ASTVผู้จัดการรายวัน-“ดีแทค”ร่อแร่ “พาณิชย์”เริ่มสอบเชิงลึกวันนี้ เล็งสอบ 56 บริษัทที่ส่อเป็นนอมินีถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เผยหากพบแม้แต่รายเดียว ดีแทคจบเห่ คาดสรุปผลได้ 4 ก.ค.นี้ ระบุหากผิดจริง เจอคุก 3 ปี ปรับ 1 แสนถึง 1 ล้าน และศาลสั่งให้เลิกกิจการ ส่วนพวกมีเอี่ยวเจอโทษเท่ากัน
นายบรรยงค์ ลิ้มประยูรวงศ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า วันนี้ (23 มิ.ย.) กรมฯ จะเชิญประชุมคณะทำงานตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ตามที่ได้มีการร้องเรียนจากคณะกรรมาธิการการสื่อสารและโทรคมนาคม และบริษัท ทรูมูฟ จำกัด ว่ามีเหตุอันควรเชื่อถือได้ว่าดีแทคเป็นคนต่างด้าว โดยคาดว่าจะสรุปผลได้ภายในวันที่ 4 ก.ค.2554 นี้ และการสรุปผลจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ได้มีการตรวจสอบพบ
“วันที่ 4 ก.ค.นี้ เราจะพยายามฟันธง จะบอกได้ว่าดีแทคเป็นหรือไม่เป็นต่างด้าว หรือถ้าบอกไม่ได้ ก็จะต้องบอกว่าอะไรควรทำต่อ”นายบรรยงค์กล่าว
นายบรรยงค์กล่าวว่า แนวทางการตรวจสอบ กรมฯ จะพิจารณาตรวจสอบการถือหุ้นของคนไทยจำนวน 51% โดยจะเน้นไปที่นิติบุคคลจำนวน 56 ราย และได้มีการสุ่มคัดเลือกมาจำนวน 10 ราย ซึ่งเบื้องต้นพบว่า มีลำดับชั้นการถือหุ้นถึง 5 ชั้น มีทั้งคนธรรมดา นิติบุคคล แต่ที่จะตรวจสอบเป็นพิเศษ ก็คือ บริษัท ไทยเทลโค โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วน 23% จาก 51%
ทั้งนี้ การตรวจสอบที่ต้องมุ่งเน้นไปยังนิติบุคคลไทย 56 ราย เพราะการตรวจสอบตรงจุดนี้ หากพบว่ามีนิติบุคคลรายใดรายหนึ่งเป็นต่างด้าว ก็จะทำให้สัดส่วนหุ้นของต่างด้าวในดีแทคเปลี่ยนไป โดยจะทำให้สัดส่วนหุ้นเพิ่มจาก 49% ขึ้นไป และหากเกิน 50% ก็จะถือเป็นบริษัทต่างด้าวทันที
“เราจะดูว่า นิติบุคคลทั้ง 56 รายนี้ มีสภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร เป็นคนไทยหรือต่างด้าว ถ้าบังเอิญรายใดรายหนึ่งที่แสดงว่าเป็นไทย แต่มีหลักฐานแน่ชัดว่าไม่ใช่คนไทย ผลกระทบก็จะเกิดขึ้นเป็นโดมิโน ทำให้ดีแทคเป็นคนต่างด้าวทันที และถ้าผลการตรวจสอบมีเหตุเชื่อได้ว่าดีแทคเป็นต่างด้าว ผลก็จะออกมาว่าดีแทคผิดมาตรา 36 และ 37 ของพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ทันที”นายบรรยงค์กล่าว
ส่วนคนต่างชาติที่ถือหุ้นสัดส่วน 49% นั้น ก็จะมีการตรวจสอบการเชื่อมโยงเช่นเดียวกัน โดยจะตรวจสอบบริษัท เทเลนอร์ เอเชีย พีทีเอ จำกัด ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นถึง 41% และบริษัท ตั๊กวู โฮลดิ้ง สัญชาติ บริติช เวอร์จิ้น
นายบรรยงค์กล่าวว่า ถ้าผลการตรวจสอบดีแทคเป็นบริษัทต่างด้าว ก็จะมีความผิดโทษฐานประกอบธุรกิจไม่ขออนุญาตตามบัญชี 3 (21) ซึ่งกำหนดให้การประกอบธุรกิจโทรคมนาคมของคนต่างด้าวจะต้องขออนุญาตจากอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1 แสนถึง 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลจะต้องสั่งให้บริษัทเลิกกิจการ ถ้าฝ่าฝืนจะปรับวันละ 1 หมื่นถึง 5 หมื่นบาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน
สำหรับนิติบุคคลหรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้ดีแทคเป็นคนต่างด้าว รวมถึงคนต่างด้าวที่ให้คนไทยถือหุ้นแทน (นอมินี) ก็จะมีโทษเช่นเดียวกับการประกอบธุรกิจไม่ขออนุญาต
