ในที่สุดการเมืองไทย ก็น่าจะจบลงด้วยดี ที่ “พรรคเพื่อไทย” ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ด้วยพี่น้องคนไทย “ตื่นตัวมาก” กับการเลือกตั้งครั้งนี้ มีประชาชนไปใช้สิทธิ์สูงถึงประมาณ 76 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่แตกต่างจากการเลือกตั้งครั้งปี 2550
อย่างไรก็ตาม หลากหลายฝ่ายต่างทำนายทายทักว่า “พรรคเพื่อไทย” ต้องได้คะแนนมากกว่า “พรรคประชาธิปัตย์” อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเกินกว่าครึ่งหนึ่ง มากถึง 262 ที่นั่ง ส่วน “พรรคประชาธิปัตย์” ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้คะแนนที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทั้งสองส่วนเพียงเกือบ 170 คนเท่านั้น ซึ่งต่างคิดว่าน่าจะได้ประมาณ 200 กว่าขึ้นไป
การที่ “พรรคเพื่อไทย” ประกาศจัดตั้งรัฐบาล และที่สำคัญที่สุดได้ออกมาแถลงข่าวหลังพรรคประชาธิปัตย์ได้แถลงข่าวก่อน ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยตั้งใจว่าจะประกาศแถลงข่าวช่วงประมาณ 19.00 น. ของค่ำวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2554 แต่ในที่สุดก็รอให้พรรคประชาธิปัตย์แถลงข่าวก่อน เรียกว่า “เป็นงาน!”
ว่าไปแล้ว การที่พรรคเพื่อไทยได้คะแนนนิยมมากเพียงนี้ ต้องเรียนตามตรงว่า “กระแส-กระสุนดีมาก!” กล่าวคือ กลุ่ม “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” บวกกับ “กลุ่มเสื้อแดง” นั้น ต้องเรียกว่าหนาแน่นมาก ทั้งภาคเหนือและภาคอีสานตอนบนตอนล่าง และในขณะเดียวกัน “กระสุน” และ/หรือ “เม็ดเงิน” ในการรณรงค์หาเสียง ตลอดจน “ขบวนการใต้ดิน!” นั้น ต้องเรียกว่า “ดีมาก” เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในภาคอีสานตอนล่าง ที่แน่นอนว่า “ผู้ใหญ่ดูไบ” นั้น ต้องกระชับพื้นที่เพื่อ “ชำระแค้น” ให้จงได้
ซึ่งขอเรียนตามตรงว่า “พรรคภูมิใจไทย” นั้น ตั้งใจไว้สูงถึง 70 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร แต่ได้เพียงครึ่งเดียวคือ 35 ที่นั่งนั้น ขอเรียนว่า “อกหัก!” อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ทั้งนี้ มิได้ต้องการซ้ำเติมพรรคภูมิใจไทยแต่ประการใด จริงๆ แล้ว ยังคิดเองเลยว่า ไม่น่าจะต่ำกว่า 55 ที่นั่งเสียด้วยซ้ำ!
อย่างไรก็ตาม จากคะแนนเสียงที่พรรคเพื่อไทยได้ 260 กว่าที่นั่งนี้ ต้องเรียนว่า “เกินคาดเล็กน้อย!” โดยต่างฝ่ายต่างคิดว่าไม่น่าจะได้เกิน 230-240 ที่นั่ง แต่วันนี้ “ผลพลิกล็อก” เช่นนี้ “เราต่างต้องยอมรับความเป็นจริงว่ามันเป็นเช่นนี้” และขอย้ำว่า “กระแส-กระสุน” แรงมาก!
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคนั้น ต้องขอยกนิ้วโป้งให้ว่า “ถูกต้องแล้วคร๊าบ!” ที่คณะกรรมการบริหารพรรคสมควรลาออก พร้อมทั้งปรับองคาพยพหมด
แต่ก็ต้องยอมรับเช่นเดียวกันว่า “2 ปีครึ่ง” ที่ผ่านมานั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำอะไรบ้าง ก็ต้องตอบว่า “เยอะ!” เพียงแต่ประชาชนไม่สามารถสัมผัสได้มากมายนัก แม้แต่ “เบี้ยยังชีพ!” ยังมีผู้อาวุโสอายุเกิน 60 ปียังไม่ได้รับการดูแลอย่างถ้วนหน้า ขอย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์ทำอะไรไว้เยอะ เพียงแต่ประชาชนคิดว่า “ยังไม่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง!”
