xs
xsm
sm
md
lg

ตปท.คาดปชป.กลับมาดันหุ้นไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – คนตลาดทุนให้ความเห็นต่อศึกการเลือกตั้งของ 2พรรคใหญ่ ชี้หากประชาธิปัตย์มา ต่างชาติกลับมาลงทุนต่อหลังบางส่วนรอดูความชัดเจน และปัญหาวิกฤตยุโรป ทำให้เกิดการเทขายไปกว่าครึ่ง แต่ถ้าเป็นเพื่อไทย เชื่อดัชนีหุ้นจะลงสู่แดนลบ เหตุนักลงทุนไม่มั่นใจในเสถียรภาพ อีกทั้งเรื่องวุ่นๆจะตามมา แนะหาคนกลางระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายนั่งนายกฯเหมาะสุด

แหล่งข่าวโบรกเกอร์รายหนึ่ง กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีจะปรับตัวไม่มากนัก แต่ถ้ามีความผันผวนน่าจะเกิดจากปัจจัยจากต่างประเทศมากกว่า เช่นปัญหาวิกฤตในกลุ่มประเทศยุโรป เป็นต้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศ จะหนีไม่พ้นการแข่งขันหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย ซึ่งหลายคนมองว่าทั้งสองมีโอกาสจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่
อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศ พบว่า นักลงทุนหลายรายเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีกครั้ง และจะช่วยทำให้นโยบายด้านเศรษฐกิจต่างๆมีการสานต่อ ในจุดนี้จะส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ซึ่งหมายถึงดัชนีจะปรับตัวขึ้นไปต่อหลังจากช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีการขายสุทธิในหุ้นไทยไปกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อรอดีความชัดเจน
ขณะเดียวกัน หากพรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้ มองว่าภาวะตลาดหุ้นไทยอาจกลับสู่แดนลบมากกว่า เพราะนักลงทุนต่างประเทศจะไม่มีความมั่นใจต่อการเข้ามาลงทุน เนื่องจากเชื่อว่า จะไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการเมืองได้ และจะมีกลุ่มอำนาจหลายฝ่ายในประเทศไม่ยอมรับ จนนำมาสู่การชุมชนคัดค้าน และอื่นๆอีกมาก
ดังนั้นโดยรวม นักลงทุนจากนอกประเทศ ยังต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลมากกว่า เนื่องจากมีความมั่นใจต่อการลงดีที่แน่นอนกว่า พรรคคู่แข่งขัน
“หุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาผันผวนอยู่ในแดนลบมากกว่าแดนบวก นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ มีการเทขายออกไปเพื่อรอดูความชัดเจน มีเม็ดเงินบางส่วนถูกระดมทุนไปเพื่อใช้ในการเลือกตั้ง รวมถึงความกังวลต่อวิกฤตหนี้ในยุโรป ก็เป็นอีกสาเหตุที่ฉุดเม็ดเงินบางส่วนออกไป”
เช่นเดียวกับ ผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง กล่าวว่า นักลงทุนต่างประเทศต่างเชื่อกันว่า แม้พรรคเพื่อไทย สามารถชนะการเลือกตั้งได้ แต่ก็จะไม่สามารถบริหารประเทศได้ และประเทศไทยก็จะเกิดปัญหาขึ้นอีก สิ่งเหล่านี้ทำให้ความเชื่อมั่นต่อการเข้าลงทุนในไทยลดลง ขณะที่หากรัฐบาลชุดเดิมเข้ามา เรื่องต่างๆโดยเฉพาะปัญหาทางการเมืองน่าจะเสถียรภาพมากกว่าฝ่ายตรงข้าม
แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทยด้วย ว่าหากมีเสียงข้างมากจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว จะมีนโยบายและความชัดเจนเรื่องการสมานฉันท์ของคนในชาติอย่างไร หากมีท่าทีโอนอ่อนไปในทางที่ดี จุดนี้จะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจ แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น นายกรัฐมนตรีคนต่อไป น่าจะมาจากคนกลางไม่ใช่คนของพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจเป็นคนของพรรคร่วมรัฐบาล และเป็นคนที่สามารถพูดคุยกับทุกฝ่ายได้ สถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะมีสเถียรภาพมากขึ้น ความมั่นใจต่อการลงทุนของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศก็จะกลับมา
ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า สัปดาห์ก่อน ตลาดหุ้นไทยปรับตัวผันผวนตามตลาดหุ้นทั่วโลก จากแรงขายทำกำไร ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ในยุโรป และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาไร้ทิศทาง ก่อนที่ดัชนีจะฟื้นตัวจากแรงซื้อหุ้นคืน และการซื้อหุ้นเก็งกำไรก่อนการเลือกตั้งในประเทศ
สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 30 พ.ค.-3 มิ.ย. 2554 มองว่า ดัชนีอาจเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์ปัญหาหนี้ในยุโรป โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก การเมืองในประเทศ การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อโดยธปท.และกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงผลการประชุม กนง. ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย และเครื่องชี้วัดการจ้างงาน ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,053 และ 1,034 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,093 และ 1,113 จุด ตามลำดับ
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนบล.โกลเบล็ก กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมิถุนายน ว่า หากมองเฉพาะปัจจัยภายในประเทศ มองว่าดัชนีจะปรับตัวผันผวนในกรอบแคบเพื่อรอความชัดเจนหรือผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม โดยในเดือนมิถุนายนนี้พรรคการเมืองต่างๆจะเดินหน้าหาเสียงกันอย่างเต็มที่
ขณะที่ปัจจัยในต่างประเทศ มองว่านักลงทุนยังต้องจับตาวิกฤตเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยูโรโซน โดยเฉพาะกรีซ ซึ่งจะครบกำหนดชำระเงินพันธบัตรรัฐบาลในเดือนมิถุนายนนี้ และมีแนวโน้มอาจมีปัญหา จุดนี้อาจทำให้นักลงทุนเกิดการเทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงออกมา เพื่อโยกเงินลงทุนไปหาสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
ขณะเดียวกันมองว่า หุ้นในกลุ่มพลังงาน เป็นหุ้นที่น่าลงทุนมากสุดในช่วงเดือนนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในช่วงก่อนหน้าปรับตัวลดลง และมองว่ามีโอกาสรีบาวน์กลับขึ้นไปอีก ขณะที่หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มองว่าไตรมาส2นี้ ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารน่าจะลดลง โดยทางเทคนิค ทางบริษัทวางกรอบดัชนีหุ้นไทยในช่วงนี้ไว้ที่ประมาณ 1,034 – 1,100 จุด
ด้านนายวนา พูนผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ยูโอบี จำกัด กล่าวว่า หุ้นไทยในเดือนมิถุนายนน่าจะปรับขึ้นได้ต่อ เพราะเมื่อมองจากปัจจัยพื้นฐานพบว่ามีแรงสนับสนุน เห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส1ที่ผ่านมาปรับตัวสูงมาก
นอกจากนี้ จากสถิติก่อนหน้าเมื่อมีการเลือกตังดัชนีจะปรับขึ้นไปสูงมาก และจะปรับตัวลงเมื่อมีความชัดเจนหรือการเลือกตั้งจบลงแล้ว โดยในส่วนของบลจ.นั้น ยังมีการลงทุนในหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่หยุดลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนด้านต่างๆ เนื่องจากการลงทุนส่วนใหญ่พิจารณาและวิเคราะห์จากปัจจัยพื้นฐาน และศักยภาพของธุรกิจในบริษัทเป้าหมายที่ต้องการเข้าไปลงทุน ซึ่งเป็นการมองในระยะยาวมากกว่า
อีกทั้งโดยส่วนตัว เชื่อว่าในเดือนนี้นอกเหนือจากปัจจัยลบในต่างประเทศหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้น ซึ่งนับเป็นโอกาสเหมาะต่อการเข้าไปลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น