ASTVผู้จัดการรายวัน-ประธานศาลฎีกา เปิดแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลแพ่ง รองรับคดีสิ่งแวดล้อมทั่วราชอาณาจักร ประเดิมคดีเกษตรกรแก่งคอย ฟ้อง บริษัทรับฝังขยะอุตสาหกรรม เรียก 2 พันล้านฐานทำแหล่งน้ำเป็นพิษ
วานนี้(25 พ.ค.)ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานพิธีเปิดแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลแพ่ง โดยมีนายเกษม เกษมปัญญา อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง นายศิริศักดิ์ เหมาะทอง รองอธิบดีฯ ข้าราชการ ลูกจ้าง ให้การต้อนรับ
นายเกษม กล่าวรายงานว่า ปัจจุบันได้เกิดข้อพิพาทคดีสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ อาทิ มลพิษทางอากาศ กลิ่น เสียง รังสี น้ำ แรงสั่นสะเทือน สารเคมีปนเปื้อน จำนวนมากขึ้น และมีความเสียหายรุนแรง ชาวบ้านต้องรับผลกระทบในวงกว้าง ดังนั้นจึงอาศัยอำนาจตามกฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและประกาศคณะกรรมการ บริหารศาลยุติธรรม ให้ศาลแพ่งเป็นศาลนำร่อง เปิดพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อมที่เกิดทั้งในกรุงเทพฯ และทั่วราชอาณาจักร โดยวันนี้มีคดีสิ่งแวดล้อมมาฟ้องต่อศาลแพ่ง 3 คดี เรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์แต่ละคดีนับพันล้านบาท
นายเกษม กล่าวว่า เรื่องอำนาจฟ้องของประชาชนในคดีสิ่งแวดล้อมต่อศาลแพ่ง ต้องเข้าใจว่า คดีสิ่งแวดล้อมผู้เสียหายคือคนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษต่างๆ ในลักษณะละเมิดทางแพ่ง เรียกค่าเสียหายเป็นตัวเงิน ไม่ว่าจะเกิดที่ จ.เชียงใหม่ จ.สงขลา นอกจากจะฟ้องคดีที่ศาลทั้งราชอาณาจักรแล้ว หากโจทก์เห็นว่า จะไม่ได้รับความสะดวก หรือเกรงกลัวอิทธิพลท้องถิ่น ก็ขอโอนคดีมาพิจารณาที่ศาลแพ่งได้ ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมศาลนั้น เนื่องจากคดีลักษณะนี้มีผู้เสียหายจำนวนมากส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านยากจน หากเรียกค่าธรรมเนียมศาลตามปกติ บางทีอาจต้องเสียรายละเป็นล้านบาทก็ได้ ดังนั้น กฎหมายจึงเปิดช่องให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแก่ชาวบ้านเป็นหลัก อย่างคดีที่นางศรีวรินทร์ บุญทับ อาชีพเกษตรกรกับพวกรวม 124 คน เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัท เบตเตอร์เวิลด์ กรีน จำกัด เป็นจำเลย เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนวน 2,006 ล้านบาท ศาลมีคำสั่งยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แล้ว
คดีสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ฝ่ายผู้ก่อมลพิษมีหน้าที่นำสืบว่า ได้ก่อมลพิษจริงหรือไม่ ผู้เสียหายได้รับความเสียหายตามฟ้องหรือไม่ โดยฝ่ายโจทก์ผู้เสียหายก็ไม่ต้องสืบพยานทั้ง 124 คน แต่สามารถนำตัวแทนมาเบิกความแทนก็ได้ ศาลจะใช้ดุลยพินิจประกอบคำเบิกความของผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคที่ขึ้นทะเบียนกับศาลไว้ จะแพ้ชนะต้องฟังผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะสืบพยาน ศาลจะให้คู่ความไกล่เกลี่ยกันเสียก่อน เพื่อจะได้ลดขั้นตอน ลดค่าใช้จ่ายไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง และสร้างความรู้สึกที่ดีกับคู่ความทุกฝ่าย การตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อม ในศาลแพ่ง ไม่ได้เป็นการแย่งงานศาลปกครองมาทำ เพราะคดีสิ่งแวดล้อมในศาลปกครอง เป็นการฟ้องหน่วยราชการที่ปล่อยให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อชาวบ้านจึง ฟ้องให้รัฐ แก้ไขเยียวยา หรือเรียกค่าเสียหาย ส่วนคดีที่ฟ้องศาลแพ่ง เป็นคดีเสียหายจากการละเมิดต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินโดยตรง
สำหรับคดีที่ นางศรีวรินทร์ เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัทเบตเตอร์เวิลด์ นั้น โจทก์ระบุฟ้องว่า โจทก์เป็นเกษตรบริเวณบ้านหนองปลาไหล ต.กุดนก อ.เมือง จ.สระบุรี และต.ห้วยแท่ง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เมื่อปี 2542 บริษัท เบตเตอร์เวิลด์ จำเลย ได้เปิดกิจการรับฝังกลบขยะอุตสาหกรรมที่ไม่อันตราย ในพื้นที่ดังกล่าว แต่ภายหลังได้ขยายกิจการรับฝังกลบขยะอันตรายอีกด้วย
กระทั่งเกิดมลพิษจากบ่อขยะ น้ำเสียไหลลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ จนเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง ปลาที่เลี้ยงไว้ตาย ชาวบ้านเริ่มเจ็บป่วยมีอาการผิวหนังอักเสบ หายใจไม่ออก แสบตา ตาพร่ามัว จมูกอักเสบ เป็นซีตส์ เจ็บหน้าอก ปัสสาวะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ คลื่นไส้ หัวตัว ปวดศีรษะ ตับอักเสบภูมิคุ้มกันลดลง ต่อมาได้ร้องเรียนส่วนราชการ พบว่ามีสารแคชเมี่ยม สารปรอท แมงกานีส และศาลอื่นๆ ในน้ำ อากาศ พืชผัก สัตว์เลี้ยง และในพื้นดิน โจทก์ได้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าขาดรายได้จากผลผลิตทางการเกษตร จึงฟ้องเรียกค่าเสียหาย พร้อมดอกเบี้ย และค่าเสียหายในอนาคต ศาลรับฟ้องคดีไว้พิจารณาต่อไป
วานนี้(25 พ.ค.)ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานพิธีเปิดแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลแพ่ง โดยมีนายเกษม เกษมปัญญา อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง นายศิริศักดิ์ เหมาะทอง รองอธิบดีฯ ข้าราชการ ลูกจ้าง ให้การต้อนรับ
นายเกษม กล่าวรายงานว่า ปัจจุบันได้เกิดข้อพิพาทคดีสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ อาทิ มลพิษทางอากาศ กลิ่น เสียง รังสี น้ำ แรงสั่นสะเทือน สารเคมีปนเปื้อน จำนวนมากขึ้น และมีความเสียหายรุนแรง ชาวบ้านต้องรับผลกระทบในวงกว้าง ดังนั้นจึงอาศัยอำนาจตามกฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและประกาศคณะกรรมการ บริหารศาลยุติธรรม ให้ศาลแพ่งเป็นศาลนำร่อง เปิดพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อมที่เกิดทั้งในกรุงเทพฯ และทั่วราชอาณาจักร โดยวันนี้มีคดีสิ่งแวดล้อมมาฟ้องต่อศาลแพ่ง 3 คดี เรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์แต่ละคดีนับพันล้านบาท