และในขณะเดียวกันนั้น “พรรคภูมิใจไทย” เป็นพรรคที่ประกาศชัดเจนว่าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทย แต่อาจจะ “ฮึกเหิม” อย่างมากที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะกวาด ส.ส.ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อไว้ไม่น้อยกว่า 70 ที่นั่ง จนมั่นใจว่าได้แน่ แต่แล้วได้มาเพียงครึ่งเดียว ต้องเรียนว่า “บทเรียน” ชิ้นนี้น่าโหดอย่างมากที่ “พรรคภูมิใจไทย” ต้องเรียนรู้และย้ำว่า “ต้องเรียนรู้!”
“พรรคเพื่อไทย” วันนี้ ได้รับกระแสตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ไม่มีทางที่จะหลุดเป็นฝ่ายค้านอย่างเด็ดขาด ทั้งๆ ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาจจะสอยโดนใบแดงและใบเหลืองสูงสุดไม่น่าเกิน 5-6 คนเท่านั้น คะแนนเสียงก็ยังเกิน 250 ที่นั่งอย่างแน่นอน พร้อมทั้งขณะนี้ ได้ระดมพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน และพรรคพลังชลไว้เรียบร้อย โดยมีคะแนนที่ระดับประมาณ 300 ที่นั่ง ซึ่งน่าจะดูดี!
ประเด็นสำคัญ ขอแสดงความยินดีกับ “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก” ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตลอดระยะเวลา 79 ปี ที่ต้องยืนยันว่า “หัวหน้าพรรคตัวจริงเสียงจริง” คือ คุณทักษิณ ชินวัตร ไม่มีทางเลือกใครอื่นนอกจาก “คุณปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน เพื่อป้องกัน “งูเห่า” เหมือนเช่นสมัยอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช
การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีของ “ยิ่งลักษณ์ 1” นั้น ต้องจัดให้ดูดีที่สุด มิให้เกิด “กระแสยี้” อย่างเด็ดขาด บุคลากรที่มานั่งตำแหน่งกระทรวงสำคัญที่ต้องดูแลเศรษฐกิจภายในประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กล่าวคือ เศรษฐกิจภายในประเทศนั้น คือ สินค้าราคาแพง ปัญหาปากท้อง เป็นต้น และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ คือ ความสัมพันธ์กับกลุ่มสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศกัมพูชา ตลอดจน “สังคมโลกาภิวัตน์” ที่บรรดารัฐมนตรีพาณิชย์ รัฐมนตรีต่างประเทศ และด้านอุตสาหกรรมทั้งท่องเที่ยวและการส่งออก จำต้อง “คัดเลือก-คัดสรร” ให้เป็นอย่างดี ทั้งในกรณีความรู้ความสามารถ และคุณสมบัติความซื่อสัตย์สุจริต
ในกรณีของ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” และ “นโยบายเชิงทุจริต” นั้นต้องเรียนว่า “อิท อิส โน..โน..โน่!” หมายความว่า “ห้ามเด็ดขาด!” เพราะประชาชนต่างรู้ทันและเฝ้าจับตามอง
จากที่ได้ยินได้ฟังมานั้น คุณทักษิณ ชินวัตร น่าจะเรียนรู้ได้เป็นอย่างดีว่า ตลอดระยะเวลาที่เป็นใหญ่สุดขอบฟ้ายุค 2544-2549 นั้น ได้ทำอะไรลงไปบ้าง จนเรียกว่า “เกือบซื้อประเทศไทย” ทั้งประเทศได้
และที่สำคัญมากไปกว่านั้น “การล้างแค้น” นั้น ก็ต้องเรียนว่า “ทำให้น้อยที่สุด” มิใช่ ฟาดหัวฟาดหางเอาแต่กวาดล้างจนหนำใจ และส่วนสุดท้ายที่สำคัญมากที่สุดคือ “การประกาศนิรโทษกรรม” กับ “เอาเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท” เพราะจะทำให้ ประเทศชาติกลับสู่สภาวะเดิม และน้องสาวจะต้องถูกอัปเปหิออกจากประเทศ
ขอให้ “พรรคเพื่อไทย” และ “คุณปู : ยิ่งลักษณ์” จงโชคดี!
