ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ขณะที่การหาเสียงเลือกตั้งกำลังดำเนินไปอย่างเมามัน ทั้งการสร้างสีสันสารพัดรูปแบบของบรรดาแกนนำพรรคการเมืองและผู้สมัครฯในพื้นที่เพื่อจะได้มีข่าวปรากฏตามหน้าสื่อต่างๆ นโยบายประชานิยม ลด-แลก-แจก-แถม ถาโถมออกมาไม่หยุดหย่อน ขณะที่กระแสโพลถูกปั่นขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเหล่า ยังไม่นับการกล่าวหาสาดโคลนโจมตีกันไปมา ทั้งนี้หาใช่อื่นใดแต่เป็นไปเพื่อเป้าหมายที่ต้องการชนะการเลือกตั้ง ซึ่งจะถึงในวันที่ 3 ก.ค.นี้เท่านั้น
นาทีนี้ต้องยอมรับว่าพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์กำลังตกเป็น 'มวยรอง' เพราะทั้งโพลแท้โพลปั่นต่างก็ฟันธงตรงกันว่าพรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำ ขณะที่ฐานมวลชนของ 2 ค่ายนั้นสรรพกำลังดูจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฐานเสียงของเพื่อไทยนับวันมีแต่จะแข็งแกร่ง ด้วยยุทธวิธีปลุกระดมล้างสมองคนเสื้อแดงที่ดำเนินมาต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี จนถึงวันนี้มิใช่เป็นแค่มวลชน แต่ถึงขั้นจัดตั้งกันเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง
แต่ฝ่ายประชาธิปัตย์นั้นกลับไม่สามารถรักษาฐานเสียง 'คนเมือง' ไว้ได้ อาจจะด้วยความประมาททะนงตน หรือไม่เคยวิเคราะห์ถึงลักษณะของฐานเสียงตนเองก็เป็นได้ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ลืมไปว่า 'ชนชั้นกลาง' ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของพรรคนั้นส่วนใหญ่เป็นคนที่มีการศึกษา ติดตามข่าวสารบ้านเมืองและการทำงานของนักการเมืองทั้งที่เป็นฝ่ายค้านและรัฐบาล คนกลุ่มนี้จึงตัดสินเลือกผู้แทนจาก 'ผลงาน' และความรู้ความสามารถเป็นหลัก มิใช่ประเภทรักหัวปักหัวปำ เข้ามาแล้วจะปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองอย่างไรก็ไม่สนใจ หรือเลือกใครก็ได้ที่จ่าย 500 จ่าย 1,000 และมีนโยบายประชานิยม 'แจกไม่อั้น' แม้จะส่งผลกระทบต่องบประมาณและระบบการเงินการคลังของประเทศก็ตาม
ดังนั้น เมื่อการบริหารตลอด 2 ปีที่เป็นรัฐบาลของประชาธิปัตย์เต็มไปด้วยปัญหาคอร์รัปชั่น สินค้าราคาแพง ปล่อยผีเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง และประเด็นที่ทำให้เจ็บช้ำมากที่สุดคือ การทำให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงที่จะเสียดินแดนให้เขมร ที่ทำให้คนที่เคยรักเคยเลือกประชาธิปัตย์ รวมกระทั่งถึง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรู้สึกผิดหวังและมองว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ก็ไม่ต่างไปจากรัฐบาลที่พวกเขาเคยขับไล่ การเมืองไทยเหมือน 'หนีเสือ ปะจระเข้' หรือถ้าพูดกันภาษาชาวบ้านก็ต้องเรียกว่า “อัปรีย์ไป จัญไรมา” เมื่อถึงคราเลือกตั้งครั้งใหม่คนเหล่านี้จึงมิอาจทำใจเลือกพรรคประชาธิปัตย์ได้อีกต่อไป จนทำให้เกิดกระแส 'โหวตโน' ที่กลายเป็นประเด็นทิ่มแทงใจประชาธิปัตย์อยู่ในขณะนี้
