ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จุดประสงค์เบื้องหลังของการส่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์หมายเลข 1 ของพรรคเพื่อไทย และให้เป็นคู่ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้นั้น คอการเมืองมองแค่แว็บเดียวก็รู้ว่า เป็นการลงมาทำหน้าที่ทางการเมืองแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นักโทษหนีคดีผู้เป็นพี่ชาย อย่างชัดเจน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนของทักษิณ ชินวัตร ที่ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นยิ่งกว่านอมินี เพราะน้องสาวคนนี้เป็น “โคลนนิ่ง”ของตัวเอง
เมื่อมองเป้าหมายสูงสุดของทักษิณ ชินวัตร ที่ยังคงไม่วางมือจากการเมืองนั้น ก็เพราะต้องการจะกลับเข้ามามีอำนาจรัฐอีกครั้ง เพื่อใช้อำนาจดำเนินการให้ตนเองปราศจากความผิดทั้งจากคดีที่ดินรัชดาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งจำคุก 2 ปี และคดีทุจริตอีกเกือบ 10 คดีที่รอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รวมทั้งได้ทรัพย์สินที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งยึดเข้ารัฐ 46,000 ล้านบาทกลับคืน
การเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศวันที่ 3 ก.ค.นี้ ถือว่าเข้าทางทักษิณ ชินวัตร ที่เชี่ยวชาญกลเกมการเลือกตั้งมากกว่า ในฐานะต้นตำรับนโยบายประชานิยม ที่เสนอโครงการเป็นรูปธรรมมากกว่าพรรคการเมืองคู่แข่งที่หลงกลหันมาเล่นเกมประชานิยมด้วยกัน
ผลสำรวจคะแนนนิยมในช่วงก่อนวันเลือกตั้งจึงออกมาว่า พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำคู่แข่งค่อนข้างชัดเจน อย่างไรก็ตามเป้าหมายของทักษิณ ชินวัตรนั้น ไม่ใช่แค่ให้ได้ ส.ส.มากเป็นอันดับหนึ่ง แต่ต้องให้ได้เกินครึ่ง คือ มากกว่า 250 ที่นั่ง หรือให้ถึง 300 เสียง เพื่อให้สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียว หรือไม่ก็ดึงเอาพรรคการเมืองขนาดเล็กที่ไม่ค่อยมีอำนาจต่อรองเข้ามาร่วมเพื่อเป็นใบเฟิร์นประกอบช่อดอกไม้
ดังนั้น แม้ผลสำรวจออกมาจะชี้ว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งค่อนข้างแน่นอน แต่ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังไม่วางใจ ยิ่งกระแสข่าวว่า โพลหลายๆ สำนักที่ออกมา มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นโพลแหกตาที่ทำออกมาเพื่อเอาใจเท่านั้น
ยิ่งในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงนั้น พรรคประชาธิปัตย์ คู่แข่งสำคัญได้นำประเด็นการเผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อแดงมาทำลายคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยมากขึ้น ซึ่งแม้จะเป็นความผิดของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ในฐานะเป็นรัฐบาลและขาดประสิทธิภาพในการระงับเหตุ แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อแดงด้วยเช่นกัน เพราะคนเสื้อแดงเป็นกลไกหนึ่งของพรรคเพื่อไทยและเป็นเครื่องมืออันหนึ่งของทักษิณ ชินวัตร ที่จะทำให้เขาได้กลับประเทศโดยปราศจากความผิดและได้ทรัพย์สินคืน
แกนนำคนเสื้อแดงหลายคนที่มีบทบาทในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเป็น ส.ส.และเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย หลายคนเป็นคนใกล้ชิดของทักษิณ ชินวัตร และระหว่างก่อเหตุก็ได้เดินทางไปพบทักษิณ ชินวัตรในต่างประเทศหลายครั้ง และยิ่งเมื่อปรากฏรายชื่อแกนนำคนเสื้อแดงอยู่ในรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยเกือบครบทุกคน ไม่เว้นแม้แต่แกนนำบางคนที่ยังหลบหนีอยู่ในต่างประเทศก็ยังส่งลูกเมียลงสมัครเป็นนอมินีด้วย ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยกับพวกเผาบ้านเผาเมืองนั้นเป็นหนึ่งเดียวกันยากที่จะแยกออกจากกันได้