อย่างไรก็ตาม หลากหลายฝ่ายต่างทำนายทายทักว่า “พรรคเพื่อไทย” ต้องได้คะแนนมากกว่า “พรรคประชาธิปัตย์” อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเกินกว่าครึ่งหนึ่ง มากถึง 262 ที่นั่ง ส่วน “พรรคประชาธิปัตย์” ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้คะแนนที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทั้งสองส่วนเพียงเกือบ 170 คนเท่านั้น ซึ่งต่างคิดว่าน่าจะได้ประมาณ 200 กว่าขึ้นไป
การที่ “พรรคเพื่อไทย” ประกาศจัดตั้งรัฐบาล และที่สำคัญที่สุดได้ออกมาแถลงข่าวหลังพรรคประชาธิปัตย์ได้แถลงข่าวก่อน ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยตั้งใจว่าจะประกาศแถลงข่าวช่วงประมาณ 19.00 น. ของค่ำวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2554 แต่ในที่สุดก็รอให้พรรคประชาธิปัตย์แถลงข่าวก่อน เรียกว่า “เป็นงาน!”
ว่าไปแล้ว การที่พรรคเพื่อไทยได้คะแนนนิยมมากเพียงนี้ ต้องเรียนตามตรงว่า “กระแส-กระสุนดีมาก!” กล่าวคือ กลุ่ม “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” บวกกับ “กลุ่มเสื้อแดง” นั้น ต้องเรียกว่าหนาแน่นมาก ทั้งภาคเหนือและภาคอีสานตอนบนตอนล่าง และในขณะเดียวกัน “กระสุน” และ/หรือ “เม็ดเงิน” ในการรณรงค์หาเสียง ตลอดจน “ขบวนการใต้ดิน!” นั้น ต้องเรียกว่า “ดีมาก” เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในภาคอีสานตอนล่าง ที่แน่นอนว่า “ผู้ใหญ่ดูไบ” นั้น ต้องกระชับพื้นที่เพื่อ “ชำระแค้น” ให้จงได้
ซึ่งขอเรียนตามตรงว่า “พรรคภูมิใจไทย” นั้น ตั้งใจไว้สูงถึง 70 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร แต่ได้เพียงครึ่งเดียวคือ 35 ที่นั่งนั้น ขอเรียนว่า “อกหัก!” อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ทั้งนี้ มิได้ต้องการซ้ำเติมพรรคภูมิใจไทยแต่ประการใด จริงๆ แล้ว ยังคิดเองเลยว่า ไม่น่าจะต่ำกว่า 55 ที่นั่งเสียด้วยซ้ำ!
อย่างไรก็ตาม จากคะแนนเสียงที่พรรคเพื่อไทยได้ 260 กว่าที่นั่งนี้ ต้องเรียนว่า “เกินคาดเล็กน้อย!” โดยต่างฝ่ายต่างคิดว่าไม่น่าจะได้เกิน 230-240 ที่นั่ง แต่วันนี้ “ผลพลิกล็อก” เช่นนี้ “เราต่างต้องยอมรับความเป็นจริงว่ามันเป็นเช่นนี้” และขอย้ำว่า “กระแส-กระสุน” แรงมาก!
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคนั้น ต้องขอยกนิ้วโป้งให้ว่า “ถูกต้องแล้วคร๊าบ!” ที่คณะกรรมการบริหารพรรคสมควรลาออก พร้อมทั้งปรับองคาพยพหมด
แต่ก็ต้องยอมรับเช่นเดียวกันว่า “2 ปีครึ่ง” ที่ผ่านมานั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำอะไรบ้าง ก็ต้องตอบว่า “เยอะ!” เพียงแต่ประชาชนไม่สามารถสัมผัสได้มากมายนัก แม้แต่ “เบี้ยยังชีพ!” ยังมีผู้อาวุโสอายุเกิน 60 ปียังไม่ได้รับการดูแลอย่างถ้วนหน้า ขอย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์ทำอะไรไว้เยอะ เพียงแต่ประชาชนคิดว่า “ยังไม่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง!”
