xs
xsm
sm
md
lg

ถ้าสนธิรับงานทักษิณ ทำไมคนเสื้อแดงถึงต้องขวาง “โหวตโน”!?

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ขบวนการปล่อยข่าวลือโจมตีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเกิดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆ กับกระแสการเชิญชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 แต่กากบาทลงในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนทั้งสองใบ ทั้งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ และผู้สมัครแบบเขต

เสียงที่มีการปล่อยข่าวกันและทำกันเป็นขบวนการมากที่สุดก็คือข้อหาที่ว่า “สนธิรับเงินทักษิณ” เพราะตรรกะที่พยายามยกเหตุผลใส่ร้ายการโหวตโนก็คือ : “โหวตโนเพื่อตัดคะแนนเสียงพรรคประชาธิปัตย์เพื่อจะให้พรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์แล้วให้ทักษิณกลับมาประเทศไทยออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคนทุกกลุ่มได้”

ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นข้อหาที่เลื่อนลอย เพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้แสดงจุดยืนตลอดว่าต้องการรักษาหลักนิติรัฐ ยอมเอาตัวเองเข้าแลกจนมีการเสียเลือดเสียเนื้อและเสียชีวิต และแกนนำก็มีคดีความที่พร้อมจะพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่วันดีคืนดีจะมาเปลี่ยนจุดยืนยอมให้ทักษิณได้รับการนิรโทษกรรมได้

และถ้าคนอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล รับงานทักษิณ ก็คงไม่ต้องรอมาหลายปีจนต้องขายทรัพย์สิน และมีหนี้สินเต็มตัวเพื่อมาสู้กับทักษิณ และถ้าเป็นคนเห็นแก่เงินก็ไม่จำเป็นต้องสู้กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้เสียแนวร่วมผู้สนับสนุนจากพวกรักประชาธิปัตย์ ข้อสำคัญถ้าเอเอสทีวีซื้อได้คงถูกซื้อไปนานแล้ว และพนักงานคงไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับปัญหาเงินเดือนออกช้าในช่วงเวลาที่ผ่านมา

แต่ก็ไม่แปลกใจที่มักจะมีนักการเมืองบางกลุ่มสืบทอดสันดานอำมหิตอยู่แล้วในการใส่ร้ายคนอื่นเหมือนในอดีตเพื่อให้ตัวเองได้ทุกอย่างที่ต้องการ เช่น :

การตะโกนในโรงหนังด้วยข้อความอันเป็นเท็จว่า “ปรีดีฆ่าในหลวง”

การปราศรัยหาเสียงให้คนเข้าใจผิดในเรื่องที่เป็นเท็จเพื่อให้พรรคตัวเองชนะการเลือกตั้งว่า “พลตรีจำลองพาคนไปตาย” (ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535)

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วหากดูจากข้อมูลนับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคการเมืองของทักษิณเป็นต้นมา ไม่ว่าจะใช้ในชื่อใด ไทยรักไทย, พลังประชาชน, เพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมี ส.ส.ชนะพรรคของทักษิณได้แม้แต่ครั้งเดียว และแม้วันนี้ตามผลสำรวจต่อให้คะแนนโหวตโนหันมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังจะแพ้พรรคเพื่อไทยอยู่ดี

ผลการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ปรากฏว่าแม้ขนาดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและคนที่กลัวและเกลียดทักษิณลงคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์จนมีคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 4,018,286 เสียงเมื่อการเลือกตั้งในปี 2548 มาเป็น 12,331,381 เสียงการเลือกตั้งในปี 2550 แต่ผลการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ ส.ส.เพียงแค่ 165 คน ในขณะที่พรรคพลังประชาชนได้ ส.ส. 233 คน ชนะพรรคประชาธิปัตย์อยู่ดี

ต้องไม่ลืมว่าการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นอกเหนือจะมีคะแนนจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและคนที่กลัวและเกลียดทักษิณเทคะแนนให้ประชาธิปัตย์แล้ว ยังถือว่าเพิ่งจะผ่านการยุบพรรคไทยรักไทยได้ไม่นาน มีการเข้าไปจัดการแยกสลายขั้วพรรคไทยรักไทยออกแยกย่อยเป็นอีกหลายพรรค และยังอยู่ในช่วงเวลาที่ทหารเป็นเอกภาพในกลุ่มคณะรัฐประหารที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับทักษิณ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถเอาชนะทักษิณได้

ยิ่ง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ปล่อยปละละเลยเกิดทีวีเสื้อแดงและวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โรงเรียน นปช.เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ขบวนการจาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์เกิดขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงใช้ความอ่อนแอของรัฐในการปลุกระดมเกิดความเกลียดชังต่อรัฐบาล จนคนเสื้อแดงขยายตัวไปอย่างกว้างขวางแล้ว

ในขณะที่สื่อของรัฐก็ล้มเหลวบ้างก็สนใจแต่เรื่องพาณิชย์ บ้างก็โฆษณาชวนเชื่อเชียร์รัฐบาลจนไม่ลืมหูลืมตาจนประชาชนจับได้ว่าขาดธรรมในการนำเสนอจนมีคำพูดติดปากกันว่า “รัฐบาลประชาธิปัตย์ทำอะไรไม่มีวันผิด” เมื่อประชาชนขาดความเชื่อถือ แล้วจะไปเปลี่ยนใจคนเสื้อแดงให้กลับมาได้อย่างไร?

มิพักต้องพูดถึงความอ่อนแอของรัฐบาลและสื่อสารมวลชนที่ทำให้ปัญหาบานปลายขึ้น จนเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2554 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประทานสัมภาษณ์แก่รายการโทรทัศน์เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในการฉายวันละ 5 นาที 10 นาที ถึงพระราชกรณียกิจของทั้ง 2 พระองค์ เพราะเด็กยุคใหม่ไม่รู้แล้วว่าท่านทำอะไรให้บ้านเมืองบ้าง จึงย่อมต้องเกิดคำถามเป็นธรรมดาว่าแล้ว 2 ปีกว่าของรัฐบาลชุดนี้ทำอะไรบ้าง จนต้องให้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินต้องมาขอความเป็นธรรมผ่านทางรายการทีวีเช่นนี้?

ในอีกด้านหนึ่งประชาธิปัตย์พยายามขายความคิดว่า “ประเทศไทยอย่าให้ใครเผาอีก” เป็นการรณรงค์หลัก แค่คำพูดนี้ก็เหมือนเป็นดาบสองคม เพราะการเผาบ้านเผาเมืองและใช้อาวุธสงครามเกิดขึ้นได้ในรัฐบาลชุดนี้ที่ปล่อยให้ปัญหาบานปลายทั้งๆ ที่รู้เหตุมาตั้งแต่ปี 2552 แล้ว แต่ที่ประชาชนคนไทยต้องจดจำก็คือการที่รัฐบาลบอกให้ผู้ค้าราชประสงค์ไปคุยกับคนเสื้อแดงเอาเองหากไม่อยากให้มีการชุมนุม ในขณะเดียวกันกลับใช้มติคณะรัฐมนตรีสนับสนุนการประกันตัวคนเสื้อแดง ส่งพยานไปให้การว่าแกนนำคนเสื้อแดงชุมนุมเรียบร้อยและปราศจากอาวุธ ใช้เงินของกองทุนกระทรวงยุติธรรมเพื่อช่วยแกนนำคนเสื้อแดง

ดังนั้นเงื่อนไข “ประเทศไทยอย่าให้ใครเผาอีก” จึงเป็นวาทกรรมที่ประชาชนต้องถามมาอีกว่า แล้วใครปล่อยให้เผา และใครสนับสนุนประกันตัวคนเผาเมืองให้มาขู่ประชาชนในวันนี้!?

ซ้ำร้ายกว่านั้น การทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นอย่างรุนแรงมาก ผ่านการสำรวจโพลในหมู่นักธุรกิจและหอการค้า และการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่เพิ่มขึ้นสูงมาก ยังไม่นับการทุจริตที่ส่งผลทำให้เกิดปัญหาข้าวยากหมากแพงประชาชนต้องเข้าคิวซื้อน้ำมันปาล์มอย่างน่าหดหู่ยิ่ง

มิพักต้องพูดถึงเรื่องปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่ป่านนี้ก็ยังช่วยคุณวีระ สมความคิด และคุณราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกจับในแผ่นดินไทยแต่อยู่ในเรือนจำเขมรไม่ได้ ไม่สามารถทวงคืนแผ่นดินไทยกลับมาได้ และยังถลำลึกในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งศาลโลก มรดกโลก

นี่คือความเลวร้ายของรัฐบาลชุดนี้จริงหรือไม่? แล้วยังจะมีหน้ามาใส่ความคนอื่นว่าพวกไม่เลือกใครคือพวกทักษิณ ได้อย่างไร? การพูดอย่างนี้จึงเสมือนเป็นการพูดที่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เหมือนกับว่าต้องเลือกตัวเองเท่านั้นประเทศไทยถึงจะรอด โดยที่ไม่ต้องสำรวจความอ่อนแอชั่วร้ายของตัวเองว่ามีมากเพียงใดจึงทำให้พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำทิ้งขาดพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้

ข้อสำคัญถ้าประชาธิปัตย์จะแพ้การเลือกตั้ง เพราะทำตัวเองประการหนึ่ง และยุบสภาหนีปัญหาโดยไม่แก้ปัญหาให้จบ และไม่ปฏิรูปการเมืองเสียก่อนที่จะมีการยุบสภา นั่นแหละคือปัญหาที่แท้จริงที่จะทำให้ระบอบทักษิณฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้

วันนี้จึงไม่แปลกใจทุกโพลที่สำรวจมาต่างตรงกันหมดว่า “พรรคเพื่อไทย” จะชนะ “พรรคประชาธิปัตย์” แบบทิ้งห่างขาดลอย เหลือแต่เพียงว่าประชาชนจะร่วมกันลงคะแนนไปเลือกใครและพรรคใดเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับชัยชนะของทักษิณในระบบรัฐสภาหรือไม่ ถ้ายอมก็แปลว่าคนไทยกำลังยอมจำนนแม้กระทั่งการนิรโทษกรรมให้กับทักษิณ ทำลายหลักนิติรัฐได้ด้วยมือในสภาผู้แทนราษฎร

แต่ถ้าประชาชนไม่ยอมจำนนที่จะเป็นผู้แพ้ให้กับทักษิณในสภา ก็ควรสร้างอำนาจต่อรองให้กับประชาชนโดยการไม่เลือกใครและพรรคใด เพื่อถ่วงดุลและแสดงการคัดค้านการนิรโทษกรรมทักษิณ ซึ่งพิสูจน์มาแล้วหลังปี 2550 ว่า อำนาจในการขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับทักษิณและพรรคพลังประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่มือของพรรคประชาธิปัตย์แต่เป็นพี่น้องประชาชนตัวจริงที่อยู่นอกสภา ซึ่งต้องสูญเสีย บาดเจ็บ ล้มตาย ไปเป็นจำนวนมากเป็นผลทำให้ขัดขวางการฉีกรัฐธรรมนูญได้สำเร็จมาแล้ว จึงเกิดการยุบพรรคพลังประชาชนพรรคประชาธิปัตย์ถึงได้มาเป็นรัฐบาลในวันนี้ได้

การช่วยกันลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนกันมากๆ จึงเท่ากับเป็นการต่อต้านไม่ใช่เฉพาะการนิรโทษกรรมของทักษิณเท่านั้น แต่จะเป็นการรวมพลังเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปการเมือง และ “ถ้าทำกันได้มากเกินครึ่ง” ก็อาจจะต้องยื่นตีความทางกฎหมายตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่าเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ไม่รับการเมืองในระบบทั้งหมดแล้วจะเกิดสุญญากาศทางการเมืองหรือไม่?