เพราะประชาธิปัตย์รู้ซึ้งแล้วว่า ความพยายามที่จะขยายฐานเสียงเอาชนะใจคนเสื้อแดงด้วยการสมานฉันท์ ปล่อยคนเผาเมืองกลับบ้านพร้อมแถมค่ารถเป็นโบนัส รวมทั้งนโยบายประชานิยมล้นหลามตามรอยพรรคเพื่อไทยนั้นหาได้มีความหมายใดๆ ในสายตาคนรักทักษิณ ในขณะที่คนชั้นกลางที่เป็นฐานเสียงประชาธิปัตย์ก็มีแนวโน้มที่จะ 'โหวตโน' เพื่อสั่งสอนนักการเมืองทุกพรรคที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชน ยังคงส่งคนโกงบ้านกินเมืองเละเจ้าพ่อมาเฟียมาลงสมัครรับเลือกตั้ง ขณะที่การให้สัมภาษณ์แต่ละครั้งก็พูดกันแต่เรื่องไม่ร่วมกับพรรคนี้ จะจับมือกับพรรคนี้จัดตั้งรัฐบาล แต่แทบไม่เคยพูดว่าจะทำอะไรเพื่อประชาชน
เมื่อประชาธิปัตย์มองเห็นคะแนนเสียงที่ตกลงอย่างฮวบฮาบจากมาตรการ 'โหวตโน' จึงจำเป็นต้องส่ง 'ขุนพลเงา' ออกมาแก้เกมเบี่ยงเบนประเด็น เพื่อดึงคะแนนกลับให้จงได้ ดังนั้น เราจึงได้เห็นบรรดา 'ปรมาจารย์สื่อ' อย่าง 'เปลว สีเงิน' แห่งไทยโพสต์ , 'เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง' เจ้าของบริษัทว็อชด้อก จำกัด ซึ่งปัจจุบันเป็นพิธีกรดังประจำรายการคลายปม รวมทั้งสื่อน้ำดีฝีปากกล้าอย่าง 'กนก รัตน์วงศ์สกุล' จากค่ายเนชั่น ต่างออกมาป่าวร้องในท่วงทำนองเดียวกันว่า “ โหวตโน...เป็นคะแนนที่เสียเปล่า ” ซึ่งนอกจากไม่ได้อะไรแล้วยังทำให้พรรคอันธพาลเผาบ้านเผาเมือง และพรรคที่มีแนวคิดเป็นอันตรายต่อสถาบันอย่างเพื่อไทยได้เข้ามาเป็นรัฐบาลนั่งบริหารประเทศ ซึ่งประชาชนจะช่วยกันปกป้องประเทศให้พ้นจากความเลวร้ายเหล่านี้ได้ด้วยวิธีเดียวนั่นคือ 'ลงคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์' ได้กลับมาเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งนี้
แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือบรรดาสื่อเหล่านี้ยังเป็นกระบอกเสียงในการ 'ปล่อยข่าว' ว่าการรณรงค์โหวตโนครั้งนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และมีเป้าหมายที่จะ 'ตัดคะแนนพรรคประชาธิปัตย์' เนื่องเพราะบัดนี้ 'สนธิ ลิ้มทองกุล' แกนนำพันธมิตรฯ ที่ถูกมองว่าเป็นเจ้าของแนวคิดโหวตโนนั้น หันไปจูบปากกับ 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' และ'รับเงิน รับงาน' มาสร้างกระแสโหวตโน เพื่อตัดคะแนนประชาธิปัตย์และเปิดทางให้เพื่อไทยได้เข้ามาเป็นรัฐบาล ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และนับเป็นความชั่วร้ายในการใช้ 'วิชามาร' มาทำลายพลังบริสุทธิ์ของประชาชน
อาทิความเห็นตอนหนึ่งที่กนกเขียนลงในเฟซบุ๊กของเขาและได้ถูกนำไปโพสต์ต่อในบล็อกและในเว็บไซต์ต่างๆ จนกลายเป็นประเด็นขึ้นมา โดยเขาระบุว่า
“ เลือกตั้งครั้งนี้แปลกประหลาด นอกจากป้ายหาเสียงที่เราเห็นกันอยู่เสมอ ยังมีป้ายรณรงค์ให้โหวตโน แปะข้อความว่า "อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภาฯ" เกิดมาไม่เคยพบเห็น เขายอมเสียเงินทำป้ายเพื่อให้คนไปโหวตโน เพื่ออะไร? รู้อยู่แล้วว่า..ยังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แต่เขาก็ยังทำ! คนทำต้องการอะไร? (แอบแฝงหรือเปล่า?)