และในขณะเดียวกันนั้น “พรรคภูมิใจไทย” เป็นพรรคที่ประกาศชัดเจนว่าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทย แต่อาจจะ “ฮึกเหิม” อย่างมากที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะกวาด ส.ส.ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อไว้ไม่น้อยกว่า 70 ที่นั่ง จนมั่นใจว่าได้แน่ แต่แล้วได้มาเพียงครึ่งเดียว ต้องเรียนว่า “บทเรียน” ชิ้นนี้น่าโหดอย่างมากที่ “พรรคภูมิใจไทย” ต้องเรียนรู้และย้ำว่า “ต้องเรียนรู้!”
“พรรคเพื่อไทย” วันนี้ ได้รับกระแสตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ไม่มีทางที่จะหลุดเป็นฝ่ายค้านอย่างเด็ดขาด ทั้งๆ ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาจจะสอยโดนใบแดงและใบเหลืองสูงสุดไม่น่าเกิน 5-6 คนเท่านั้น คะแนนเสียงก็ยังเกิน 250 ที่นั่งอย่างแน่นอน พร้อมทั้งขณะนี้ ได้ระดมพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน และพรรคพลังชลไว้เรียบร้อย โดยมีคะแนนที่ระดับประมาณ 300 ที่นั่ง ซึ่งน่าจะดูดี!
ประเด็นสำคัญ ขอแสดงความยินดีกับ “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก” ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตลอดระยะเวลา 79 ปี ที่ต้องยืนยันว่า “หัวหน้าพรรคตัวจริงเสียงจริง” คือ คุณทักษิณ ชินวัตร ไม่มีทางเลือกใครอื่นนอกจาก “คุณปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน เพื่อป้องกัน “งูเห่า” เหมือนเช่นสมัยอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช
การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีของ “ยิ่งลักษณ์ 1” นั้น ต้องจัดให้ดูดีที่สุด มิให้เกิด “กระแสยี้” อย่างเด็ดขาด บุคลากรที่มานั่งตำแหน่งกระทรวงสำคัญที่ต้องดูแลเศรษฐกิจภายในประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กล่าวคือ เศรษฐกิจภายในประเทศนั้น คือ สินค้าราคาแพง ปัญหาปากท้อง เป็นต้น และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ คือ ความสัมพันธ์กับกลุ่มสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศกัมพูชา ตลอดจน “สังคมโลกาภิวัตน์” ที่บรรดารัฐมนตรีพาณิชย์ รัฐมนตรีต่างประเทศ และด้านอุตสาหกรรมทั้งท่องเที่ยวและการส่งออก จำต้อง “คัดเลือก-คัดสรร” ให้เป็นอย่างดี ทั้งในกรณีความรู้ความสามารถ และคุณสมบัติความซื่อสัตย์สุจริต
ในกรณีของ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” และ “นโยบายเชิงทุจริต” นั้นต้องเรียนว่า “อิท อิส โน..โน..โน่!” หมายความว่า “ห้ามเด็ดขาด!” เพราะประชาชนต่างรู้ทันและเฝ้าจับตามอง
จากที่ได้ยินได้ฟังมานั้น คุณทักษิณ ชินวัตร น่าจะเรียนรู้ได้เป็นอย่างดีว่า ตลอดระยะเวลาที่เป็นใหญ่สุดขอบฟ้ายุค 2544-2549 นั้น ได้ทำอะไรลงไปบ้าง จนเรียกว่า “เกือบซื้อประเทศไทย” ทั้งประเทศได้
และที่สำคัญมากไปกว่านั้น “การล้างแค้น” นั้น ก็ต้องเรียนว่า “ทำให้น้อยที่สุด” มิใช่ ฟาดหัวฟาดหางเอาแต่กวาดล้างจนหนำใจ และส่วนสุดท้ายที่สำคัญมากที่สุดคือ “การประกาศนิรโทษกรรม” กับ “เอาเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท” เพราะจะทำให้ ประเทศชาติกลับสู่สภาวะเดิม และน้องสาวจะต้องถูกอัปเปหิออกจากประเทศ
ขอให้ “พรรคเพื่อไทย” และ “คุณปู : ยิ่งลักษณ์” จงโชคดี!