และประการสำคัญคือถ้ามีคนโหวตโนมาก ก็จะทำให้มีพลังอำนาจต่อรองของประชาชนในการถ่วงดุลนักการเมืองในสภาได้มากเช่นกัน และถ้ามีมากพออาจมีอำนาจต่อรองถึงขั้นไม่ต้องมีการชุมนุมด้วยซ้ำ แต่ก็ยังสามารถหยุดยั้งนักการเมืองในสภาได้

วันนี้คนในระบอบทักษิณตระหนักแล้วว่า คนที่จะมาคานอำนาจตัวเองไม่ใช่พรรคการเมืองไหนที่จะต้องกลายเป็นผู้แพ้ในสภาผู้แทนราษฎร แต่เป็นเสียงโหวตโนของภาคประชาชนที่ไม่มีวันยอมจำนนพ่ายแพ้ให้กับทักษิณได้

ด้วยเหตุนี้พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงจึงไม่กลัวคะแนนโหวตโนในวันเลือกตั้งเพราะมั่นใจว่าถึงอย่างไรก็จะชนะเลือกตั้งอยู่แล้ว แต่กลัวและหวั่นการเคลื่อนไหวและอำนาจต่อรองของกลุ่มโหวตโนหลังเลือกตั้งต่างหาก ด้วยเหตุนี้พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงจึงแสดงท่าทีให้ทุกกลุ่มเข้าระบบให้หมดเลือกพรรคไหนก็ได้ที่ตัวเองชอบ เพื่อลดอำนาจต่อรองของภาคประชาชนในวันข้างหน้า

ดังนั้นแท้ที่จริงการขัดขวางโหวตโน ก็คือหวังได้รับความชอบธรรมในชัยชนะของพรรคเพื่อไทยและการนิรโทษกรรมของทักษิณหลังการเลือกตั้งโดยใช้มือในสภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เราจึงพบร่องรอยการสัมภาษณ์ของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ดังนี้

4 เมษายน 2554 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า โพลของหลายสำนักพบว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์ กรณีดังกล่าวส่งผลถึงกระบวนการให้มีการเรียกร้องโนโหวตในการเลือกตั้ง เพื่อจะได้นำไปอ้างถึงการคัดค้านการเลือกตั้งหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญในการกำหนดทิศทางของประเทศ การเรียกร้องให้มีการโนโหวตนั้นจะนำไปสู่การทำลายความชอบธรรม และปูทางปฏิวัติรัฐประหารตามความต้องการของคนบางกลุ่ม ขอให้ประชาชนอย่าไปหลงตามเกมของกลุ่มการเมือง อย่างไรก็ตาม ตนขอเรียกร้องไปยังนายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ และสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ให้ยืนยันว่าจะส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้ง

5 มิถุนายน 2554 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ขณะนี้พรรคได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นป้าย “โหวตโน” ซึ่งเป็นรูปสัตว์ประกบกับป้ายหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส.ตามพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะหน้าสถาบันการศึกษา และโรงเรียน พรรคเพื่อไทยเห็นว่า มีความไม่เหมาะสม จึงได้ทำหนังสือไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้พิจารณาการขึ้นป้ายดังกล่าวว่าถูกกฎหมาย และทำได้หรือไม่ หากผิดกฎหมายขอให้ใช้อำนาจสั่งการเร่งรัดปลดป้ายดังกล่าวให้เร็วที่สุด

วันนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีกเพราะกลุ่มคนเสื้อแดงรณรงค์ให้ประชาชนไปโหวตเยส เพื่อเลือกพรรคไหนก็ได้ที่ตัวเองชอบ (ไม่ใช่เฉพาะพรรคเพื่อไทย) มีทั้งการผลิตสติ๊กเกอร์ เดินปราศรัย และแจกใบปลิวโจมตีว่า โหวตโนทำลายประเทศชาติ อีกด้วย

ใครอยากเลือกประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่นให้ไปแพ้เพื่อไทย และสร้างความชอบธรรมให้กับทักษิณในสภาผู้แทนราษฎรก็เชิญ แต่ถ้าใครอยากสร้างอำนาจต่อรองให้ประชาชนให้มากที่สุดเพื่อรับมือกับการกลับมาของทักษิณหลังการเลือกตั้ง

3 กรกฎา เข้าคูหา กากบาท “มุมขวาล่างสุด” ช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนทั้งสองใบ!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น