ASTVผู้จัดการรายวัน - "มาร์ค" หาเสียงช่วยลูกพรรคหาเสียงย้ำค้านิรโทษ มึน! โดนคล้องพวงมาลัยแดง ส่วน "ปู" หาเสียงปากน้ำ ยันหมู่บ้านแดงไม่ผิด ไม่อยากให้มีอำนาจพิเศษมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่ ส.ส.เพื่อไทยยื่น กกต.สอบ “ไก่อู” ชพท.เตือนอย่าไปยุ่งกับทหาร เสธ.หนั่นเย้ย "เหนาะ" ฝันกลางแดดปูดข่าวจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว เชื่อมีงูเห่าแน่
วานนี้ (10 มิ.ย) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย จะเสนอให้ทำประชามติเรื่องการนิรโทษกรรมว่า ตนยังยืนยันว่า ทำไมถึงจะทำในเรื่องที่จะทำให้เกิดความแตกแยกมากยิ่งขึ้น วันนี้น่าจะเดินหน้าประเทศไทยแก้ปัญหาของประชาชน ส่วนปัญหาของกระบวนการยุติธรรม ก็ทำกันไปในกระบวนการยุติธรรม ใครไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็มีช่องทางที่จะดูแล แต่ถ้าไปตั้งธง เพราะปลายทางต้องการบางสิ่งบางอย่าง แล้วเอาประชาชน อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจโน่น อำนาจนี่เข้ามา มันจะทำให้เกิดความวุ่นวาย
ส่วนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างว่าที่ก็จะได้ประโยชน์ทุกฝ่าย แต่บังเอิญว่ามี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร่วมอยู่ด้วยเท่านั้นเอง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประโยชน์ทุกฝ่ายหมายความว่าอะไร เพราะว่ามีประโยชน์ของบ้านเมืองด้วย ขอยกอย่าง เช่น สมมุติว่าจะคืนทรัพย์สินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ บ้านเมืองก็เสียหายอีกหลายหมื่นล้าน เพียงแต่เราอาจจะบอกว่า บ้านเมืองไม่มีตัวตนก็ไม่ใช่
เมื่อถามว่า เป็นการเดินหน้า “เอาประชามติ มาล้มอำนาจตุลาการ” นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่า การทำประชามติ แล้วดำเนินการอย่างนั้น จะชอบด้วยกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายหรือไม่ แต่สิ่งที่สำคัญกว่า ตนยืนยันว่า วิธีที่จะเดินหน้าประเทศไทยที่ดีที่สุด คือ อย่าไปทำเรื่องเหล่านี้ เดินหน้าด้วยการพิสูจน์ว่า บ้านเมืองปกครองด้วยกฎหมาย เดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน และนี่คือสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะนำเสนอให้กับพี่น้องประชาชน
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวกรณีที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงษ์ แกนนำเครือข่ายกลุ่มเสื้อหลากสี ยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบน.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณีให้การเท็จในชั้นศาลในคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย บุคคลเหล่านั้นก็มีหน้าที่ตรวจสอบ แต่ตนอยากเทียบให้เห็นความแตกต่างว่า ช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลและถูกยื่นตรวจสอบ ตนไม่เคยไปทำอะไรเพื่อคุกคาม ขณะที่พรรคเพื่อไทยมีอะไรสักนิด ก็ไม่ยอมรับการตรวจสอบ ถ้าเป็นรัฐบาลแล้วประชาชนจะตรวจสอบได้อย่างไร
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เราต้องหนักแน่น มีกติกา กฏหมาย ต้องปฏิบัติกับประชาชนเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เฉพาะพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด ตนย้ำว่าคนไทยต้องเคารพกฏหมาย และเชื่อว่ากฏหมายนิรโทษกรรม เป็นการปิดบังอำพรางว่าต้องการช่วยประชาชน แต่จุดหมายใหญ่คือ ต้องการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ปัญหาคือ แล้วคนไทย 65 ล้านคน ถ้าต้องโทษอย่างไร หรือทำผิดอะไร ก็ต้องเป็นไปตามนั้น แล้วทำไมพ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องไม่รับโทษ ซึ่งถือว่าไม่ยุติธรรม การจัดตั้งรัฐบาลจะยากหรือง่าย อยู่ที่ผลคะแนน ถ้าประชาชนเลือกเรามากก็ไม่ยาก
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนยังย้ำจุดยืนเดิม คือ ให้พรรคการเมืองที่ได้เสียงส่วนใหญ่ เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้มีอำนาจพิเศษมามีส่วนร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล
**ปฏิบัติการเพื่อหาเรื่องกับทหาร
ส่วนเรื่องความขัดแย้งระหว่างกองทัพกับส.ส.พรรคเพื่อไทยกรณี ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่นั้น พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกได้แจ้งความดำเนินคดี นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยแล้ว เรื่องพกอาวุธปืนข่มขู่ทหารชุด 315เรื่องนี้ ขอให้คิดดูว่า นายทหารยศต่ำกว่าชั้นสัญญาบัตร ไม่รู้จักนายไพโรจน์มาก่อนเลย จะไปใส่ร้ายทำไม ไม่มีเหตุผล เขาก็ชี้แจงไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนทหารจะมีจำนวนชุดละ 12-15 คน จะแห่ไปทั้งหมดทำไม ต้องกระจายออกไปเพื่อทำภารกิจ ยืนยันว่า มีการเปิดชายเสื้อให้ดูปืนจริง เพราะนายไพโรจน์ มีลูกน้องมาด้วย 6-7 คน สิบเอก เพียงคนเดียว จะไปกระโดดสู้ได้อย่างไร ส่วนที่ว่ามีผู้กำกับการ สน.หนองจอก อยู่ด้วยนั้น ท่านเดินทางไปทีหลัง หลังจากที่เหตุได้เกิดไปแล้ว ส่วนที่ว่า มีการแจ้งความเอาผิดตนเองในเรื่องนี้กลับนั้น ไม่มีปัญหา พร้อมรับมือ เพราะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องไม่หวั่นไหวกับเรื่องเหล่านี้
ทั้งนี้ การสำรวจตามแผน 315 ยืนยันว่า เป็นการสำรวจเพื่อหายาเสพติดจริง มีการกระชากเอกสารจริง ส่วนรถทหารที่ไปนั้น บอกนานแล้วว่า เป็นการเปิดเผยตัวตนของทหารจริง ไม่มีปกปิด และแผนการ 315 นั้นได้ผลอย่างดี มีการจับกุมยาเสพติดได้จำนวนมาก ในช่วงที่ผ่านมา
ที่กกต.นายไพโรจน์ ได้เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งต่อกกต. ผ่านศูนย์อำนวยการสืบสวนสอบสวนการเลือกตั้งส.ส. (ศอส.) โดยอ้างว่า การมายื่นเรื่องร้องเรียนในครั้งนี้ไม่ประสงค์ที่จะยุ่งเกี่ยวกับผู้มีอำนาจในกองทัพ แต่เป็นการทำเพื่อปกป้องชื่อเสียงเกียรติยศของตนเอง หลังถูกกล่าวหาผ่านสื่อมวลชนจากพ.อ.สรรเสริญ ได้แจ้งความดำเนินคดีกับตน เนื่องจากใช้อาวุธข่มขู่ฉก.ปส.315ขณะลงพื้นที่ตรวจค้นยาเสพติดในเขตหนองจอก แต่พล.อ.สรรเสริญกลับแจ้งความตนทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งตนออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ และชี้แจงข้อเท็จจริง โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้ต้องการยุ่งเกี่ยวกับกองทัพ หรือต้องการให้เรื่องดังกล่าวกระทบถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก แต่อย่างใด
โดยต้องการให้ กกต.ดำเนินการสืบสวนสอบสวนพ.อ.สรรเสริญ เพราะพฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายผิดพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. ตามมาตรา 53 (5) ในเรื่องหลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคามใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ซึ่งมีโทษตามมาตรา 137 สามารถเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปีได้
ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนไม่ติดใจว่ารัฐบาลและกองทัพ จะตัดสินใจเดินหน้าต่อไป เพียงแต่ขอให้อยู่ภายใต้กติกา ทั้งนี้ จะส่งผลกระทบกับการเลือกตั้งหรือไม่ ตนก็เชื่อว่าประชาชนจะเลือกจากนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ
นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจว่าทำไมไม่พอใจ ที่มีเจ้าหน้าที่ลงไปสืบสวนสอบสวนสกัดกั้นยาเสพติดตามชุมชนต่างๆ เพราะเป็นการทำตามที่ประชาชนเรียกร้อง และทำมาก่อนที่จะยุบสภา และมีการเลือกตั้ง
“บางคนก็มาบอกผมว่า เป็นเพราะว่าคนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาหรือไม่ หรือ ตั้งใจจะซื้อเสียง แล้วเห็นเจ้าหน้าที่เดินอยู่ เลยไม่กล้าทำหรือไม่ ตนคิดไม่ออก ถ้าประชาชน รู้ก็บอกหน่อย”