อย่างไรก็ตาม กรมฯ ยังได้เปิดโอกาสให้ดีแทร ทรูมูฟ และบริษัทที่เกี่ยวข้อง บุคคลที่เห็นว่าควรจะตรวจสอบ สามารถมาให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงกับกรมฯ ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
นายบรรยงค์ ลิ้มประยูรวงศ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า วันนี้ (23 มิ.ย.) กรมฯ จะเชิญประชุมคณะทำงานตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ตามที่ได้มีการร้องเรียนจากคณะกรรมาธิการการสื่อสารและโทรคมนาคม และบริษัท ทรูมูฟ จำกัด ว่ามีเหตุอันควรเชื่อถือได้ว่าดีแทคเป็นคนต่างด้าว โดยคาดว่าจะสรุปผลได้ภายในวันที่ 4 ก.ค.2554 นี้ และการสรุปผลจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ได้มีการตรวจสอบพบ
“วันที่ 4 ก.ค.นี้ เราจะพยายามฟันธง จะบอกได้ว่าดีแทคเป็นหรือไม่เป็นต่างด้าว หรือถ้าบอกไม่ได้ ก็จะต้องบอกว่าอะไรควรทำต่อ”นายบรรยงค์กล่าว
นายบรรยงค์กล่าวว่า แนวทางการตรวจสอบ กรมฯ จะพิจารณาตรวจสอบการถือหุ้นของคนไทยจำนวน 51% โดยจะเน้นไปที่นิติบุคคลจำนวน 56 ราย และได้มีการสุ่มคัดเลือกมาจำนวน 10 ราย ซึ่งเบื้องต้นพบว่า มีลำดับชั้นการถือหุ้นถึง 5 ชั้น มีทั้งคนธรรมดา นิติบุคคล แต่ที่จะตรวจสอบเป็นพิเศษ ก็คือ บริษัท ไทยเทลโค โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วน 23% จาก 51%
ทั้งนี้ การตรวจสอบที่ต้องมุ่งเน้นไปยังนิติบุคคลไทย 56 ราย เพราะการตรวจสอบตรงจุดนี้ หากพบว่ามีนิติบุคคลรายใดรายหนึ่งเป็นต่างด้าว ก็จะทำให้สัดส่วนหุ้นของต่างด้าวในดีแทคเปลี่ยนไป โดยจะทำให้สัดส่วนหุ้นเพิ่มจาก 49% ขึ้นไป และหากเกิน 50% ก็จะถือเป็นบริษัทต่างด้าวทันที
“เราจะดูว่า นิติบุคคลทั้ง 56 รายนี้ มีสภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร เป็นคนไทยหรือต่างด้าว ถ้าบังเอิญรายใดรายหนึ่งที่แสดงว่าเป็นไทย แต่มีหลักฐานแน่ชัดว่าไม่ใช่คนไทย ผลกระทบก็จะเกิดขึ้นเป็นโดมิโน ทำให้ดีแทคเป็นคนต่างด้าวทันที และถ้าผลการตรวจสอบมีเหตุเชื่อได้ว่าดีแทคเป็นต่างด้าว ผลก็จะออกมาว่าดีแทคผิดมาตรา 36 และ 37 ของพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ทันที”นายบรรยงค์กล่าว
ส่วนคนต่างชาติที่ถือหุ้นสัดส่วน 49% นั้น ก็จะมีการตรวจสอบการเชื่อมโยงเช่นเดียวกัน โดยจะตรวจสอบบริษัท เทเลนอร์ เอเชีย พีทีเอ จำกัด ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นถึง 41% และบริษัท ตั๊กวู โฮลดิ้ง สัญชาติ บริติช เวอร์จิ้น
นายบรรยงค์กล่าวว่า ถ้าผลการตรวจสอบดีแทคเป็นบริษัทต่างด้าว ก็จะมีความผิดโทษฐานประกอบธุรกิจไม่ขออนุญาตตามบัญชี 3 (21) ซึ่งกำหนดให้การประกอบธุรกิจโทรคมนาคมของคนต่างด้าวจะต้องขออนุญาตจากอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1 แสนถึง 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลจะต้องสั่งให้บริษัทเลิกกิจการ ถ้าฝ่าฝืนจะปรับวันละ 1 หมื่นถึง 5 หมื่นบาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน
สำหรับนิติบุคคลหรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้ดีแทคเป็นคนต่างด้าว รวมถึงคนต่างด้าวที่ให้คนไทยถือหุ้นแทน (นอมินี) ก็จะมีโทษเช่นเดียวกับการประกอบธุรกิจไม่ขออนุญาต
อย่างไรก็ตาม กรมฯ ยังได้เปิดโอกาสให้ดีแทร ทรูมูฟ และบริษัทที่เกี่ยวข้อง บุคคลที่เห็นว่าควรจะตรวจสอบ สามารถมาให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงกับกรมฯ ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
