พล.ต.ดิษฏพร ศศะสมิต โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ( กอ.รมน. ) กล่าวถึงกรณีการจัดตั้งหมู่บ้านคนเสื้อแดง มีการนำรูป พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งให้เป็นผู้นำของหมู่บ้าน จะมีผลกระทบต่อความมั่นคงหรือไม่ว่า เรื่องนี้ต่อไปจะกระทบต่อความมั่นคงแน่ ถ้ามีการปลุกระดม ใส่ข้อมูลที่ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกแบ่งแยก หรือมีความรู้สึกตามที่เขาต้องการ ก็ต้องมีผลกระทบต่อความมั่นคงแน่นอน ซึ่งขณะนี้เราก็ติดตามอยู่ เพราะกอ.รมน.ในแต่ละจังหวัดที่มีหมู่บ้านเหล่านี้ จะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของหมู่บ้านเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และถ้ามีเงื่อนไขในลักษณะที่จะเข้า มาตรา 116 ของกฎหมายอาญา เจ้าหน้าที่คงต้องเข้าดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม เราได้ส่งเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ลงไปเพื่อสร้างความเข้าใจแล้ว ให้เขารับรู้ว่า สิ่งที่ถูกควรเป็นอย่างไร เพราะสิ่งที่ประชาชนไปคิดกันเอาเองในเรื่องความแบ่งแยก เป็นเรื่องสำคัญ จะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะไม่แบ่งแยกอยู่แล้ว ประชาชนคนไทยทุกคนคือสิ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ต้องดูแลให้เขามีความเป็นอยู่ที่ดี
เมื่อถามว่า หมู่บ้านคนเสื้อแดง มีจำนวนมากหรือไม่ พล.ต.ดิษฐพร กล่าวว่า ตามข่าวบอกว่ามีมาก แต่เรายังไม่มีตัวเลขที่แน่นอน เพราะในบางหมู่บ้านมีไม่กี่หลัง แต่เขาก็มาอ้างยกระดับแล้ว และคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน ในแต่ละครอบครัว ทุกคนก็ไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะชอบพรรคไหน อย่างไร ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่เป็นการเหมารวม บางครั้งคนที่ไม่คิดอะไร เขาก็ไม่แสดงออก เพราะฉะนั้นไม่ใช่ทั้งหมด จะไปบังคับให้ทุกบ้านคิดเหมือนกันหมดได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ ทุกคนมีสังคมจะแบ่งตัวเป็นเอกเทศอยู่ในกลุ่มพวกตัวเองไม่ได้ ส่วนที่มีข่าวว่าที่ จ.พระนครศรีอยุธยา มีหมู่บ้านคนเสื้อแดงอยู่ 444 หลังนั้น ยังไม่ทราบข้อมูล แต่อย่างไรก็ตาม จะให้หน่วยงานในพื้นที่ตรวจสอบ
**ผู้ว่าฯมหาสารคามห้ามตั้ง"หมู่บ้านแดง"
นายทองทวี พิมเสน ผวจ.มหาสารคาม สั่งกำชับให้ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านใน อ.โกสุมพิสัย และ อ.กันทรวิชัย ช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ให้มีการจัดตั้งหมู่บ้านประชาธิปไตยสีแดงขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจาก มีการประกาศจัดตั้งหมู่บ้านประชาธิปไตยสีแดงขึ้น ในพื้นที่ บ้านดอนกอย ต.หัวขวาง อ.โกสุมพิสัย เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย พ.ร.บ.การปกครองท้องที่ และกำลังจะมีการประกาศจัดตั้งตำบลสีแดงขึ้นในพื้นที่ อ.กันทรวิชัย ให้ครบทุกตำบล จังหวัดจะไม่ยอมให้มีการจัดตั้งได้โดยเด็ดขาด และขอให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน ที่มีการไปจัดตั้งและขึ้นป้าย ติดธงสีแดง ไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ไปปักธง ปักป้าย ตั้งหมู่บ้านและตำบลสีแดง