การให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ท่องสโลแกน “แก้ไขไม่แก้แค้น”ระหว่างการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ไม่อาจกลบเกลื่อนเจตนารมณ์ที่แท้จริงของทักษิณ ชินวัตรได้เช่นกัน ยิ่งเมื่อเขาให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ พยายามย้ำคำว่าไม่แก้แค้นจนผิดสังเกต บวกกับการที่เขามักทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำพูดเมื่อครั้งที่มีอำนาจอยู่ในมือ ยิ่งทำให้น่าสงสัยว่าหากได้กลับมามีอำนาจรัฐอีกครั้ง จะไม่แก้แค้นตามที่พูดไว้หรือไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคำให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศยังคงมีการดูหมิ่นระบบศาลไทยว่าเป็นมิกกี้เมาส์ และบิดเบือนว่ารัฐบาลปล้นเงินเขาไป สะท้อนว่าในใจลึกๆ ของทักษิณ ชินวัตร ยังคงเต็มไปด้วยความคั่งแค้น และพร้อมที่จะเอาคืนทุกเมื่อหากเขากลับมามีอำนาจรัฐอยู่ในมืออีกครั้ง
ในช่วงการหาเสียงโค้งท้ายๆ จะเห็นว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามที่จะออกมาปฏิเสธว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะไม่มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ในการหาเสียงของผู้สมัครในพื้นที่ ช่วงแรกๆ ของการหาเสียงมีการประกาศชัดเจนว่า หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งก็จะ “พาทักษิณกลับบ้าน” รวมทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ทักษิณ ชินวัตรเอง ก็ประกาศว่าจะกลับมาร่วมงานแต่งงานลูกสาวในช่วงปลายปี 2554 นี้ ซึ่งความหมายโดยนัยก็คือ ต้องลบล้างความผิดที่มีโทษถึงจำคุก 2 ปีเสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีสิทธิที่จะร่วมงานแต่งลูกสาวได้
ขณะเดียวกัน ในการหาเสียงช่วงแรกๆ มีการมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นหัวหน้าทีมรับผิดชอบดำเนินการเรื่องการออกกฎหมายนิรโทษกรรม เป็นการตอกย้ำว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล งานใหญ่ที่จะต้องทำแน่ๆ คือการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ทักษิณ ชินวัตร และผู้ที่ถูกดำเนินคดีหลังการยึดอำนาจวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา ซึ่งจะรวมถึงคนเสื้อแดงเสื้อเหลืองด้วย ตามข้ออ้างเรื่องการปรองดองเพื่อให้เกิดความสงบในประเทศ
แต่เมื่อการนิรโทษกรรมโดยที่กระบวนการยุติธรรมยังไม่สิ้นสุดและผู้กระทำผิดยังไม่ได้รับโทษ ถือเป็นการทำลายหลักนิติรัฐอย่างรุนแรง ซึ่งกระแสสังคมไม่อาจยอมรับได้ ในช่วงโค้งท้ายๆ ของการหาเสียง พรรคเพื่อไทยจึงต้องออกมาย้ำหลายครั้งว่าหากได้เป็นรัฐบาลจะเน้นไปที่การทำงานแก้ไขปัญหาของประชาชน ไม่นิรโทษกรรมให้ทักษิณ ชินวัตร เพื่อไม่ให้พรรคตกเป็นเป้าโจมตีจนต้องตกม้าตายในช่วง 100 เมตรสุดท้าย
นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวว่า ในช่วงวันสุดท้ายของการหาเสียง จะให้ทักษิณ ชินวัตร ประกาศว่าจะยังไม่กลับเข้ามาในประเทศในระยะเวลาอันใกล้นี้ เพื่อลดกระแสต่อต้าน โดยจะใช้ข้ออ้างว่าเพื่อรอให้บรรยากาศการปรองดองมาถึงก่อน ส่วนการปรองดองมาถึงเมื่อไหร่นั้น พรรคเพื่อไทยสามารถกำหนดเองได้ หลังจากได้เป็นรัฐบาลแล้ว
ขณะที่ข่าวบางกระแสระบุถึงขั้นว่า ทักษิณ ชินวัตร อาจจะประกาศลอยแพแกนนำคนเสื้อแดง เพื่อสร้างความสมานฉันท์กับฝ่ายต่างๆ เพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายผลักดันให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลก่อน หลังจากนั้นค่อยตบรางวัลชดเชยคืนคนเสื้อแดงในภายหลัง
นี่คือเล่ห์เหลี่ยมของคนชื่อทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังเดินเกมกลบเกลื่อนเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อลดแรงต่อต้านจากฝ่ายต่างๆ และให้ตนเองได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง