ถึงตอนนี้คงไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่า กระแสโหวตโนกำลังมาแรง และได้รับการตอบรับกล่าวขานจากสังคมไม่น้อย
ผมพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่า การเคลื่อนไหวนี้เริ่มต้นโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ผมจับทิศทางได้จากกระแสโพลต่างๆ ในช่วงนี้ ที่ประชาชนยังมีความลังเลอย่างมากที่จะเลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง ซึ่งคงเป็นเพราะสังคมอาจจะมีความเห็นพ้องต้องกันว่า ปัญหาของบ้านเมืองเราทุกวันนี้เกิดจากตัวนักการเมือง และพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคไหนก็ไม่สามารถยุติวิกฤตของบ้านเมืองได้
ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแล้วนิรโทษกรรมให้กับทักษิณ บ้านเมืองก็จะเกิดวิกฤตอีกรอบเพราะคนจะออกมาต่อต้าน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะ ภาพของคนเสื้อแดงที่ออกมาก่อหวอดเพื่อเผาบ้านเผาเมืองก็จะกลับมาอีกครั้ง
โพลต่างๆ ในช่วงนี้ ส่วนใหญ่จึงเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า สำหรับคนที่ตัดสินใจแล้วพรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มสูงตรงกันเกือบทุกโพลบ่งชี้ว่า พรรคเพื่อไทยจะเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างแน่นอน ขณะเดียวกันเกือบทุกโพลมีตัวเลขที่สูงมากบอกว่า มีคนเกือบ 50% ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคไหน
นอกจากนั้นกระแสโหวตโนยังวัดได้จากการที่มีคนบางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการรณรงค์โหวตโนของพันธมิตรฯ อย่างน้อย 2 กลุ่ม
หนึ่ง คือการรณรงค์โหวตเยส แต่กลายเป็นว่า การโหวตเยสที่เคลื่อนไหวโดยคนเสื้อแดง ก็คือ การรณรงค์ให้ไปเลือกพรรคเพื่อไทย ซึ่งแท้ที่จริงเป็นเพียงการเกาะกระแสกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ที่ยืนทางการเมือง และการยอมรับให้กับตัวเองเท่านั้นเอง
สอง อีกกลุ่มที่พยายามหาเหตุผลมาต่อสู้กับการโหวตโนของพันธมิตรฯ ก็คือ การบอกว่าให้ไปเลือกคนที่เลวน้อยที่สุด เหมือนกับการจำนนว่า ทางเลือกของประชาชนนั้นมีเพียงทางออกเดียว แนวทางนี้เคลื่อนไหวโดยคนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ เพราะคิดเอาเองว่า คนของพรรคตนนั้นมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าพรรคการเมืองพรรคอื่น
แต่จริงๆ แล้วที่เรามองเห็นในความเป็นจริงของการเมือง พรรคการเมืองทุกพรรคทุกขั้วไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย และทุกพรรคที่เป็นอยู่ในขณะนี้ล้วนแล้วแต่มุ่งที่จะเข้ามาแสวงหาอำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของพรรคและกลุ่มมากกว่าตอบสนองผลประโยชน์ของประชาชน
แน่นอนว่าระบอบประชาธิปไตย คือ การเลือกสรรคนที่เราคิดว่าดีที่สุดเข้าไปทำหน้าที่แทนเรา แต่ย่อมไม่ใช่การคัดสรรคนที่เลวน้อยที่สุด เพราะนั่นเป็นการยอมจำนน เหมือนกับคนเอาปืนมาจี้แล้วบอกว่า ยอมให้ข่มขืนเสียดีๆ ไม่งั้นตายแน่ และเราต้องยอมจำนนเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