"หากไม่ไปแจ้งความ จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา และหากพื้นที่ไม่ดำเนินการ ผมจะลงมาดูคดีด้วยตัวเอง นอกจากนี้ในหมู่บ้านที่ประกาศจัดตั้งและเผยแพร่ออกสื่อไปแล้วนั้น พบว่ามีผู้สมัคร ส.ส.2 คน เกี่ยวข้องด้วย ผมได้ให้กำนัน ผู้ใหญ่ บ้านรายงานให้จังหวัดทราบ เพื่อจังหวัดจะได้รายงานให้ กกต.ทราบต่อไป และหากกิดหมู่บ้าน หรือ ตำบลเสื้อแดงขึ้นมาได้ในจุดใด จะเอาผิดตั้งแต่ปลัดจังหวัดลงมา ส่วนหมู่บ้านที่ตั้งแล้ว ขอให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไปร้องทุกข์แจ้งความ ซึ่งยอมไม่ได้ และจะไม่ให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด" ผวจ. มหาสารคาม กล่าว
**สันติบาลเผยจับตาหมู่บ้านสีแดง
ส่วนที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ท.ตรีทศ รณฤทิธวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ได้เรียกประชุมตำรวจสันติบาล ระดับสารวัตรในภาคเหนือ 150 คน เพื่อมอบนโยบายในการหาข้อมูลด้านการข่าว ในช่วงการเลือกตั้ง โดยเน้นย้ำให้มีการปรับรูปแบบ และวิธีการให้ทันสมัย และให้การทำงานเป็นไปในแนวทางเดียวกันภายใต้ความเป็นกลาง
พล.ต.ท.ตรีทศ กล่าวถึง ความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคนที่อาจก่อเหตุรุนแรงในภาคเหนือว่า จากข้อมูลที่ได้มา ขณะนี้ยังเป็นปกติ ทั้งนี้โดยปกติแล้วคนภาคเหนือเป็นคนอ่อนโยน แล้วปฏิกริยาต่างๆ ที่คนตอบสนองในการที่แต่ละพรรคออกมาหาเสียง ก็ยังไม่แสดงอะไรที่รุนแรงจนเลยเถิด สามารถควบคุมกันเองได้ ซึ่งพบว่าพฤติกรรมต่างๆ เปลี่ยนไปพอสมควร ส่วนการปักธงแดงหรือหมู่บ้านสีแดง ผบช.ส. กล่าวว่า ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ใครจะทำอะไรก็ได้ ส่วนจะถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ ก็ต้องมีการเก็บหลักฐานพยานไว้แล้วค่อยว่ากันทีหลัง ซึ่งสันติบาลมีหน้าที่ดูแลความมั่นคงในส่วนนี้ด้วย
**สั่งตร.ลงพื้นที่สอบตั้งหมู่บ้านแดง
ด้านพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีวิธีการตรวจสอบหลายอย่าง เช่น การหาข่าว การลงไปสอบถามคนในพื้นที่ หากมีปัญหาเรื่องการกระทำผิดกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการ แต่ขณะนี้ยังไม่มีรายงาน โดยเฉพาะแกนนำคนเสื้อแดงที่จะเข้าร่วมนั้น ยังไม่มี
อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับตา และเฝ้าระวังพื้นที่ที่ตั้งหมู่บ้านคนเสื้อแดงในภาคอีสานเป็นพิเศษ ส่วนเรื่องการต่อต้านสถาบันฯ นั้น จากการตรวจสอบยังไม่พบแต่ถ้ามี ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
เมื่อถามว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะมีมาตรการรับมืออย่างไร หากคนกลุ่มเสื้อแดง ออกมากดดันการนับคะแนนการเลือกตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ที่ผ่านมาทาง ตร.ได้มีการอบรมเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลหน่วยเลือกตั้งให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายการเลือกตั้ง หากมีเหตุการณ์ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะชี้แจงทำความเข้าใจได้ อีกทั้งทางกกต.ได้เปิดโอกาสให้ตัวแทนพรรคการเมือง หรือผู้ที่สนับสนุนสามารถเข้าไปสังเกตการณ์เลือกตั้งได้ แต่ทั้งนี้หากนำกฎหมู่มากดดัน ทางกกต.สามารถสั่งการระงับการกระทำที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตได้
**'ไอ้เต้น' ชี้หมู่บ้านเสื้อแดงแค่สัญลักษณ์
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้พรรคเพื่อไทย ตอบคำถามเรื่องหมู่บ้านคนเสื้อแดง ว่า นายอภิสิทธิ์ ต้องตั้งสติให้ดี เพราะหมู่บ้านคนเสื้อแดง ไม่ได้เกิดบนพื้นฐานการฝ่าฝืนกฎหมาย หรือทำลายองค์ประกอบใดๆ ของสังคม เพียงแต่เป็นการแสดงจุดยืน และสัญลักษณ์ของคนเสื้อแดง ว่าต้องการให้บ้านเมืองมีความยุติธรรม และมาตรฐานเดียวเท่านั้น โดยไม่มีกิจกรรมใดที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ เป็นห่วงเลยเถิดไปว่าจะกระทบต่อความปรองดองนั้น ความจริงแล้วการปรองดองจะเกิดได้ เมื่อฝ่ายการเมืองยอมรับเจตนารมณ์ของประชาชน และพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง ต้องได้จัดตั้งรัฐบาล และพรรคที่แพ้ ก็เป็นฝ่ายค้าน แต่วันนี้เรากังวลว่า บางฝ่ายจะไม่มีน้ำใจนักกีฬา แพ้ไม่ยอมแพ้ และตั้งท่าจะหาเรื่องตลอดเวลา
ส่วนการที่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทย จัดตั้งประชาชนออกมาต่อต้านการหาเสียงนั้น ยืนยันว่า ไม่มี เพราะสามารถประเมินได้จากภาพที่ปรากฏออกมา ว่าเป็นไปโดยธรรมชาติ เป็นการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาไม่มีความวุ่นวายใดๆ ทั้งนี้จุดยืนของพรรคเพื่อไทย ต้องการเห็นบรรยากาศการหาเสียงเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ แต่ประชาชนที่เจ็บแค้น และเจ็บปวดหากจะแสดงออกก็ถือเป็นสิทธิจะไปห้าม ก็คงไม่ได้ แต่หากทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ก็ต้องรับผิดชอบ
" ยืนยันว่าไม่มีใครไปจัดตั้ง เพราะพรรคมั่นใจในนโยบาย ขออย่าห่วงเรื่องนี้เลย ห่วงเรื่องที่บางพรรคหากแพ้เลือกตั้งแล้วจะไปยุ่งกับมวลชนจัดตั้ง มาขับไล่รัฐบาลจะดีกว่าเพราะอันนั้นเป็นของแท้" นายณัฐวุฒิ กล่าว
ส่วนกรณีที่มวลชนบางส่วน ยังแสดงออกโดยมีพฤติกรรม พาดพิง จาบจ้วงสถาบันฯ นั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ทุกคนใช้การตีความของตัวเองไปสรุปการแสดงออกของประชาชน เลยกลายเป็นปัญหา เรื่องของสถาบันฯ นั้นเราต้องเทิดทูนให้อยู่เหนือความขัดแย้ง อย่าเอาความคิดตัวเองไปตัดสินความคิดประชาชน และอย่าขยายผลจนเป็นประโยชน์ให้กับฝ่ายหนึ่ง จนเป็นผลลบให้กับอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม เราได้ส่งเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ลงไปเพื่อสร้างความเข้าใจแล้ว ให้เขารับรู้ว่า สิ่งที่ถูกควรเป็นอย่างไร เพราะสิ่งที่ประชาชนไปคิดกันเอาเองในเรื่องความแบ่งแยก เป็นเรื่องสำคัญ จะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะไม่แบ่งแยกอยู่แล้ว ประชาชนคนไทยทุกคนคือสิ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ต้องดูแลให้เขามีความเป็นอยู่ที่ดี
เมื่อถามว่า หมู่บ้านคนเสื้อแดง มีจำนวนมากหรือไม่ พล.ต.ดิษฐพร กล่าวว่า ตามข่าวบอกว่ามีมาก แต่เรายังไม่มีตัวเลขที่แน่นอน เพราะในบางหมู่บ้านมีไม่กี่หลัง แต่เขาก็มาอ้างยกระดับแล้ว และคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน ในแต่ละครอบครัว ทุกคนก็ไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะชอบพรรคไหน อย่างไร ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่เป็นการเหมารวม บางครั้งคนที่ไม่คิดอะไร เขาก็ไม่แสดงออก เพราะฉะนั้นไม่ใช่ทั้งหมด จะไปบังคับให้ทุกบ้านคิดเหมือนกันหมดได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ ทุกคนมีสังคมจะแบ่งตัวเป็นเอกเทศอยู่ในกลุ่มพวกตัวเองไม่ได้ ส่วนที่มีข่าวว่าที่ จ.พระนครศรีอยุธยา มีหมู่บ้านคนเสื้อแดงอยู่ 444 หลังนั้น ยังไม่ทราบข้อมูล แต่อย่างไรก็ตาม จะให้หน่วยงานในพื้นที่ตรวจสอบ
**ผู้ว่าฯมหาสารคามห้ามตั้ง"หมู่บ้านแดง"
นายทองทวี พิมเสน ผวจ.มหาสารคาม สั่งกำชับให้ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านใน อ.โกสุมพิสัย และ อ.กันทรวิชัย ช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ให้มีการจัดตั้งหมู่บ้านประชาธิปไตยสีแดงขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจาก มีการประกาศจัดตั้งหมู่บ้านประชาธิปไตยสีแดงขึ้น ในพื้นที่ บ้านดอนกอย ต.หัวขวาง อ.โกสุมพิสัย เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย พ.ร.บ.การปกครองท้องที่ และกำลังจะมีการประกาศจัดตั้งตำบลสีแดงขึ้นในพื้นที่ อ.กันทรวิชัย ให้ครบทุกตำบล จังหวัดจะไม่ยอมให้มีการจัดตั้งได้โดยเด็ดขาด และขอให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน ที่มีการไปจัดตั้งและขึ้นป้าย ติดธงสีแดง ไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ไปปักธง ปักป้าย ตั้งหมู่บ้านและตำบลสีแดง
"หากไม่ไปแจ้งความ จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา และหากพื้นที่ไม่ดำเนินการ ผมจะลงมาดูคดีด้วยตัวเอง นอกจากนี้ในหมู่บ้านที่ประกาศจัดตั้งและเผยแพร่ออกสื่อไปแล้วนั้น พบว่ามีผู้สมัคร ส.ส.2 คน เกี่ยวข้องด้วย ผมได้ให้กำนัน ผู้ใหญ่ บ้านรายงานให้จังหวัดทราบ เพื่อจังหวัดจะได้รายงานให้ กกต.ทราบต่อไป และหากกิดหมู่บ้าน หรือ ตำบลเสื้อแดงขึ้นมาได้ในจุดใด จะเอาผิดตั้งแต่ปลัดจังหวัดลงมา ส่วนหมู่บ้านที่ตั้งแล้ว ขอให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไปร้องทุกข์แจ้งความ ซึ่งยอมไม่ได้ และจะไม่ให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด" ผวจ. มหาสารคาม กล่าว
**สันติบาลเผยจับตาหมู่บ้านสีแดง
ส่วนที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ท.ตรีทศ รณฤทิธวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ได้เรียกประชุมตำรวจสันติบาล ระดับสารวัตรในภาคเหนือ 150 คน เพื่อมอบนโยบายในการหาข้อมูลด้านการข่าว ในช่วงการเลือกตั้ง โดยเน้นย้ำให้มีการปรับรูปแบบ และวิธีการให้ทันสมัย และให้การทำงานเป็นไปในแนวทางเดียวกันภายใต้ความเป็นกลาง
พล.ต.ท.ตรีทศ กล่าวถึง ความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคนที่อาจก่อเหตุรุนแรงในภาคเหนือว่า จากข้อมูลที่ได้มา ขณะนี้ยังเป็นปกติ ทั้งนี้โดยปกติแล้วคนภาคเหนือเป็นคนอ่อนโยน แล้วปฏิกริยาต่างๆ ที่คนตอบสนองในการที่แต่ละพรรคออกมาหาเสียง ก็ยังไม่แสดงอะไรที่รุนแรงจนเลยเถิด สามารถควบคุมกันเองได้ ซึ่งพบว่าพฤติกรรมต่างๆ เปลี่ยนไปพอสมควร ส่วนการปักธงแดงหรือหมู่บ้านสีแดง ผบช.ส. กล่าวว่า ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ใครจะทำอะไรก็ได้ ส่วนจะถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ ก็ต้องมีการเก็บหลักฐานพยานไว้แล้วค่อยว่ากันทีหลัง ซึ่งสันติบาลมีหน้าที่ดูแลความมั่นคงในส่วนนี้ด้วย
**สั่งตร.ลงพื้นที่สอบตั้งหมู่บ้านแดง
ด้านพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีวิธีการตรวจสอบหลายอย่าง เช่น การหาข่าว การลงไปสอบถามคนในพื้นที่ หากมีปัญหาเรื่องการกระทำผิดกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการ แต่ขณะนี้ยังไม่มีรายงาน โดยเฉพาะแกนนำคนเสื้อแดงที่จะเข้าร่วมนั้น ยังไม่มี
อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับตา และเฝ้าระวังพื้นที่ที่ตั้งหมู่บ้านคนเสื้อแดงในภาคอีสานเป็นพิเศษ ส่วนเรื่องการต่อต้านสถาบันฯ นั้น จากการตรวจสอบยังไม่พบแต่ถ้ามี ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
เมื่อถามว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะมีมาตรการรับมืออย่างไร หากคนกลุ่มเสื้อแดง ออกมากดดันการนับคะแนนการเลือกตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ที่ผ่านมาทาง ตร.ได้มีการอบรมเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลหน่วยเลือกตั้งให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายการเลือกตั้ง หากมีเหตุการณ์ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะชี้แจงทำความเข้าใจได้ อีกทั้งทางกกต.ได้เปิดโอกาสให้ตัวแทนพรรคการเมือง หรือผู้ที่สนับสนุนสามารถเข้าไปสังเกตการณ์เลือกตั้งได้ แต่ทั้งนี้หากนำกฎหมู่มากดดัน ทางกกต.สามารถสั่งการระงับการกระทำที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตได้
**'ไอ้เต้น' ชี้หมู่บ้านเสื้อแดงแค่สัญลักษณ์
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้พรรคเพื่อไทย ตอบคำถามเรื่องหมู่บ้านคนเสื้อแดง ว่า นายอภิสิทธิ์ ต้องตั้งสติให้ดี เพราะหมู่บ้านคนเสื้อแดง ไม่ได้เกิดบนพื้นฐานการฝ่าฝืนกฎหมาย หรือทำลายองค์ประกอบใดๆ ของสังคม เพียงแต่เป็นการแสดงจุดยืน และสัญลักษณ์ของคนเสื้อแดง ว่าต้องการให้บ้านเมืองมีความยุติธรรม และมาตรฐานเดียวเท่านั้น โดยไม่มีกิจกรรมใดที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ เป็นห่วงเลยเถิดไปว่าจะกระทบต่อความปรองดองนั้น ความจริงแล้วการปรองดองจะเกิดได้ เมื่อฝ่ายการเมืองยอมรับเจตนารมณ์ของประชาชน และพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง ต้องได้จัดตั้งรัฐบาล และพรรคที่แพ้ ก็เป็นฝ่ายค้าน แต่วันนี้เรากังวลว่า บางฝ่ายจะไม่มีน้ำใจนักกีฬา แพ้ไม่ยอมแพ้ และตั้งท่าจะหาเรื่องตลอดเวลา
ส่วนการที่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทย จัดตั้งประชาชนออกมาต่อต้านการหาเสียงนั้น ยืนยันว่า ไม่มี เพราะสามารถประเมินได้จากภาพที่ปรากฏออกมา ว่าเป็นไปโดยธรรมชาติ เป็นการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาไม่มีความวุ่นวายใดๆ ทั้งนี้จุดยืนของพรรคเพื่อไทย ต้องการเห็นบรรยากาศการหาเสียงเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ แต่ประชาชนที่เจ็บแค้น และเจ็บปวดหากจะแสดงออกก็ถือเป็นสิทธิจะไปห้าม ก็คงไม่ได้ แต่หากทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ก็ต้องรับผิดชอบ
" ยืนยันว่าไม่มีใครไปจัดตั้ง เพราะพรรคมั่นใจในนโยบาย ขออย่าห่วงเรื่องนี้เลย ห่วงเรื่องที่บางพรรคหากแพ้เลือกตั้งแล้วจะไปยุ่งกับมวลชนจัดตั้ง มาขับไล่รัฐบาลจะดีกว่าเพราะอันนั้นเป็นของแท้" นายณัฐวุฒิ กล่าว
ส่วนกรณีที่มวลชนบางส่วน ยังแสดงออกโดยมีพฤติกรรม พาดพิง จาบจ้วงสถาบันฯ นั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ทุกคนใช้การตีความของตัวเองไปสรุปการแสดงออกของประชาชน เลยกลายเป็นปัญหา เรื่องของสถาบันฯ นั้นเราต้องเทิดทูนให้อยู่เหนือความขัดแย้ง อย่าเอาความคิดตัวเองไปตัดสินความคิดประชาชน และอย่าขยายผลจนเป็นประโยชน์ให้กับฝ่ายหนึ่ง จนเป็นผลลบให้กับอีกฝ่าย