ASTVผู้จัดการรายวัน - ธอส.ลั่นตรึงดอกเบี้ยต่อยันสัปดาห์นี้ยังไม่ปรับ แต่อาจปรับขึ้นสัปดาห์หน้าตามหลังแบงก์พาณิชย์ หลังสภาพคล่องยันมีสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท แจงพร้อมทำตามนโยบายพรรคการเมืองแต่ต้องมีการจำกัดวงเงินและปรับเกณฑ์การประเมินผลงาน
นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อีกทั้งขณะนี้มีธนาคารพาณิชย์เพียง 2-3 แห่งที่ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงต้องรอดูภาวะตลาดโดยรวมก่อน โดยในสัปดาห์หน้าทางคณะกรรมการจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งหากจำเป็นก็คงต้องปรับขึ้นตามระบบแต่จะปรับหลังสุดและปรับทั้ง 2 ขา
“การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นจะทำเมื่อถึงเวลา ไม่เช่นนั้นต้นทุนของแบงก์จะสูงเกินไปและทำให้ความแตกต่างของดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับแบงก์พาณิชย์ห่างกันออกไปจากที่เคยห่างกัน 0.50-0.75% มานานที่ผ่านมาได้ปรับมาเท่ากันระหว่างดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์เทียบกับเอ็มแอลอาร์ ซึ่งขณะนี้แบงก์กรุงไทยก็ขยับขึ้นไปเล็กน้อย ขณะที่ต้นทุนของธอส.ต่างจากแบงก์พาณิชย์ประมาณ 1% และขณะนี้ยังมีมาร์จิ้นประมาณ 2.3-2.4% ซึ่งยังสามารถบริหารต้นทุนได้“ นายวรวิทย์ กล่าว
นอกจากนี้ ธอส.ยังมีสภาพคล่องเพียงพอดำเนินงานถึง 6 หมื่นล้านบาทจากที่เคยมี 3 - 4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีเงินจากจากองค์กรและสถาบันเข้ามามาก หลังจากที่การคุ้มครองเงินฝากเริ่มมีผลบังคับใช้ ส่วนเงินฝากรายย่อยก็เริ่มไหลเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะหลังการเปิดตัวเงินฝากประจำ 8 เดือน ให้อัตราดอกเบี้ย 3.15% ซึ่งถือว่าสูงหากเทียบกับในระบบและยังจ่ายดอกเบี้ยคืนทุกเดือน โดยหลังเปิดตัวเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันมีเงินฝากไหลเข้ามาแล้วกว่า 8 พันล้านบาทจึงไม่จำเป็นต้องออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเร่งระดมเงินฝากเข้ามาเพิ่มในช่วงนี้
ส่วนนโยบายพรรคการเมืองที่ชูเรื่องสินเชื่อที่อยู่อาศัยดอกเบี้ยต่ำและผ่อนระยะยาวมาใช้ในการหาเสียงนั้น มองว่าส่วนใหญ่ก็ออกมาคล้ายคลึงกันและหากมีการจำกัดวงเงินไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาทหรือ 1 แสนล้านบาทก็น่าจะอยู่ในวิสัยที่ธอส.จะดำเนินการได้เพราะแต่ละปีก็ปล่อยสินเชื่อที่ประมาณแสนล้านบาทอยู่แล้ว แต่ภาครัฐต้องเข้ามาสนับสนุนด้วยรวมทั้งการชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยหรือการปรับเกณฑ์การประเมินผลงานหากใช้กำไรเป็นตัวชี้วัดอาจจะมีผลกระทบกับโบนัสพนักงานหากธอส.ต้องทำตามนโยบายรัฐบาลและทำให้ผลกำไรลดลงก็ควรจะไปวัดผลงานที่ความสำเร็จของการดำเนินโครงการมากกว่า.
นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อีกทั้งขณะนี้มีธนาคารพาณิชย์เพียง 2-3 แห่งที่ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงต้องรอดูภาวะตลาดโดยรวมก่อน โดยในสัปดาห์หน้าทางคณะกรรมการจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งหากจำเป็นก็คงต้องปรับขึ้นตามระบบแต่จะปรับหลังสุดและปรับทั้ง 2 ขา
“การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นจะทำเมื่อถึงเวลา ไม่เช่นนั้นต้นทุนของแบงก์จะสูงเกินไปและทำให้ความแตกต่างของดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับแบงก์พาณิชย์ห่างกันออกไปจากที่เคยห่างกัน 0.50-0.75% มานานที่ผ่านมาได้ปรับมาเท่ากันระหว่างดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์เทียบกับเอ็มแอลอาร์ ซึ่งขณะนี้แบงก์กรุงไทยก็ขยับขึ้นไปเล็กน้อย ขณะที่ต้นทุนของธอส.ต่างจากแบงก์พาณิชย์ประมาณ 1% และขณะนี้ยังมีมาร์จิ้นประมาณ 2.3-2.4% ซึ่งยังสามารถบริหารต้นทุนได้“ นายวรวิทย์ กล่าว
นอกจากนี้ ธอส.ยังมีสภาพคล่องเพียงพอดำเนินงานถึง 6 หมื่นล้านบาทจากที่เคยมี 3 - 4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีเงินจากจากองค์กรและสถาบันเข้ามามาก หลังจากที่การคุ้มครองเงินฝากเริ่มมีผลบังคับใช้ ส่วนเงินฝากรายย่อยก็เริ่มไหลเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะหลังการเปิดตัวเงินฝากประจำ 8 เดือน ให้อัตราดอกเบี้ย 3.15% ซึ่งถือว่าสูงหากเทียบกับในระบบและยังจ่ายดอกเบี้ยคืนทุกเดือน โดยหลังเปิดตัวเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันมีเงินฝากไหลเข้ามาแล้วกว่า 8 พันล้านบาทจึงไม่จำเป็นต้องออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเร่งระดมเงินฝากเข้ามาเพิ่มในช่วงนี้
ส่วนนโยบายพรรคการเมืองที่ชูเรื่องสินเชื่อที่อยู่อาศัยดอกเบี้ยต่ำและผ่อนระยะยาวมาใช้ในการหาเสียงนั้น มองว่าส่วนใหญ่ก็ออกมาคล้ายคลึงกันและหากมีการจำกัดวงเงินไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาทหรือ 1 แสนล้านบาทก็น่าจะอยู่ในวิสัยที่ธอส.จะดำเนินการได้เพราะแต่ละปีก็ปล่อยสินเชื่อที่ประมาณแสนล้านบาทอยู่แล้ว แต่ภาครัฐต้องเข้ามาสนับสนุนด้วยรวมทั้งการชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยหรือการปรับเกณฑ์การประเมินผลงานหากใช้กำไรเป็นตัวชี้วัดอาจจะมีผลกระทบกับโบนัสพนักงานหากธอส.ต้องทำตามนโยบายรัฐบาลและทำให้ผลกำไรลดลงก็ควรจะไปวัดผลงานที่ความสำเร็จของการดำเนินโครงการมากกว่า.