ASTVผู้จัดการรายวัน – เสี่ยบุณยสิทธิ์ แห่งเครือสหพัฒน์ เปรียบปีนี้เศรษฐกิจไทยเป็นรถไฟความเร็วสูง สอนมวยรัฐบาลชุดใหม่ เร่งวางหมากนโยบายต่างประเทศเชิงรุก รองรับโลกการค้าเสรี”เออีซี-อาฟต้า-เอฟทีเอ” ระบุนายกฯหญิงช่วยลดความขัดแย้ง ด้านเครือสหพัฒน์เปิดเกมบุกอาเซียน เร่งปั้นแบรนด์ใหม่ ศึกษาตลาดส่งออก สิ้นปีโต 15-20% กวาด 2 แสนล้านบาท
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตและและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้เปรียบเสมือนรถไฟความเร็วสูง หรือ สปีดเทรน ไม่ได้เป็นรถที่วิ่งลงเหวอีกแล้ว เนื่องจากสินค้าเกษตรมีราคาขายที่ดี ส่งผลให้เกษตรกรซึ่งเป็นกลุ่มรากหญ้าและเป็นประชากรจำนวนมากของประเทศมีรายได้ที่ดีขึ้น
“ส่วนหลังจากการเลือกตั้งนัน้ ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่มุ่งนโยบายด้านต่างประเทศมากขึ้น เพื่อรองรับโลกแห่งการค้าเสรี อย่างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ซึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2558 หรือกระทั่งการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียนและเอฟทีเอ และต้องเร่งสร้างความสัมพันธ์การค้าระหว่างประเทศจีน จากเดิมประเทศไทยมุ่งส่งออกไปในอเมริกา ยุโรป แต่ธุรกิจก็ต้องประสบกับภาวะค่าเงินบาทแข็งค่า กระทบต่อภาคธุรกิจส่งออก
“ที่ผ่านมายุทธศาสตร์ของไทยโดยรวมดีทุกอย่าง แต่เสียโอกาสเยอะ โดยเฉพาะด้านการตลาด มองแค่ทำการตลาดในประเทศอย่างเดียว และแผนวางระยะสั้นปีต่อปีเท่านั้น ขณะที่สินค้าที่จะได้รับผลประโยชน์จากเออีซี คือ สินค้าเกษตร หรือสินค้าพื้นฐานมากกว่าจะเป็นสินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า”
***แนะวางนโยบายระยะยาวแก้บาทแข็ง***
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ผลักดันเศรษฐกิจ ต้องวางแผนระยะยาวและมองโอกาสการขยายตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้เติบโต 20-30% โดยเฉพาะแก้ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่า จะยิ่งผลักดันให้รากหญ้ามีกำลังการซื้อที่ดีขึ้น รัฐบาลควรนำโมเดลการแก้ปัญหาค่าเงินแข็งจากจีน เกาหลี และอินโดนีเซีย เป็นแบบอย่าง ซึ่งล่าสุดปีนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับเป้าการส่งออกจากโต 10% เป็น 12%
“ที่ผ่านมามีประเทศต่างๆ ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูง หากไทยมีการนโยบายการลงทุนที่น่าดึงดูด เช่น การวางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ระบบลอจิสติกส์ อำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่จะเข้ามาลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ควรเร่งผลักดัน”
***ชี้นายกหญิงลดความขัดแย้งการเมือง**
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า หลังจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม นี้ ประเทศไทยได้รัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ เชื่อว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง แต่พบว่านโยบายการหาเสียงของแต่ละพรรค มุ่งเน้นการอัดฉีดเม็ดเงินให้ประชาชน แต่ไม่ได้มองถึงการพัฒนาประชากรของประเทศอย่างไรให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
ในยุคที่เกิดความขัดแย้ง การมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ขัดแย้งลงได้ ซึ่งต้องยอมรับว่าคนที่วางตัว”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นคนที่ฉลาด แต่ก็ใช่ว่าจะเหมาะกับยุคสมัยนี้
***เครือสหพัฒน์บุกตปท.รับเออีซี***
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทได้วางนโยบายการเชิงรุกขยายตลาดต่างประเทศ เพื่อฉกฉวยโอกาสประชาเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทต้องการสร้างแบรนด์ใหม่ๆ และต้องการพัฒนาสินค้าสำหรับประชากรในอาเซียนซึ่งมีมากกว่า 500 ล้านคน ซึ่งหากไม่ปรับตัวจะสูญเสียโอกาสขยายตลาดต่างประเทศ จากปัจจุบันเครือสหพัฒน์มีรายได้ส่งออก 30% และในประเทศ 70%
ปีนี้เครือสหพัฒน์ยังไม่ได้มีการลงทุนใหญ่ๆ โดยบริษัทเน้นลดต้นทุนเพิ่มเครื่องจักรแทนการใช้แรงงงานคนแทน ขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้ลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท สร้างโรงงานแป้งสาลี ที่ ศรีราชา คาดว่าจะเริ่มดำเนินการปีหน้านี้ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ซึ่งปีนี้ต้นทุนการผลิตปรับเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยเฉพาะบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูป ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ซึ่งการปรับราคาสินค้าขึ้นจะเป็นทางเลือกสุดท้าย
ผลประกอบการเครือสหพัฒน์สิ้นปีนี้ตั้งเป้าโต 15-20% หรือราว 2 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโต 10% โดยรายได้ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาโต 13-15% ล่าสุดได้จัดงาน”สหกรุ๊ป แฟร์” ครั้งที่ 15 วันที่ 30 มิถุนายน – 3 กรกฎาคม ภายใต้แนวคิด” Saha Wonderful World” โดยนำสินค้ากว่า 1,000 รายการ กว่า 900 คูหา พร้อมกับแนะนำสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตและและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้เปรียบเสมือนรถไฟความเร็วสูง หรือ สปีดเทรน ไม่ได้เป็นรถที่วิ่งลงเหวอีกแล้ว เนื่องจากสินค้าเกษตรมีราคาขายที่ดี ส่งผลให้เกษตรกรซึ่งเป็นกลุ่มรากหญ้าและเป็นประชากรจำนวนมากของประเทศมีรายได้ที่ดีขึ้น
“ส่วนหลังจากการเลือกตั้งนัน้ ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่มุ่งนโยบายด้านต่างประเทศมากขึ้น เพื่อรองรับโลกแห่งการค้าเสรี อย่างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ซึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2558 หรือกระทั่งการเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียนและเอฟทีเอ และต้องเร่งสร้างความสัมพันธ์การค้าระหว่างประเทศจีน จากเดิมประเทศไทยมุ่งส่งออกไปในอเมริกา ยุโรป แต่ธุรกิจก็ต้องประสบกับภาวะค่าเงินบาทแข็งค่า กระทบต่อภาคธุรกิจส่งออก
“ที่ผ่านมายุทธศาสตร์ของไทยโดยรวมดีทุกอย่าง แต่เสียโอกาสเยอะ โดยเฉพาะด้านการตลาด มองแค่ทำการตลาดในประเทศอย่างเดียว และแผนวางระยะสั้นปีต่อปีเท่านั้น ขณะที่สินค้าที่จะได้รับผลประโยชน์จากเออีซี คือ สินค้าเกษตร หรือสินค้าพื้นฐานมากกว่าจะเป็นสินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า”
***แนะวางนโยบายระยะยาวแก้บาทแข็ง***
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ผลักดันเศรษฐกิจ ต้องวางแผนระยะยาวและมองโอกาสการขยายตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้เติบโต 20-30% โดยเฉพาะแก้ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่า จะยิ่งผลักดันให้รากหญ้ามีกำลังการซื้อที่ดีขึ้น รัฐบาลควรนำโมเดลการแก้ปัญหาค่าเงินแข็งจากจีน เกาหลี และอินโดนีเซีย เป็นแบบอย่าง ซึ่งล่าสุดปีนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับเป้าการส่งออกจากโต 10% เป็น 12%
“ที่ผ่านมามีประเทศต่างๆ ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูง หากไทยมีการนโยบายการลงทุนที่น่าดึงดูด เช่น การวางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ระบบลอจิสติกส์ อำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่จะเข้ามาลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ควรเร่งผลักดัน”
***ชี้นายกหญิงลดความขัดแย้งการเมือง**
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า หลังจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม นี้ ประเทศไทยได้รัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ เชื่อว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง แต่พบว่านโยบายการหาเสียงของแต่ละพรรค มุ่งเน้นการอัดฉีดเม็ดเงินให้ประชาชน แต่ไม่ได้มองถึงการพัฒนาประชากรของประเทศอย่างไรให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
ในยุคที่เกิดความขัดแย้ง การมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ขัดแย้งลงได้ ซึ่งต้องยอมรับว่าคนที่วางตัว”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นคนที่ฉลาด แต่ก็ใช่ว่าจะเหมาะกับยุคสมัยนี้
***เครือสหพัฒน์บุกตปท.รับเออีซี***
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทได้วางนโยบายการเชิงรุกขยายตลาดต่างประเทศ เพื่อฉกฉวยโอกาสประชาเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทต้องการสร้างแบรนด์ใหม่ๆ และต้องการพัฒนาสินค้าสำหรับประชากรในอาเซียนซึ่งมีมากกว่า 500 ล้านคน ซึ่งหากไม่ปรับตัวจะสูญเสียโอกาสขยายตลาดต่างประเทศ จากปัจจุบันเครือสหพัฒน์มีรายได้ส่งออก 30% และในประเทศ 70%
ปีนี้เครือสหพัฒน์ยังไม่ได้มีการลงทุนใหญ่ๆ โดยบริษัทเน้นลดต้นทุนเพิ่มเครื่องจักรแทนการใช้แรงงงานคนแทน ขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้ลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท สร้างโรงงานแป้งสาลี ที่ ศรีราชา คาดว่าจะเริ่มดำเนินการปีหน้านี้ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ซึ่งปีนี้ต้นทุนการผลิตปรับเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยเฉพาะบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูป ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ซึ่งการปรับราคาสินค้าขึ้นจะเป็นทางเลือกสุดท้าย
ผลประกอบการเครือสหพัฒน์สิ้นปีนี้ตั้งเป้าโต 15-20% หรือราว 2 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโต 10% โดยรายได้ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาโต 13-15% ล่าสุดได้จัดงาน”สหกรุ๊ป แฟร์” ครั้งที่ 15 วันที่ 30 มิถุนายน – 3 กรกฎาคม ภายใต้แนวคิด” Saha Wonderful World” โดยนำสินค้ากว่า 1,000 รายการ กว่า 900 คูหา พร้อมกับแนะนำสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