นายวัชร กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ฝ่ายการเมืองไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับทหารเพราะที่ผ่านมาทหารอยู่ในกรมกองแล้วไม่ควรเอากองทัพเข้ามาเกี่ยวข้องอีก ซึ่งถ้าทำแบบนั้นต่อไปจะสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นอันตรายต่อระบบประชาธิปไตยและถ้าเกิดอะไรขึ้นมานักการเมืองก็ต้องโทษตัวเอง
“พล.อ.ประยุทธ์ได้ประกาศความเป็นกลางออกมาแล้วซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีของฝ่ายการเมือง แต่ปรากฎว่ามีนักการเมืองบางคนที่มีกิจกรรมข้อกล่าวหาบางอย่างเพื่อดึงทหารออกมาและต้องการขยายข้อเท็จจริงมากกว่าสิ่งที่ปรากฎว่าถ้าปล่อยไปแบบนี้จะทำให้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างองค์กร แบบนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีกับการเลือกตั้งและอาจเป็นเงื่อนไขให้กับใครกระทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดในอนาคต จึงอยากให้ทุกฝ่ายว่ากันตามข้อเท็จจริง” นายวัชระ กล่าว
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า แผนยุทธการ 315 เป็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากกำลังไม่เพียงพอ จะขอกำลังทหารมาช่วยเสริม การปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้เจาะจงพื้นที่ฐานเสียงของกลุ่มใดเป็นพิเศษ
**ยันหมู่บ้านแดงไม่ผิด-ไม่พบฝึกอาวุธ
อีกเรื่อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวถึงกรณีที่หลายหมู่บ้านในภาคเหนือและภาคอีสาน ประกาศตัวเป็นหมู่บ้านสีแดงว่า กรณีที่รัฐบาลขอตรวจสอบหมู่บ้านคนเสื้อแดงนั้น ตนเข้าใจว่าเป็นเพียงการติดป้ายไม่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ส่วนการขอให้ลดการกระทำเช่นนี้หรือไม่ ต้องดูว่ามีผลกระทบต่อบ้านเมืองอย่างไร แต่ส่วนตัวไม่ต้องการให้มีการแบ่งสีแบ่งฝ่ายเช่นนี้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบว่าเวลาจัดตั้งมีวัตถุประสงค์อะไร ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าหมู่บ้านเหล่านั้นมีการฝึกกองกำลังติดอาวุธแต่อย่างใด ส่วนหมู่บ้านสีแดงจะเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือไม่ อยู่ที่วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง โดยเรื่องนี้มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องติดตามว่ามีอะไรเป็นปัญหาหรือไม่ เบื้องต้นรายงานมาว่าหมู่บ้านดังกล่าวเป็นการสร้างเครือข่ายมวลชน ส่วนวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งหมู่บ้านนี้ว่าจะมีการระดมคนไปทำอะไรนั้น ยังไม่มีความชัดเจน
ส่วนจะกลายเป็นว่ารัฐบาลปกครองหมู่บ้านสีแดงไม่ได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของไทย เมื่อถามว่าจะยิ่งสร้างความแตกแยกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนก็อยากให้ประชาชนได้คิดว่าในที่สุดแล้วใครกำลังสร้างความแตกแยกในบ้านเมือง และทำอย่างไรจะให้ประเทศเดินหน้า โดยไม่มีการแบ่งแยกในบ้านเมือง
นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า น่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งก็ถือเป็นว่ากลยุทธ์ในการดึงคะแนน เพราะในความเป็นจริงแล้วสังคมไทยมีกลุ่มคนที่หลากหลายและการจะไปตั้งเฉพาะกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งคงไม่ได้ แต่ก็จะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อการเลือกตั้ง
พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ได้สั่งการให้ตำรวจท้องที่ตรวจสอบรายละเอียด แต่ยอมรับว่าอาจมีหมู่บ้านดังกล่าวจริง แต่เชื่อว่าเป็นในลักษณะปราศรัยหาเสียง และพูดคุยประเด็นการเมืองมากกว่า ทั้งนี้หากไม่ใช่การซ่องสุมกำลัง หรือมีพฤติการเข้าข่ายทำผิดกฎหมาย สามารถทำได้