แต่ระบอบประชาธิปไตยของเรามีการออกแบบให้มีตัวเลือกอีกตัวเลือกตัวหนึ่งคือ การไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่ลงคะแนนให้ผู้สมัครคนใดหรือพรรคใดเลย
แล้วทำไมเราจึงไม่เลือกช่องทางนี้เพื่อรักษาระบบและแสดงตัวเพื่อการไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองชั่วอีกต่อไป ไม่ยอมให้หนึ่งเสียงของเราเป็นตราประทับในการเข้ามาหาประโยชน์ของกลุ่มการเมืองอีกต่อไป
ถามว่าระบบการเมืองทุกวันนี้พอจะมีคนดีลงมาให้เราเลือกหรือไม่ คำตอบก็คือว่าอาจจะมี แต่ถามว่าระบบการเมืองที่เป็นอยู่นั้นได้เปิดโอกาสให้คนดีได้ทำหน้าที่หรือไม่ คำตอบ คือไม่มีโอกาส เพราะระบบการเมืองที่เป็นอยู่ถูกควบคุมด้วยกลไกของพรรค ไม่ได้เปิดโอกาสให้ ส.ส.มีเสรีภาพทางความคิดมีความอิสระในการแสดงออกทางการเมือง
ดังนั้นโหวตโนจึงเป็นการแสดงพลังให้เห็นว่า ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงจากนักการเมือง และต้องการการออกแบบระบบการเมืองที่โปร่งใสมากขึ้น ระบบการเมืองที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของคนส่วนมาก ไม่ใช่ประโยชน์ของนักการเมืองและกลุ่มทุนทางการเมือง
โหวตโนจึงเป็นการแสดงพลังของประชาชนเพื่อนำไปสู่เป้าหมายนี้ เพราะเราไม่อาจเตือนสตินักการเมืองด้วยการไปเลือกคนที่เลวน้อยที่สุดได้ และไม่มีอะไรบ่งบอกได้ว่า คนที่เสนอเป็นตัวเลือกให้เรานั้นเลวน้อยกว่ากันอย่างไร
จะเห็นได้ว่า การรณรงค์โหวตโนของพันธมิตรฯ นั้น ถูกโจมตีอย่างหนักจากกลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ในระยะแรก มีการปล่อยข่าวต่างๆ นานาว่า แกนนำพันธมิตรฯ รับเงินมารณรงค์โหวตโนเพื่อให้ประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้ง แต่เมื่อข้อกล่าวหานั้นไม่ได้ยืนอยู่บนตรรกะและข้อเท็จจริง จึงไม่สามารถบั่นทอนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ได้ เพราะแท้จริงแล้วพันธมิตรฯ ได้พูดถึงความเลวร้ายของนักการเมืองทั้งระบบ และเล็งเห็นว่านอกจากตัวนักการเมืองมีปัญหาแล้วยังเกิดจากตัวระบบที่เปิดทางให้นักการเมืองเข้าไปหาประโยชน์ ดังนั้นทางออกที่จะตามมาคือ การปฏิรูปการเมือง
ซึ่งมีคำถามตามมาว่า ถ้าโหวตโนแล้วจะได้อะไร คำตอบที่เราตอบได้ในเบื้องต้นก็คือ ถ้ามีการโหวตโนมากพอก็จะกลายเป็นพลังกดดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองได้
แล้วจะปฏิรูปการเมืองอย่างไร
ก่อนจะถึงคำตอบนี้เราต้องถามตัวเองเบื้องต้นว่า เราพอใจกับระบบการเมืองที่เป็นอยู่หรือไม่ เรายอมให้นักการเมืองมุ่งเข้ามาแสวงหาประโยชน์ส่วนตนจากอำนาจต่อไปอีกหรือไม่ เราจะยอมจำนนเพียงเพื่อเลือกคนที่เลวน้อยที่สุด เพราะคนดีไม่ยอมเข้ามาสู่ระบบการเมืองที่เป็นอยู่อีกต่อไปหรือไม่
ดังนั้นคำตอบที่ง่ายที่สุดของคำถามว่าจะปฏิรูปการเมืองอย่างไรก่อนที่สังคมจะมาออกแบบร่วมกันก็คือ เราไม่พอใจการเมืองที่เป็นอยู่และเราต้องการเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่
ถ้าเราไม่ยอมและต้องการการเมืองที่ดีกว่า ระหว่างการเลือกคนและพรรคที่เราชอบโดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติ เลือกคนที่เลวน้อยที่สุด หรือไม่เลือกใครเลยเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถามว่าเราควรจะเลือกช่องทางไหน