คนโหวตโนหลายคน พุ่งเป้ามาที่พรรค ปชป.มากกว่าพรรคเพื่อไทย เพราะในทีวีช่องนั้น ช่วงหลังจ้องด่าแต่ ปชป. (คนที่หนีไปอยู่เมืองนอก ชอบอกชอบใจใหญ่) คนเสื้อเหลืองที่เคยเลือก ปชป. เพราะเมื่อก่อนยังไม่มีพรรคการเมืองใหม่ คนส่วนนี้จะโหวตโน แสดงว่า พรรค ปชป.เสียคะแนนส่วนนี้ไป ขณะที่เพื่อไทยของคุณทักษิณ ยังเลือกกันเป็นกอบเป็นกำ
ขณะที่นักวิชาการสื่ออย่างเจิมศักดิ์ก็กล่าวเหน็บแนมเรื่องการโหวตโนผ่านรายการโทรทัศน์ของเขาซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยตัดเอาภาพเฉพาะช่วงตอนที่คุณสนธิขึ้นเวทีปราศรัยบอกว่า “ไม่ต้องคิดอะไรให้โหวตโนไปก่อน” และตัดเอาตอนสัมภาษณ์สมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ที่ไม่สนับสนุนการโหวตโน มาออกอากาศเพื่อย้ำให้เห็นว่าการโหวตโนนั้นเป็นสิ่งสูญเปล่า อีกทั้งยังมีการตั้งคำถามในลักษณะชี้นำ ให้เห็นว่าโหวตโนเป็นแนวคิดที่นายสนธิรณรงค์เพื่อช่วยเหลือพรรคเพื่อไทย โดยยกคำพูดของนายสนธิที่ว่า “โหวตโนเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์ ไปเป็นฝ่ายค้าน เพราะประชาธิปัตย์เก่งแต่พูด ” จากนั้นนายเจิมศักดิ์ก็เสริมต่อว่า “ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน แล้วพันธมิตร ฯ ต้องการให้ใครเป็นรัฐบาล พรรคเผาเมืองใช่ไหม”
ส่วนบทความของ 'เปลว สีเงิน' ที่แม้จะพูดถึงเฉพาะคนที่โหวตเลือกพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทยและพลังเงียบเท่านั้น แต่หากวิเคราะห์ถึงนัยก็จะพบว่าเป็นการชี้ให้เห็นว่าพลังเงียบควรเป็นตัวชี้ขาดการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อให้คะแนนของประชาธิปัตย์ 'ทิ้งห่าง' เพื่อไทย เพื่อไม่ให้เสื้อแดงมีข้ออ้างลุกขึ้นมาคัดค้านผลการเลือกตั้ง อีกทั้งยังขู่สำทับว่า
“ แต่ถ้าไม่ต้องการเปลี่ยนประเทศจากระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปเป็น 'แดงทั้งแผ่นดิน' คือไม่ต้องการให้ระบอบทักษิณครองประเทศ 'พลังเงียบ' ก็จะเลือกประชาธิปัตย์ให้ชนะขาดไปเลย!”
ทั้งนี้ทั้งนั้น ขออนุญาตวิจารณ์ว่าความคิดของสื่อเหล่านี้ช่างเป็นมุมมองที่ตื้นเขิน และมองการเมืองไทยแบบไร้มิติ เหตุใดจึงคิดเพียงว่าประชาชนควรเลือกใครก็ได้เพื่อสกัดไม่ให้เพื่อไทยกลับมา และการลงคะแนนโหวตโนซึ่งทำให้ประชาธิปัตย์เสียคะแนนส่วนหนึ่งไปนั้นเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ซึ่งต้องถามต่อว่า...เสียหายต่อใคร ต่อประเทศชาติ หรือต่อพรรคประชาธิปัตย์ ? เหตุใดประชาชนต้อง 'จำใจ' เลือกนักการเมืองที่มิได้มีผลงานหรือฝีไม้ลายมือเข้ามาบริหารประเทศ ? เหตุใดประชาชนจึงไม่มีสิทธิ์สงวนเสียงของตนเองไว้เพื่อส่งสัญญาณไปยังนักการเมืองว่า..ควรจะปรับปรุงการทำงาน เลิกคอร์รัปชั่น และคัดสรรคนดีเท่านั้นมาลงสมัครรับเลือกตั้ง ?
และหากย้อนไปดูท่าทีและมุมมองของบรรดาสื่อเหล่านี้ก็จะเห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมาพวกเขาล้วนแต่ชื่นชมและคอยเชียร์รัฐบาลประชาธิปัตย์อย่างออกหน้าออกตา ทำให้ไม่อาจมั่นใจได้ว่าทัศนคติต่อประเด็นการโหวตโนของพวกเขานั้นเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมือง หรือเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่พยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างเงื่อนไข “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” พยามยามสร้างภาพเป็น 'พระ' ที่จะมาปราบ 'ผีเสื้อแดง' ที่ตัวเองปล่อยไป เพื่อดึงคะแนนเสียงที่กำลังตกต่ำให้ตีตื้นกลับขึ้นมา !!