นายเกษม กล่าวว่า เรื่องอำนาจฟ้องของประชาชนในคดีสิ่งแวดล้อมต่อศาลแพ่ง ต้องเข้าใจว่า คดีสิ่งแวดล้อมผู้เสียหายคือคนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษต่างๆ ในลักษณะละเมิดทางแพ่ง เรียกค่าเสียหายเป็นตัวเงิน ไม่ว่าจะเกิดที่ จ.เชียงใหม่ จ.สงขลา นอกจากจะฟ้องคดีที่ศาลทั้งราชอาณาจักรแล้ว หากโจทก์เห็นว่า จะไม่ได้รับความสะดวก หรือเกรงกลัวอิทธิพลท้องถิ่น ก็ขอโอนคดีมาพิจารณาที่ศาลแพ่งได้ ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมศาลนั้น เนื่องจากคดีลักษณะนี้มีผู้เสียหายจำนวนมากส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านยากจน หากเรียกค่าธรรมเนียมศาลตามปกติ บางทีอาจต้องเสียรายละเป็นล้านบาทก็ได้ ดังนั้น กฎหมายจึงเปิดช่องให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแก่ชาวบ้านเป็นหลัก อย่างคดีที่นางศรีวรินทร์ บุญทับ อาชีพเกษตรกรกับพวกรวม 124 คน เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัท เบตเตอร์เวิลด์ กรีน จำกัด เป็นจำเลย เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนวน 2,006 ล้านบาท ศาลมีคำสั่งยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แล้ว
คดีสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ฝ่ายผู้ก่อมลพิษมีหน้าที่นำสืบว่า ได้ก่อมลพิษจริงหรือไม่ ผู้เสียหายได้รับความเสียหายตามฟ้องหรือไม่ โดยฝ่ายโจทก์ผู้เสียหายก็ไม่ต้องสืบพยานทั้ง 124 คน แต่สามารถนำตัวแทนมาเบิกความแทนก็ได้ ศาลจะใช้ดุลยพินิจประกอบคำเบิกความของผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคที่ขึ้นทะเบียนกับศาลไว้ จะแพ้ชนะต้องฟังผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะสืบพยาน ศาลจะให้คู่ความไกล่เกลี่ยกันเสียก่อน เพื่อจะได้ลดขั้นตอน ลดค่าใช้จ่ายไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง และสร้างความรู้สึกที่ดีกับคู่ความทุกฝ่าย การตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อม ในศาลแพ่ง ไม่ได้เป็นการแย่งงานศาลปกครองมาทำ เพราะคดีสิ่งแวดล้อมในศาลปกครอง เป็นการฟ้องหน่วยราชการที่ปล่อยให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อชาวบ้านจึง ฟ้องให้รัฐ แก้ไขเยียวยา หรือเรียกค่าเสียหาย ส่วนคดีที่ฟ้องศาลแพ่ง เป็นคดีเสียหายจากการละเมิดต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินโดยตรง
สำหรับคดีที่ นางศรีวรินทร์ เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัทเบตเตอร์เวิลด์ นั้น โจทก์ระบุฟ้องว่า โจทก์เป็นเกษตรบริเวณบ้านหนองปลาไหล ต.กุดนก อ.เมือง จ.สระบุรี และต.ห้วยแท่ง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เมื่อปี 2542 บริษัท เบตเตอร์เวิลด์ จำเลย ได้เปิดกิจการรับฝังกลบขยะอุตสาหกรรมที่ไม่อันตราย ในพื้นที่ดังกล่าว แต่ภายหลังได้ขยายกิจการรับฝังกลบขยะอันตรายอีกด้วย
กระทั่งเกิดมลพิษจากบ่อขยะ น้ำเสียไหลลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ จนเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง ปลาที่เลี้ยงไว้ตาย ชาวบ้านเริ่มเจ็บป่วยมีอาการผิวหนังอักเสบ หายใจไม่ออก แสบตา ตาพร่ามัว จมูกอักเสบ เป็นซีตส์ เจ็บหน้าอก ปัสสาวะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ คลื่นไส้ หัวตัว ปวดศีรษะ ตับอักเสบภูมิคุ้มกันลดลง ต่อมาได้ร้องเรียนส่วนราชการ พบว่ามีสารแคชเมี่ยม สารปรอท แมงกานีส และศาลอื่นๆ ในน้ำ อากาศ พืชผัก สัตว์เลี้ยง และในพื้นดิน โจทก์ได้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าขาดรายได้จากผลผลิตทางการเกษตร จึงฟ้องเรียกค่าเสียหาย พร้อมดอกเบี้ย และค่าเสียหายในอนาคต ศาลรับฟ้องคดีไว้พิจารณาต่อไป