ผมคิดว่าคำตอบที่เราน่าจะตอบได้คือ เราไม่มีความจำเป็นจะต้องฝืนเลือกคนหรือพรรคการเมืองใด เมื่อเรายังมีทางเลือกอีกทางเลือกคือ การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่เลือกพรรคใดหรือบุคคลใดเลย
ทั้งนี้เราต้องยอมรับความจริงก่อนว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นมีแนวโน้มว่า แพ้เลือกตั้งอยู่แล้ว การต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นเพียงการตอกย้ำและประทับความชอบธรรมในระบบรัฐสภาให้กับพรรคเพื่อไทยเท่านั้นเอง
ดังนั้นสำหรับคนที่ยังไม่ตัดสินใจและคนที่ไม่อยากเลือกพรรคเพื่อไทย ไม่อยากให้ทักษิณกลับมา ไม่อยากให้มีการนิรโทษกรรมให้ทักษิณ การไปใช้สิทธิกาช่องไม่เลือกใครจึงน่าจะเป็นทางออกเดียวที่จะพลิกกลับมาตั้งรับกับกระแสของพรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณได้ เพราะเราจะสามารถใช้พลังนี้เป็นพลังในการต่อรองนอกสภาเพื่อให้นักการเมืองเปลี่ยนแปลงตัวเองและเปลี่ยนแปลงระบบที่มีพลังมากกว่าการไปยกมือยอมแพ้ในสภา
ที่สำคัญเราพิสูจน์มาแล้วกว่า 2 ปีว่า ระบอบอภิสิทธิ์นั้นไม่สามารถสร้างความสงบสุขและรับมือกับพลังนอกสภาของทักษิณได้ และถ้าสู้กันในสภาก็มีแนวโน้มชัดเจนแล้วว่า ระบอบทักษิณจะชนะและเข้าไปใช้ระบบรัฐสภาในการสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง
ดังนั้นทางออกเดียวที่พอจะรับมือกับทักษิณได้ คือ ต้องโหวตโนให้มากเข้าไว้ เพื่อให้เสียงประชาชนมีพลังมากพอที่จะต่อต้านกับอำนาจการเมืองที่มีแนวโน้มแล้วว่าทักษิณจะกำชัย
ผมพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่า การเคลื่อนไหวนี้เริ่มต้นโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ผมจับทิศทางได้จากกระแสโพลต่างๆ ในช่วงนี้ ที่ประชาชนยังมีความลังเลอย่างมากที่จะเลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง ซึ่งคงเป็นเพราะสังคมอาจจะมีความเห็นพ้องต้องกันว่า ปัญหาของบ้านเมืองเราทุกวันนี้เกิดจากตัวนักการเมือง และพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคไหนก็ไม่สามารถยุติวิกฤตของบ้านเมืองได้
ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแล้วนิรโทษกรรมให้กับทักษิณ บ้านเมืองก็จะเกิดวิกฤตอีกรอบเพราะคนจะออกมาต่อต้าน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะ ภาพของคนเสื้อแดงที่ออกมาก่อหวอดเพื่อเผาบ้านเผาเมืองก็จะกลับมาอีกครั้ง
โพลต่างๆ ในช่วงนี้ ส่วนใหญ่จึงเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า สำหรับคนที่ตัดสินใจแล้วพรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มสูงตรงกันเกือบทุกโพลบ่งชี้ว่า พรรคเพื่อไทยจะเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างแน่นอน ขณะเดียวกันเกือบทุกโพลมีตัวเลขที่สูงมากบอกว่า มีคนเกือบ 50% ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคไหน
นอกจากนั้นกระแสโหวตโนยังวัดได้จากการที่มีคนบางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการรณรงค์โหวตโนของพันธมิตรฯ อย่างน้อย 2 กลุ่ม
