่อขอทำบัตรประจำตัวประชาชนต่อเจ้าพนักงานทะเบียนราษฎรจำนวนมาก เด็กๆ ต่างตื่นเต้นกับการที่จะได้มีบัตรประจำตัวประชาชนเป็นครั้งแรก แต่ต้องผิดหวังและเสียใจไปตามๆ กัน เมื่อได้รับการแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า ระบบออนไลน์จากส่วนกลางขัดข้องทำได้แต่พวกที่อายุ 15 ปีขึ้นไปเท่านั้น
ในขณะที่ ที่ว่าการอำเภอเมืองพิษณุโลก ได้เปิดให้บริการทำบัตรประชาชนสำหรับเด็กเป็นวันแรก ปรากฏว่าบรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา ผู้ปกครองพาเด็กมาทำบัตรประชาชนบางตา
ส่วนบรรยากาศการทำบัตรประชาชนบริเวณที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงใหม่ นางพัทธ์ธีรา เทพวิบูลย์ หัวหน้าฝ่ายทะเบียนและบัตร อำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมามีผู้ปกครองพาบุตรหลานมาทำบัตรประชาชนแล้วจำนวน 7-8 ราย ซึ่งก็พบปัญหาอุปสรรคมากมาย ทั้งเรื่องเอกสารไม่ครบและเมื่อถึงเวลาถ่ายรูปทำบัตรก็พบว่าเด็กหลายคนไม่ให้ความร่วมมือ ไม่นั่งอยู่กับที่หรือฉีกยิ้มกว้างจนเกินไป ทำให้การทำบัตรต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 นาที จากปกติใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 นาทีเท่านั้น สำหรับเอกสารที่ใช้ประกอบด้วยสำเนาสูจิบัตร สำเนาทะเบียนบ้าน และพ่อแม่จะต้องเป็นผู้พามาด้วยตัวเอง เพื่อเซ็นเอกสารรับรอง
ด้านที่ว่าการอำเภอเมืองสตูล ผู้ปกครองตามเกาะต่างๆ เช่น เกาะยาว เกาะสาหร่าย และเกาะปูยู ประมาณ 20 คน พาบุตรหลานอายุ 7-10 ขวบ พร้อมนำเอกสารอย่างสูติบัตร มายื่นเพื่อขอทำบัตรประจำตัวประชาชน สร้างความตื่นเต้นและดีใจให้กับเยาวชนที่เดินทางมาทำบัตรในครั้งแรกวานนี้
อย่างไรก็ตาม ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แกนนำพรรคเพื่อไทย ก็ได้พา ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ บุตรชายอายุ 9 ขวบ ไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานเขตวังทองหลาง ก่อนเปิดเผยว่า การทำบัตรประชาชนให้เด็กตั้งแต่อายุ 7 ขวบขึ้นไป เป็นนโยบายที่ดีและพร้อมให้การสนับสนุน เพราะจะทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลของเด็ก ทั้งด้านสาธารณสุขและการศึกษาด้วยกันได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเยาวชน
นายเจริญรัตน์กล่าวว่า โรงเรียนวัดปทุมวนารามฯ มีเด็กที่ถึงเกณฑ์ทำบัตรประชาชนจำนวน 578 คน ซึ่งรถเคลื่อนที่จะอำนวยความสะดวกที่โรงเรียนแห่งนี้เป็นเวลา 4 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 11-14 ก.ค. 2554 จากนั้นจะย้ายไปให้บริการที่โรงเรียนอื่นต่อไป อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่กทม.มีเด็กอายุ 7 ขวบ-14 ปีที่ต้องเข้ารับการทำบัตรประชาชนตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 กว่า 649,868 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก ตนเองจึงได้สั่งการให้ทุกสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ประสานไปยังโรงเรียนในพื้นที่ของตนเองถึงการวางแผนร่วมกันกับผู้ปกครอง ให้นำบุตรหลานเข้ามาทำบัตรประจำตัวประชาชน ทั้งนี้ แต่ละเขตจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับทำบัตรประจำตัวประชาชนเขตละ 