“ฮอทพอท” เปิดเกมรุก เข้าตลาดหุ้น ระดมทุน 130 ล้านบาท สยายปีก พร้อมรุกตปท. ทั้งแฟรนไชส์และร่วมทุน ปีนี้ทุ่มงบลงทุน-ตลาดอีก 300 ล้านบาท เปิดอีก 25 สาขา ดันรายได้รวมโต 30%
นางสาวสกุณา บ่ายเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮอทพอท จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนขยายธุรกิจในไทยและต่างประเทศต่อเนื่อง จึงต้องการเม็ดเงินลงทุนมากขึ้นเพื่อสร้างการเติบโต จึงมีแผนที่จะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดMAI โดยได้มอบหมายให้บริษัทแอดไวเซอร์รี่ เป็นเอฟเอหรือที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงเป็นอันเดอร์ไรท์เตอร์ คาดว่าจะยื่นไฟล์ลิ่งได้เดือนหน้า และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดได้ประมาณตุลาคมนี้
โดยมีแผนที่จะระดมทุนอีกเบื้องต้น 130 ล้านบาท จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 101 ล้านบาท ที่มีผู้ถือหุ้นเดิมแบ่งเป็น กลุ่มตระกูลบ่ายเจริญ 65% กองทุนออริออสจากอังกฤษ 35% ซึ่งจะทำการกระจายหุ้นประมาณ 10% ทั้งนี้เจ้าของเดิมยังคงถือหุ้นใหญ่อยู่แต่สัดส่วนลดลงประมาณ 5-10%
ทั้งนี้แผนรุกตลาดต่างประเทศ จะขยายธุรกิจในเอเซียก่อน เบื้องต้นเช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งการร่วมทุนกับการขายแฟรนไชส์ แต่ยังไม่สรุป ซึ่งเร็วๆนี้ก็มีกลุ่มผู้สนใจเดินทางมาเจรจาบ้างแล้ว โดยผ่านทางกองทุนออริออที่ลงทุนอยู่ในประเทศเหล่านี้เหมือนกัน คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะสรุปได้
ขณะที่แผนธุรกิจในไทยยังคงเน้นการลงทุนเองต่อไปไม่ได้ขายแฟรนไชส์ โดยปีนี้ตั้งงบลงทุนสาขาไว้ที่ 200 ล้านบาท เป้าหมายเดิมปีนี้จะเปิด 12 สาขา ครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 5 สาขา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พื้นที่ที่ได้มามีมากและสภาพเศรษฐกิจเอือ้อำนวยจึงจะลงทุนเพิ่ม คาดว่าจะเปิดเพิ่มมากกว่าเดิมเป็น 25 สาขา แบ่งเป็นร้านฮอทพอทบุฟเฟ่ต์แวลู 21 สาขา และร้านฮอทพอทอินเตอร์บุฟเฟ่ต์ 4 สาขา ส่วนครัวกลางที่ลำลูกกายังมีพื้นที่เหลืออีก คาดว่าปีหน้าคงจะต้องลงทุนขยายเพิ่มเติมรองรับสาขาที่มากขึ้น ลงทุนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท ปัจจุบันมีสาขารวมทุกแบรนด์ 84 สาขา คาดว่าสิ้นปีจะขยายครบเป็น 100 สาขา จากสิ้นปีที่แล้วมีสาขารวม 79 สาขา
ด้านแผนการตลาดปีนี้ตั้งงบประมาณไว้ 100 ล้านบาท รวมทั้งบีโลว์เดอะไลน์และอะโบฟเดอะไลน์ ล่าสุดร่วมมือกับโค้กจัดแคมเปญลุ้นชมฟุตบอลคู่ เชลซีกับแมนเชสเตอร์ ที่อังกฤษ และคาดว่าปลายปีนี้จะมีหนังโฆษณาชุดใหม่อีกเรื่อง และตั้งเป้าสมาชิกสิ้นปีนี้จะมี 100,000 ราย จากต้นปีมีประมาณ 30,000 ราย
นางสาวสกุณากล่าวว่า จากการทำธุรกิจเชิงรุกปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวม 1,500-1,600 ล้านบาท เติบโต 30% จากปีที่แล้วรายได้รวม 1,100 ล้านบาท กำไร 30 ล้านบาท ซึ่งครึ่งปีแรกทำรายได้แล้ว 330 ล้านบาท กำไร 8% หรือ 20 ล้านบาท
“ตอนนี้ปัญหาคือต้นทุนผลิตยังสูงขึ้นเฉลี่ย 1.5% แต่เรก็ต้องพยายามควบคุมจัดการให้ดีที่สุด อย่างน้ยอการขยายสาขามากทำให้อำนาจซื้อต่อรองมากขึ้น ก็ยังทำให้ได้ราคาที่ยังดีได้อยู่ ซึ่งเราเคยขึ้นราคาไปแล้วเมื่อต้นปี เช่น แบรนด์บุฟเฟต์แวลู จากเดิม 199 บาท เป็น 219 บาทต่อคน แต่เพิ่มอาหารมากขึ้น จึงยังไม่อยากจะปรับราคาอีก” นางสาวสกุณากล่าว
นางสาวสกุณา บ่ายเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮอทพอท จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนขยายธุรกิจในไทยและต่างประเทศต่อเนื่อง จึงต้องการเม็ดเงินลงทุนมากขึ้นเพื่อสร้างการเติบโต จึงมีแผนที่จะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดMAI โดยได้มอบหมายให้บริษัทแอดไวเซอร์รี่ เป็นเอฟเอหรือที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงเป็นอันเดอร์ไรท์เตอร์ คาดว่าจะยื่นไฟล์ลิ่งได้เดือนหน้า และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดได้ประมาณตุลาคมนี้
โดยมีแผนที่จะระดมทุนอีกเบื้องต้น 130 ล้านบาท จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 101 ล้านบาท ที่มีผู้ถือหุ้นเดิมแบ่งเป็น กลุ่มตระกูลบ่ายเจริญ 65% กองทุนออริออสจากอังกฤษ 35% ซึ่งจะทำการกระจายหุ้นประมาณ 10% ทั้งนี้เจ้าของเดิมยังคงถือหุ้นใหญ่อยู่แต่สัดส่วนลดลงประมาณ 5-10%
ทั้งนี้แผนรุกตลาดต่างประเทศ จะขยายธุรกิจในเอเซียก่อน เบื้องต้นเช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งการร่วมทุนกับการขายแฟรนไชส์ แต่ยังไม่สรุป ซึ่งเร็วๆนี้ก็มีกลุ่มผู้สนใจเดินทางมาเจรจาบ้างแล้ว โดยผ่านทางกองทุนออริออที่ลงทุนอยู่ในประเทศเหล่านี้เหมือนกัน คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะสรุปได้
ขณะที่แผนธุรกิจในไทยยังคงเน้นการลงทุนเองต่อไปไม่ได้ขายแฟรนไชส์ โดยปีนี้ตั้งงบลงทุนสาขาไว้ที่ 200 ล้านบาท เป้าหมายเดิมปีนี้จะเปิด 12 สาขา ครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 5 สาขา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พื้นที่ที่ได้มามีมากและสภาพเศรษฐกิจเอือ้อำนวยจึงจะลงทุนเพิ่ม คาดว่าจะเปิดเพิ่มมากกว่าเดิมเป็น 25 สาขา แบ่งเป็นร้านฮอทพอทบุฟเฟ่ต์แวลู 21 สาขา และร้านฮอทพอทอินเตอร์บุฟเฟ่ต์ 4 สาขา ส่วนครัวกลางที่ลำลูกกายังมีพื้นที่เหลืออีก คาดว่าปีหน้าคงจะต้องลงทุนขยายเพิ่มเติมรองรับสาขาที่มากขึ้น ลงทุนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท ปัจจุบันมีสาขารวมทุกแบรนด์ 84 สาขา คาดว่าสิ้นปีจะขยายครบเป็น 100 สาขา จากสิ้นปีที่แล้วมีสาขารวม 79 สาขา
ด้านแผนการตลาดปีนี้ตั้งงบประมาณไว้ 100 ล้านบาท รวมทั้งบีโลว์เดอะไลน์และอะโบฟเดอะไลน์ ล่าสุดร่วมมือกับโค้กจัดแคมเปญลุ้นชมฟุตบอลคู่ เชลซีกับแมนเชสเตอร์ ที่อังกฤษ และคาดว่าปลายปีนี้จะมีหนังโฆษณาชุดใหม่อีกเรื่อง และตั้งเป้าสมาชิกสิ้นปีนี้จะมี 100,000 ราย จากต้นปีมีประมาณ 30,000 ราย
นางสาวสกุณากล่าวว่า จากการทำธุรกิจเชิงรุกปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวม 1,500-1,600 ล้านบาท เติบโต 30% จากปีที่แล้วรายได้รวม 1,100 ล้านบาท กำไร 30 ล้านบาท ซึ่งครึ่งปีแรกทำรายได้แล้ว 330 ล้านบาท กำไร 8% หรือ 20 ล้านบาท
“ตอนนี้ปัญหาคือต้นทุนผลิตยังสูงขึ้นเฉลี่ย 1.5% แต่เรก็ต้องพยายามควบคุมจัดการให้ดีที่สุด อย่างน้ยอการขยายสาขามากทำให้อำนาจซื้อต่อรองมากขึ้น ก็ยังทำให้ได้ราคาที่ยังดีได้อยู่ ซึ่งเราเคยขึ้นราคาไปแล้วเมื่อต้นปี เช่น แบรนด์บุฟเฟต์แวลู จากเดิม 199 บาท เป็น 219 บาทต่อคน แต่เพิ่มอาหารมากขึ้น จึงยังไม่อยากจะปรับราคาอีก” นางสาวสกุณากล่าว