**“ยิ่งลักษณ์” กินมาม่า-รปภ.พรึบ!
ที่จ.สมุทรปราการ เมื่อ 12.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครส.ส.บัญชรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ลงหาเสียงช่วยลูกพรรค จากนั้นเข้ารับประทานอาหารกลางวัน ที่ศูนย์อาหารของอิมพิเรียลสำโรง โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ไปนำเงินไปแลกคูปองอาหารกลางวันด้วยตัวเอง โดยสั่งมาม่าไก่ตุ๋น และผัดไทยกะทะร้อน มารับประทานกับผู้สมัคร
มีรายงานว่าตลอดทั้งวัน การหาเสียงขอน.ส.ยิ่งลักษณ์แต่ละครั้ง จะมีผู้สมัครส.ส.ผู้หญิงคอยเดินประกบทั้ง 4 ด้าน โดยมีผู้สมัคร ส.ส.ชายคอยเดินด้านข้างและด้านหลังอีกชั้นหนึ่ง ส่วนบริเวณรอบนอกก็จะมีเจ้าหน้าที่พรรคและหน่วยรักษาความปลอดภัยเดินตรวจพื้นที่ พร้อมทั้งทำหน้าที่แหวกฝูงชนให้น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินได้สะดวก หากบริเวณใดมีกลุ่มคนเสื้อแดงสามารถเข้าประชิดตัวเพื่อมอบดอกไม้หรือพูดคุยก็จะมีหน่วยรักษาความปลอดภัยเข้าประกบทันที
รวมทั้งมีการสื่อสารวิทยุเพื่อให้ทราบจุดที่น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินไปหาเสียง เพื่อให้หน่วยที่รักษาความปลอดภัยล่วงหน้า และหากพบว่าพื้นที่หาเสียงจุดไหนไม่ปลอดภัย ก็จะมีการแจ้งให้มีย้ายจุดหาเสียงและเปลี่ยนแปลงกำหนดการได้ทุกเมื่อ
ขณะที่ช่วงบ่าย คณะรวมถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มาช่วยที่วัดบางพลีใหญ่ใน โดยเข้านมัสการพระครูวิบูลธรรมานุกิจ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่ใน และมาไหว้องค์หลวงพ่อโต เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ
**"มาร์ค" หาเสียงแป๊ก ขี่มอไซค์ดับเฉย!
เวลา 07.00 น. นายอภิสิทธิ์ เดินทางไปหาเสียงช่วยม.ล.อภิมงคล โสณกุล ผู้สมัครส.ส.กทม.เขต 3 ปชป. โดยเริ่มจากสถานตรวจโรคปอด ถนนแฉล้มนิมิตร โดยช่วงต้นทั้งสองคนนั่งรถจักรยานยนต์พ่วงยี่ห้อไทเกอร์สีฟ้า ติดหมายเลข 10 โดยนายอภิสิทธิ์เป็นคนขับ ม.ล.อภิมงคลนั่งอยู่ในรถพ่วง อย่างไรก็ตาม รถจักรยานยนต์ดังกล่าววิ่งเข้าซอยเจริญกรุง 85 ไปได้เพียง 200 เมตร เครื่องยนต์ก็ดับและสตาร์ทไม่ติดอีก ทำให้นายอภิสิทธิ์และ ม.ล.อภิมงคลใช้วิธีลงเดินยกมือไหว้ขอคะแนนเสียงแทน
*ช้ำ! แม่ค้าโจ๊กหลอกคล้องพวงมาลัยแดง
วันเดียวกันนายอภิสิทธิ์พร้อมด้วยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้อำนวยการศูนย์การเลือกตั้ง กทม.พรรคประชาธิปัตย์ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ได้ไปช่วยหาเสียงให้กับนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 9 จตุจักร ที่บริเวณตลาดนัดใต้อาคารซัน ทาวเวอร์ และตลาดนัดภายในซอยจอมพล ข้างธนาคารทหารไทยสำนักงานใหญ่ โดยนายอภิสิทธิ์ได้เดินยกมือไหว้ขอคะแนนกับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอยภายในตลาด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบรรดาพนักงานบริษัทเอกชนที่มีสำนักงานอยู่บริเวณใกล้เคียง ท่ามกลางเสียงกรี๊ดและรุมขอเข้ามาถ่ายรูปพร้อมลายเซ็น โดยนายอภิสิทธิ์ได้แวะกล่าวเชิญชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งและลงคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์
ระหว่างที่นายอภิสิทธิ์กำลังถูกรุมล้อมอยู่นั้น ได้มีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 40 ปี สวมเสื้อซาฟารีสีน้ำเงินกรมท่า ถือกระดาษพิมพ์พื้นสีแดงมีข้อความว่า “ดีแต่พูด” ยืนโวยวายและพยายามเข้าประชิดนายอภิสิทธิ์ แต่ไม่สามารถเข้าถึงตัวนายอภิสิทธิ์ได้เพราะถูกตำรวจนอกเครื่องแบบนำตัวออกไปก่อน นอกจากนี้ยังชายสองคนพากันตะโกนว่า “เบอร์ 1-ดีแต่พูด” แข่งกับเสียงของทีมอาสาสมัครของพรรค ประชาธิปัตย์ที่ตะโกนเชียร์เบอร์ 10 ในระหว่างที่นายอภิสิทธิ์กำลังถ่ายรูปกับสาวออฟฟิศใกล้จุดดังกล่าว ซึ่งเมื่อนายอภิสิทธิ์เดินมาเห็นก็ได้แต่ยิ้มและเดินผ่านไปโดยไม่ได้ให้ความสนใจ
จากนั้นได้เดินเข้าไปไหว้ขอคะแนนในร้านโจ๊กฝั่งซ้ายมือ แต่ปรากฏว่าแม่ค้าร้านโจ๊กบอกว่า “เชิญทางนี้ค่ะ” และได้นำพวงมาลัยสีแดงมาคล้องคอนายอภิสิทธิ์ ทำให้นายอภิสิทธิ์มีสีหน้าเจื่อนทันที เมื่อเดินออกจากร้านไปก็มีเสียงผู้ชายตะโกนไล่หลังด้วยคำหยาบคาย อีกทั้งได้มีชายคนหนึ่งที่อยู่บนดาดฟ้าของตึกแถวที่อยู่หน้าปากซอย ตะโกนลงมาว่าเบอร์ 1 แล้วหลบไปก่อนที่คณะของนายอภิสิทธิ์จะเดินมาถึงหน้าปากซอย ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ใช้เวลาเดินหาเสียงที่บริเวณนี้นานประมาณ 1 ชั่วโมง
เวลา 13.30 น. ที่สนามกีฬาในร่ม มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ จัดกิจกรรม “กรุงเทพโมบายออนแคมปัส” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้ยุทธศาสตร์การหาเสียงเจาะกลุ่มเยาวชน นักศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มเฟิร์สโหวต หรือผู้ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งแรก
ระหว่างเปิดนโยบายมีเสียงตะโกนถามกลุ่มนักศึกษาว่า พรรคประชาธิปัตย์เบอร์อะไร ซึ่งบรรดานักศึกษาพากันตะโกนว่าเบอร์ 10 พร้อมชูมือขึ้นมาสิบนิ้ว แต่ปรากฎว่ามีนักศึกษาบางส่วนได้แอบชูนิ้วชี้แสดงสัญลักษณ์ของเบอร์ 1 ขึ้นมาโชว์ให้เห็นด้วย ขณะที่ช่วงเย็นนายอภิสิทธิ์ และแกนนำ จะขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรกของพื้นที่ กทม. ในสถาบันนี้
***"หนั่น"เย้ย "เหนาะ" ฝันกลางแดด
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีนายชุมพล ตัดพ้อ นายอภิสิทธิ์ เรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ว่า เป็นเรื่องธรรมดาทางการเมือง ที่จะต้องมีแข่งขัน กระทบกระทั่งกันบ้าง ให้คิดซะว่าเป็นสีสันทางการเมือง ส่วนกรณีที่นายเสนาะ เทียนทอง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ระบุ สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แล้วว่า เป็นการฝันกลางแดด เพราะตนเชื่อว่า การจัดตั้งรัฐบาลจะชัดเจนหลังทราบผลการเลือกตั้งในวันที่ 3 ก.ค. และขอเตือนนายเสนาะว่าให้ระวังจะผิดหวัง เพราะเชื่อว่าจะมีงูเห่าเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
พล.ต.สนั่น ยังย้ำว่า หลังการเลือกตั้ง จะเชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มานั่งโต๊ะพูดคุยกัน เพื่อสร้างความปรองดอง.