หนึ่ง คือการรณรงค์โหวตเยส แต่กลายเป็นว่า การโหวตเยสที่เคลื่อนไหวโดยคนเสื้อแดง ก็คือ การรณรงค์ให้ไปเลือกพรรคเพื่อไทย ซึ่งแท้ที่จริงเป็นเพียงการเกาะกระแสกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ที่ยืนทางการเมือง และการยอมรับให้กับตัวเองเท่านั้นเอง
สอง อีกกลุ่มที่พยายามหาเหตุผลมาต่อสู้กับการโหวตโนของพันธมิตรฯ ก็คือ การบอกว่าให้ไปเลือกคนที่เลวน้อยที่สุด เหมือนกับการจำนนว่า ทางเลือกของประชาชนนั้นมีเพียงทางออกเดียว แนวทางนี้เคลื่อนไหวโดยคนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ เพราะคิดเอาเองว่า คนของพรรคตนนั้นมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าพรรคการเมืองพรรคอื่น
แต่จริงๆ แล้วที่เรามองเห็นในความเป็นจริงของการเมือง พรรคการเมืองทุกพรรคทุกขั้วไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย และทุกพรรคที่เป็นอยู่ในขณะนี้ล้วนแล้วแต่มุ่งที่จะเข้ามาแสวงหาอำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของพรรคและกลุ่มมากกว่าตอบสนองผลประโยชน์ของประชาชน
แน่นอนว่าระบอบประชาธิปไตย คือ การเลือกสรรคนที่เราคิดว่าดีที่สุดเข้าไปทำหน้าที่แทนเรา แต่ย่อมไม่ใช่การคัดสรรคนที่เลวน้อยที่สุด เพราะนั่นเป็นการยอมจำนน เหมือนกับคนเอาปืนมาจี้แล้วบอกว่า ยอมให้ข่มขืนเสียดีๆ ไม่งั้นตายแน่ และเราต้องยอมจำนนเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
แต่ระบอบประชาธิปไตยของเรามีการออกแบบให้มีตัวเลือกอีกตัวเลือกตัวหนึ่งคือ การไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่ลงคะแนนให้ผู้สมัครคนใดหรือพรรคใดเลย
แล้วทำไมเราจึงไม่เลือกช่องทางนี้เพื่อรักษาระบบและแสดงตัวเพื่อการไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองชั่วอีกต่อไป ไม่ยอมให้หนึ่งเสียงของเราเป็นตราประทับในการเข้ามาหาประโยชน์ของกลุ่มการเมืองอีกต่อไป
ถามว่าระบบการเมืองทุกวันนี้พอจะมีคนดีลงมาให้เราเลือกหรือไม่ คำตอบก็คือว่าอาจจะมี แต่ถามว่าระบบการเมืองที่เป็นอยู่นั้นได้เปิดโอกาสให้คนดีได้ทำหน้าที่หรือไม่ คำตอบ คือไม่มีโอกาส เพราะระบบการเมืองที่เป็นอยู่ถูกควบคุมด้วยกลไกของพรรค ไม่ได้เปิดโอกาสให้ ส.ส.มีเสรีภาพทางความคิดมีความอิสระในการแสดงออกทางการเมือง
ดังนั้นโหวตโนจึงเป็นการแสดงพลังให้เห็นว่า ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงจากนักการเมือง และต้องการการออกแบบระบบการเมืองที่โปร่งใสมากขึ้น ระบบการเมืองที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของคนส่วนมาก ไม่ใช่ประโยชน์ของนักการเมืองและกลุ่มทุนทางการเมือง
โหวตโนจึงเป็นการแสดงพลังของประชาชนเพื่อนำไปสู่เป้าหมายนี้ เพราะเราไม่อาจเตือนสตินักการเมืองด้วยการไปเลือกคนที่เลวน้อยที่สุดได้ และไม่มีอะไรบ่งบอกได้ว่า คนที่เสนอเป็นตัวเลือกให้เรานั้นเลวน้อยกว่ากันอย่างไร
จะเห็นได้ว่า การรณรงค์โหวตโนของพันธมิตรฯ นั้น ถูกโจมตีอย่างหนักจากกลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ในระยะแรก มีการปล่อยข่าวต่างๆ นานาว่า แกนนำพันธมิตรฯ รับเงินมารณรงค์โหวตโนเพื่อให้ประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้ง แต่เมื่อข้อกล่าวหานั้นไม่ได้ยืนอยู่บนตรรกะและข้อเท็จจริง จึงไม่สามารถบั่นทอนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ได้ เพราะแท้จริงแล้วพันธมิตรฯ ได้พูดถึงความเลวร้ายของนักการเมืองทั้งระบบ และเล็งเห็นว่านอกจากตัวนักการเมืองมีปัญหาแล้วยังเกิดจากตัวระบบที่เปิดทางให้นักการเมืองเข้าไปหาประโยชน์ ดังนั้นทางออกที่จะตามมาคือ การปฏิรูปการเมือง
ซึ่งมีคำถามตามมาว่า ถ้าโหวตโนแล้วจะได้อะไร คำตอบที่เราตอบได้ในเบื้องต้นก็คือ ถ้ามีการโหวตโนมากพอก็จะกลายเป็นพลังกดดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองได้
แล้วจะปฏิรูปการเมืองอย่างไร
ก่อนจะถึงคำตอบนี้เราต้องถามตัวเองเบื้องต้นว่า เราพอใจกับระบบการเมืองที่เป็นอยู่หรือไม่ เรายอมให้นักการเมืองมุ่งเข้ามาแสวงหาประโยชน์ส่วนตนจากอำนาจต่อไปอีกหรือไม่ เราจะยอมจำนนเพียงเพื่อเลือกคนที่เลวน้อยที่สุด เพราะคนดีไม่ยอมเข้ามาสู่ระบบการเมืองที่เป็นอยู่อีกต่อไปหรือไม่
ดังนั้นคำตอบที่ง่ายที่สุดของคำถามว่าจะปฏิรูปการเมืองอย่างไรก่อนที่สังคมจะมาออกแบบร่วมกันก็คือ เราไม่พอใจการเมืองที่เป็นอยู่และเราต้องการเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่
ถ้าเราไม่ยอมและต้องการการเมืองที่ดีกว่า ระหว่างการเลือกคนและพรรคที่เราชอบโดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติ เลือกคนที่เลวน้อยที่สุด หรือไม่เลือกใครเลยเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถามว่าเราควรจะเลือกช่องทางไหน
ผมคิดว่าคำตอบที่เราน่าจะตอบได้คือ เราไม่มีความจำเป็นจะต้องฝืนเลือกคนหรือพรรคการเมืองใด เมื่อเรายังมีทางเลือกอีกทางเลือกคือ การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่เลือกพรรคใดหรือบุคคลใดเลย
ทั้งนี้เราต้องยอมรับความจริงก่อนว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นมีแนวโน้มว่า แพ้เลือกตั้งอยู่แล้ว การต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นเพียงการตอกย้ำและประทับความชอบธรรมในระบบรัฐสภาให้กับพรรคเพื่อไทยเท่านั้นเอง
ดังนั้นสำหรับคนที่ยังไม่ตัดสินใจและคนที่ไม่อยากเลือกพรรคเพื่อไทย ไม่อยากให้ทักษิณกลับมา ไม่อยากให้มีการนิรโทษกรรมให้ทักษิณ การไปใช้สิทธิกาช่องไม่เลือกใครจึงน่าจะเป็นทางออกเดียวที่จะพลิกกลับมาตั้งรับกับกระแสของพรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณได้ เพราะเราจะสามารถใช้พลังนี้เป็นพลังในการต่อรองนอกสภาเพื่อให้นักการเมืองเปลี่ยนแปลงตัวเองและเปลี่ยนแปลงระบบที่มีพลังมากกว่าการไปยกมือยอมแพ้ในสภา
ที่สำคัญเราพิสูจน์มาแล้วกว่า 2 ปีว่า ระบอบอภิสิทธิ์นั้นไม่สามารถสร้างความสงบสุขและรับมือกับพลังนอกสภาของทักษิณได้ และถ้าสู้กันในสภาก็มีแนวโน้มชัดเจนแล้วว่า ระบอบทักษิณจะชนะและเข้าไปใช้ระบบรัฐสภาในการสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง
ดังนั้นทางออกเดียวที่พอจะรับมือกับทักษิณได้ คือ ต้องโหวตโนให้มากเข้าไว้ เพื่อให้เสียงประชาชนมีพลังมากพอที่จะต่อต้านกับอำนาจการเมืองที่มีแนวโน้มแล้วว่าทักษิณจะกำชัย