1 เครื่อง สามารถทำได้วันละ 120-130 คน ซึ่งแน่นอนว่าต้องกระทบกับประชาชนทั่วไปที่เข้ามารับบริการ ดังนั้นจึงขอให้ผู้ปกครองนำเด็กเข้ามาทำบัตรประจำตัวประชาชนในช่วงบ่ายเป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับเด็กอายุ 7 ขวบที่มาทำบัตรประจำตัวประชาชนคนแรก ณ รถบริการงานทะเบียนเคลื่อนที่ ได้แก่ เด็กหญิงโศรยา เทพบุตร หรือน้องไอซ์ นักเรียนชั้น ป.1 ที่กล่าวว่า ตื่นเต้นและจะเก็บบัตรนี้ไว้เอง แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำบัตรประจำตัวประชาชนไปทำไม
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวยังได้รายงานบรรยากาศในต่างจังหวัดด้วยว่า ที่สำนักทะเบียนราษฎรเทศบาลเมืองพิจิตร ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่มีผู้ปกครองและครูอาจารย์ นำเด็กชาย-หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 7 ขวบ-14 ปีมายื่นคำร้องเพื่อขอทำบัตรประจำตัวประชาชนต่อเจ้าพนักงานทะเบียนราษฎรจำนวนมาก เด็กๆ ต่างตื่นเต้นกับการที่จะได้มีบัตรประจำตัวประชาชนเป็นครั้งแรก แต่ต้องผิดหวังและเสียใจไปตามๆ กัน เมื่อได้รับการแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า ระบบออนไลน์จากส่วนกลางขัดข้องทำได้แต่พวกที่อายุ 15 ปีขึ้นไปเท่านั้น
ในขณะที่ ที่ว่าการอำเภอเมืองพิษณุโลก ได้เปิดให้บริการทำบัตรประชาชนสำหรับเด็กเป็นวันแรก ปรากฏว่าบรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา ผู้ปกครองพาเด็กมาทำบัตรประชาชนบางตา
ส่วนบรรยากาศการทำบัตรประชาชนบริเวณที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงใหม่ นางพัทธ์ธีรา เทพวิบูลย์ หัวหน้าฝ่ายทะเบียนและบัตร อำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมามีผู้ปกครองพาบุตรหลานมาทำบัตรประชาชนแล้วจำนวน 7-8 ราย ซึ่งก็พบปัญหาอุปสรรคมากมาย ทั้งเรื่องเอกสารไม่ครบและเมื่อถึงเวลาถ่ายรูปทำบัตรก็พบว่าเด็กหลายคนไม่ให้ความร่วมมือ ไม่นั่งอยู่กับที่หรือฉีกยิ้มกว้างจนเกินไป ทำให้การทำบัตรต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 นาที จากปกติใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 นาทีเท่านั้น สำหรับเอกสารที่ใช้ประกอบด้วยสำเนาสูจิบัตร สำเนาทะเบียนบ้าน และพ่อแม่จะต้องเป็นผู้พามาด้วยตัวเอง เพื่อเซ็นเอกสารรับรอง
ด้านที่ว่าการอำเภอเมืองสตูล ผู้ปกครองตามเกาะต่างๆ เช่น เกาะยาว เกาะสาหร่าย และเกาะปูยู ประมาณ 20 คน พาบุตรหลานอายุ 7-10 ขวบ พร้อมนำเอกสารอย่างสูติบัตร มายื่นเพื่อขอทำบัตรประจำตัวประชาชน สร้างความตื่นเต้นและดีใจให้กับเยาวชนที่เดินทางมาทำบัตรในครั้งแรกวานนี้
อย่างไรก็ตาม ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แกนนำพรรคเพื่อไทย ก็ได้พา ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ บุตรชายอายุ 9 ขวบ ไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานเขตวังทองหลาง ก่อนเปิดเผยว่า การทำบัตรประชาชนให้เด็กตั้งแต่อายุ 7 ขวบขึ้นไป เป็นนโยบายที่ดีและพร้อมให้การสนับสนุน เพราะจะทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลของเด็ก ทั้งด้านสาธารณสุขและการศึกษาด้วยกันได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเยาวชน
