ASTVผู้จัดการรายวัน - ดุสิต อินเตอร์ฯ ตั้งทีมบริหารมืออาชีพ ลุยตลาดจีน ตั้งเป้า เปิด รร. 5 แห่งใน 3 ปี บิ๊ก “ชนินทร์” เดินสายสำรวจโลเกชั่นย่านเอเชีย เล็งสยายปีกลงทุนในอีกหลายประเทศ เผยประเทศน่าสนใจ รอบบ้าน ทั้ง ศรีลังกา ลาว บาหลี สิงคโปร์ และมาเลเซีย เหตุคุ้มทุนเร็ว อัตราค่าห้องพักสูงกว่าไทย 100-1,000% ฉะการเมืองไทย ฉุดท่องเที่ยวดิ่ง ผู้บริหารรัฐไร้กึ๋น
นายชนินทร์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เจ้าของธุรกิจโรงแรม และรับบริหารจัดการโรงภายภายใต้แบรนด์”ดุสิต” เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะมุ่งเจาะตลาดธุรกิจในประเทศจีน โดยล่าสุด ตั้งทีมบริหารเพื่อมาดูแลการลงทุนในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะ เน้นระดับมืออาชีพในสายธุรกิจโรงแรมมีประวัติการบริหารงานในโรงแรมระดับเชนใหญ่ ในส่วนของผู้บริหารที่จะมาดูแลการลงทุนในตลาดจีน เลือกที่คุณสมบัติมีความสัมพันธ์หรือรีเรชั่นชิพ กับเจ้าของกิจการในประเทศจีน ปัจจุบัน ดุสิตธานี มี โรงแรมเปิดบริการในจีน 1 แห่ง ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 5 แห่ง ภายใน 3 ปีนับจากนี้
สำหรับแผนการลงทุน ทางบริษัท ยังคงเดินหน้า หาโลเกชั่นที่ศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีเป้าหมายภายในปี 2558 บริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 50% จากปัจจุบัน สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 30% และในประเทศ 70% โดยหากการเมืองภายในประเทศมีความเสถียรภาพ ไม่วุ่นวาย บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของธุรกิจที่เฉลี่ยปีละ 10-15% ในส่วนของแผนลงทุนภายในประเทศ ยังเน้นหาซื้อพร็อพเพอร์ตี้ แต่ด้วยเศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่ง ประกอบกับเจ้าของกิจการยังต้องการขายในราคาที่แพงเกินจริงทำให้ยังไม่มีการตกลงซื้อขาย
สนโลเกชั่นเอเชียอัด2.3พันล.ในมัลดีฟ
ส่วนแผนในต่างประเทศ ได้เดินทางดูโลเกชั่นเพื่อลงทุนในหลายประเทศที่มีศักยภาพ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และ อเมริกา ซึ่งในย่านเอเชีย มีหลายประเทศที่น่าสนใจ เช่น ศรีลังกา ลาว สิงคโปร์ มาเลเซีย บาหลี และที่ได้ลงทุนไปบ้างแล้ว เช่น อินเดีย มัลดีฟ ซึ่งทุกประเทศที่กล่าวมา ล้วนมีศักยภาพทั้งสิ้น โดยราคาห้องพักต่อคนต่อคืนสูงกว่าราคาห้องพักในประเทศไทยเฉลี่ย 100-1,000%
ล่าสุดจ่ายเงินมัดจำเพื่อเข้าลงทุนในโรงแรมที่เกาะ Mudhdhoo สาธารณรัฐมัลดีฟ ผ่าน บมจ. ดุสิต ไทยพร็อพเพอร์ตี้ วงเงิน 15 ล้านบาท ในรูปแบบสัญญาเช่า ระยะเวลา 33 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2554 ถึง 2587 โดยขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างไปแล้ว 80% โดยมูลค่าทั้งโครงการที่ดุสิตต้องใช้เงินลงทุนครั้งนี้รวม กว่า 7.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2,334 ล้านบาท ภาพรวมธุรกิจโรงแรมในมัลดีฟ มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80% มีห้องมีราคาสูงกว่าไทย 10เท่า หรือ 1,000% คุ้มทุนเร็วกว่าไทย 2-3 เท่าตัว
นายชนินทร์ กล่าวถึงมุมมองสถานการณ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย ว่า ขณะนี้มีการแข่งขันรอบด้านทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตลาดในประเทศแข่งขันด้านราคาสูง เพราะความไม่ชัดเจนในด้านนโยบายการท่องเที่ยวของรัฐบาล และ ยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ขณะที่การแข่งขันจากต่างประเทศ ต้องยอมรับว่า แม้ประเทศไทยติดท๊อปเดสติเนชั่น แต่ความสดใหม่ของแหล่งท่องเที่ยวของประเทศเพื่อนบ้านที่ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหรือแม้แต่คนไทย ก็ยังแห่ไปท่องเที่ยว
นายชนินทร์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เจ้าของธุรกิจโรงแรม และรับบริหารจัดการโรงภายภายใต้แบรนด์”ดุสิต” เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะมุ่งเจาะตลาดธุรกิจในประเทศจีน โดยล่าสุด ตั้งทีมบริหารเพื่อมาดูแลการลงทุนในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะ เน้นระดับมืออาชีพในสายธุรกิจโรงแรมมีประวัติการบริหารงานในโรงแรมระดับเชนใหญ่ ในส่วนของผู้บริหารที่จะมาดูแลการลงทุนในตลาดจีน เลือกที่คุณสมบัติมีความสัมพันธ์หรือรีเรชั่นชิพ กับเจ้าของกิจการในประเทศจีน ปัจจุบัน ดุสิตธานี มี โรงแรมเปิดบริการในจีน 1 แห่ง ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 5 แห่ง ภายใน 3 ปีนับจากนี้
สำหรับแผนการลงทุน ทางบริษัท ยังคงเดินหน้า หาโลเกชั่นที่ศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีเป้าหมายภายในปี 2558 บริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 50% จากปัจจุบัน สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 30% และในประเทศ 70% โดยหากการเมืองภายในประเทศมีความเสถียรภาพ ไม่วุ่นวาย บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของธุรกิจที่เฉลี่ยปีละ 10-15% ในส่วนของแผนลงทุนภายในประเทศ ยังเน้นหาซื้อพร็อพเพอร์ตี้ แต่ด้วยเศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่ง ประกอบกับเจ้าของกิจการยังต้องการขายในราคาที่แพงเกินจริงทำให้ยังไม่มีการตกลงซื้อขาย
สนโลเกชั่นเอเชียอัด2.3พันล.ในมัลดีฟ
ส่วนแผนในต่างประเทศ ได้เดินทางดูโลเกชั่นเพื่อลงทุนในหลายประเทศที่มีศักยภาพ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และ อเมริกา ซึ่งในย่านเอเชีย มีหลายประเทศที่น่าสนใจ เช่น ศรีลังกา ลาว สิงคโปร์ มาเลเซีย บาหลี และที่ได้ลงทุนไปบ้างแล้ว เช่น อินเดีย มัลดีฟ ซึ่งทุกประเทศที่กล่าวมา ล้วนมีศักยภาพทั้งสิ้น โดยราคาห้องพักต่อคนต่อคืนสูงกว่าราคาห้องพักในประเทศไทยเฉลี่ย 100-1,000%
ล่าสุดจ่ายเงินมัดจำเพื่อเข้าลงทุนในโรงแรมที่เกาะ Mudhdhoo สาธารณรัฐมัลดีฟ ผ่าน บมจ. ดุสิต ไทยพร็อพเพอร์ตี้ วงเงิน 15 ล้านบาท ในรูปแบบสัญญาเช่า ระยะเวลา 33 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2554 ถึง 2587 โดยขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างไปแล้ว 80% โดยมูลค่าทั้งโครงการที่ดุสิตต้องใช้เงินลงทุนครั้งนี้รวม กว่า 7.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2,334 ล้านบาท ภาพรวมธุรกิจโรงแรมในมัลดีฟ มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80% มีห้องมีราคาสูงกว่าไทย 10เท่า หรือ 1,000% คุ้มทุนเร็วกว่าไทย 2-3 เท่าตัว
นายชนินทร์ กล่าวถึงมุมมองสถานการณ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย ว่า ขณะนี้มีการแข่งขันรอบด้านทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตลาดในประเทศแข่งขันด้านราคาสูง เพราะความไม่ชัดเจนในด้านนโยบายการท่องเที่ยวของรัฐบาล และ ยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ขณะที่การแข่งขันจากต่างประเทศ ต้องยอมรับว่า แม้ประเทศไทยติดท๊อปเดสติเนชั่น แต่ความสดใหม่ของแหล่งท่องเที่ยวของประเทศเพื่อนบ้านที่ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหรือแม้แต่คนไทย ก็ยังแห่ไปท่องเที่ยว
